ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #48 : ตอนที่ 48 หวาดกลัวจะแข็งแกร่ง

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 65


       ทุกคนแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง จนถึงเมื่อตะกี้ชายหนุ่มยังคงเป็นฝ่ายกำลังโดนกดดัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายที่กำลังกดดันแทน

    แม้แต่จูเฉียวเองยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ เมื่อสร้างแผลแรกได้แล้วชายหนุ่มก็ถอยร่นออกมา เปิดโอกาสให้ทั้งตนเอง และ อีกฝ่ายพักหายใจ

     

       จูเฉียวยกแขนซ้ายขึ้นมามองอย่างสนใจ บาดแผลถูกกล้ามเนื้อบีบเอาไว้เพื่อห้ามเลือด “ข้าทำให้แขนซ้ายเจ้าบาดเจ็บ เจ้าก็ใช้กระบี่ฟันแขนซ้ายข้างั้นหรือ?” จูเฉียวพูดเชิงตลกขบขัน

    เขากำด้ามดาบแน่น สีหน้าจริงจังขึ้นมาอีกหลายส่วน “ข้าว่าเราเลิกทำเป็นเล่นจะดีกว่า….” สิ้นเสียงลมปราณก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของจูเฉียว สาดซัดเสมือนพายุลูกย่อมๆ

     

       หลินมู่ใช้นิ้วหัวแม่มือปาดมุมปาก ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากเจ้าต้องการ เช่นนั้นเราควรจะเอาจริงได้แล้ว…” ทันใดนั้นเองออร่าแหลมคม ระเบิดพวยพุ่งออกมาราวกับเขื่อนแตก

    เปลือกตาขยับเปิดออกเผยให้เห็นดวงตาสีหมึก สาดประกายความแหลมคมที่ยากจะอธิบาย จูเฉียงจ้องเขม็งไปยังดวงตาอันคมกริบของชายหนุ่ม ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ

     

       ดึงเอาลมปราณรวบรวมเข้าไปภายในดาบโค้ง ง้างขึ้นเตรียมฟาดลงมา “เตรียมตัว!!” เขาคำรามลั่นมือทั้งสองข้าง กำด้ามดาบแทบจะบดขยี้มันเป็นเสี่ยงๆ

    หลินมู่เองก็เตรียมตัวเช่นกัน เขาชี้กระบี่ไปทางจูเฉียว อัดแน่นจิตกระบี่อันแหลมคม จนคมกระบี่สาดประกายแวววาว ขณะเดียวกันพื้นดินรอบตัวของจูเฉียวก็เริ่ม ปริแตกเพราะแรงกดดันจากพลังลมปราณอันมหาศาล

     

       รอบตัวของหลินมู่เองก็ไม่ต่างกันมากนัก จิตอันแหลมคมพุ่งพล่านราวจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ หนุนเสริมด้วยปณิธานกระบี่อันบริสุทธิ์ ฟาดฟันพื้นที่โดยรอบกลายเป็นร่องลึก

    นี่คือการออกกระบวนท่าครั้งสุดท้าย ใครจะอยู่หรือใครจะตายวัดกันเพียงกระบวนท่าเดียว ทั้งคู่แสยะยิ้มให้กันและกันเสมือนคนรู้ใจ หลี่ซงเบิกตามองภาพอันอัศจรรย์ตรงหน้า ปากขยับไปมาแต่กลับไม่มีเสียงใดออกมา

     

       นี่คือการต่อสู้อลังการมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ทั้งคู่เลือกจะใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเพื่อตัดสิน ไม่สนการป้องกันมุ่งเน้นทั้งหมด ไปยังการโจมตีเพียงหนึ่งครั้งนั้น

    บริเวณโดยรอบกลายเป็นเงียบงัน พวกเขาไม่กล้าแม้จะกระพริบตา กลัวจะพลาดช่วงเวลาในชั่วพริบตานั้นไป

     

       จูเฉียวเพ่งสมาธิไปยังการควบแน่นลมปราณ สายตาพลางจ้องผสานกับดวงตา ที่สามารถกรีดเลือดกรีดเนื้อคู่นั้นอย่างอาจหาญ โลหิตสีแดงฉานเริ่มไหลออกมาจาก ดวงตาของจูเฉียวแต่เขาก็ไม่ยอมหลบสายตา ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายไว้เช่นนั้น

    หลินมู่ที่เพ่งสมาธิเคลื่อนย้ายจิตกระบี่ สื่อสารกับจิตใจตนเอง เคาะด่านมหามรรคาตั้งคำถาม หากออกกระบี่นี้ข้าจะได้คำตอบหรือไม่ ว่าข้าหวาดกลัวจะมองไม่เห็น หรือ หวาดกลัวดวงตาของตนเอง…

     

       ทุ่งโล่งกว้างเงียบงันจนแม้เข็มตกพื้น ยังสามารถได้ยินชัดเจน ตู้ม!! ทั้งคู่พุ่งตัวออกไปอย่างกระทันหัน และมีแรงปะทะระเบิดออกมา ปัง!!! หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ เข้าปะทะกันและกัน สร้างแรงกระแทกกระจายไปทั่วบริเวณ

    หนึ่งแหลมคมหนึ่งดุดัน ผลักดันกันไปมาทั้งคู่เลือดร้อนถึงขีดสุด เข้นพลังทั้งหมดออกมาผลักดันอาวุธไปด้านหน้า เสียงเหล็กเสียดสีแสบหูดังออกมาไม่หยุด

     

       คนที่ตบะลมปราณต่ำต้อยต้องปิดหูด้วยสีหน้าเจ็บปวด พวกที่ตบะสูงขึ้นมาหน่อยก็ยืนขมวดคิ้ว แต่ไม่ยอมจะหรี่ตาลงแม้สักเสี้ยว ในระยะประชิด หลินมู่จ้องไปยังดวงตาที่ อัดแน่นไปด้วยความกล้าหาญ ที่ไม่ยอมหลบสายตาของตนแม้แต่น้อย

    ทั้งคู่จ้องตากัน และ กันก่อนจะร้องตะโกนออกมา “ย้ากกก!!!” ปราณฟ้าดินปั่นป่วนลมปราณแตกซ่าน สายลมพุ่งพล่านดุจพายุลูกเล็ก ตู้ม!! จุดที่ทั้งคู่ปะทะกันเกิดระเบิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้ฝุ่นควันตลบอบอวลบดบังวิสัยทัศน์อย่างสิ้นเชิง

     

       โจร ชาวบ้าน จอมยุทธ์หนุ่มสาว และ หัวหน้าหมู่บ้าน พากันกลั้นหายใจจ้องมองไปยังกลุ่มควัน ไม่นานหมอกควันก็สลายไปเผยให้เห็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ ร่างอันใหญ่โตยืนนิ่งเสมือนเสาค้ำฟ้า ดวงตาทั้งสองมีเลือดสีแดงฉาน ไหลลงมาราวกับเป็นสายธารเส้นเล็ก

    กำดาบโค้งอันใหญ่ฟันลงศีรษะ ของชายหนุ่มชุดคลุมฟ้า ที่กำลังคุกเข่าลงข้างหน้า แต่คมกระบี่ขาวดุจหิมะกลับแทงทะลุทรวงอก ตัดขั้วหัวใจจนแทงทะลุไปยังด้านหลัง

     

       ทั้งสองจ้องใบหน้ากันและกันสักพัก ก่อนจูเฉียวจะยกยิ้มแล้วพูดออกมา “ยอดเยี่ยม….” ร่างใหญ่โตของจูเฉียวล้มตึงลงไป เลือดสีแดงฉานหลั่งไหลออกมา จนกลายเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ หลินมู่ที่เกือบจะโดนผ่ากระโหลกเองก็ลุกขึ้นยืน

    สัมผัสไปยังกลางหน้าผากที่มีแผลยาว เลือดสีแดงไหลลงมาทั่วใบหน้า เขาหลับตาลงแหงนหน้าขึ้นฟ้า ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบเขาไม่ได้กลัว ดวงตาหรือการมองไม่เห็น แต่เขากลับกลัวจะแข็งแกร่งขึ้น….

     

       ยิ่งแกร่งดวงตาคู่นี้ยิ่งอันตราย จิตแท้จริงของเขาจึงไม่มั่นคง หวาดกลัวว่าหากตนแข็งแกร่งเกินไป จะเผลอใช้ดวงตาคู่นี้ ทำร้ายคนที่ตนรักอย่างไม่ตั้งใจ ความหวาดกลัว ต่อความแข็งแกร่งนี้ จึงเป็นอุปสรรคในการขัดเกลาจิตใจ หากใช้เวลานี้ เทียบกับการฝึกฝนด้านใต้เหว 

    การออกกระบี่ของเขา กลับพัฒนาขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “ท่านเองก็เช่นกัน…” หลินมู่ยอมรับในตัวจอมยุทธ์ใหญ่ผู้นี้อย่างแท้จริง เขาพึมพำกับตนเองคล้ายให้คำตอบ กับด่านเคราะห์ในมหามรรคาครั้งนี้ “ข้าไม่หวั่นเกรงหมื่นความเป็นไปได้ แต่ข้าหวาดกลัวหนึ่งในหมื่นที่ข้าเลือกจะเมิน…" 

     

       จิตใจของหลินมู่ได้รับการเปลี่ยนแปลง จนทำให้บังเกิดเป็นจิตกระบี่เส้นที่ 12 แต่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น จิตกระบี่เส้นต่อไปเริ่มก่อตัวขึ้นมา จนหยุดอยู่ลงเมื่อถึงเส้นที่ 14 “ท่านมีเรื่องจะสั่งเสียหรือไม่?…”

    หลินมู่ก้มหน้าลงไปมองจูเฉียว ที่นอนแผ่มองฟ้าสีเทาในกองเลือด ที่เริ่มสูญเสียความอบอุ่น “ข้าหรือ….คงมีกระมัง……อยากให้ข้าเล่าประวัติของข้าให้เจ้าฟังไหม?" หลินมู่พยักหน้ารอรับฟังจอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้ม 

     

       ที่เขาเคารพคนนี้เล่าเรื่องราวของตน จูเฉียวเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอาลัย "ข้ามันเป็นบิดาที่แย่ ทิ้งบุตรและภรรยาออกมาท่องยุทธจักร จับพลัดจับพลูก็สร้างกลุ่มขึ้นมา ต่อต้านพวกพ่อค้าหน้าเลือดที่ขูดรีดขูดเนื้อชาวบ้านตาดำๆ จนกลายเป็นกองโจรพงไพรสายลม…….เจ้าจะทำอย่างไรกับกองโจรก็ได้ แต่ข้ามีคำขอร้องเพียงอย่างเดียว….หากเจ้าไปยังตะวันตก ให้ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา เป็นหมู่บ้านเล็กๆนามศิลานิล ตามหาเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า จูหยงอัน บอกเขาว่าข้าขอโทษ….ข้าเป็นบิดาที่แย่…ข้ามัน….”

    เสียงของจอมยุทธ์ใหญ่เคราเฟิ้ม ขาดไปกระทันหันดวงตาไร้ประกาย ร่างกายเย็นเยียบ บนไม่หน้าไม่มีความเคียดแค้นมีแต่ความเสียใจ ไม่ใช่เสียใจที่มาตกตายยังทิศตะวันออก

     

        แต่เสียใจที่ตนทำหน้าที่สามีและบิดา ได้ไม่ดีพอแม้นจะส่งเงินกลับไปทุกสัปดาห์ แต่สิ่งที่ภรรยาและบุตรชายต้องการที่สุด มิใช่เงินทองที่ใช้ไม่ขาดมือ แต่เป็นบิดาของพวกเขาเพียงเท่านั้น

    หลินมู่ย่อกายลงไปใช้มือปิดเปลือกตา แล้วจึงเอาไหสุรามาดื่มเซ่นไหว้ให้อีกฝ่าย ม้าศึกตัวสีดำตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม ส่งเสียงคร่ำครวญ เมื่อรับรู้ว่านายของมันจากไปอย่างไม่หวนกลับ

     

       กองโจรใบหน้าเปลี่ยนสีหัวหน้าใหญ่ของพวกมันจากไปแล้ว…. หลินมู่ดื่มสุราจนหมดแล้ววางไหลงพื้น เขาเอื้อมมือไปดึงกระบี่ตงหยู ออกจากร่างของอีกฝ่าย

    ก้าวสามขุมไปยังกองโจรพงไพรสายลม ที่กำลังแตกตื่นเพราะหัวหน้าใหญ่ ของพวกเขาสิ้นใจไปแล้ว “ก่อนข้าจะออกกระบี่สังหารคน ข้าจะพูดแค่ครั้งนี้เท่านั้น หากใครมีเหตุผลที่ข้ายอมรับได้ ว่าเหตุใดจึงมาเป็นโจรหรือกระทำลงไปเพราะไร้ทางเลือก จงกล่าว จิตใจของพวกเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด”

     

       เม่ยลี่เจียงที่หลบอยู่ด้านหลังฝูงชน แทรกตัวออกมาโบกไม้โบกมือร้องตะโกน สีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก “ข้าทำไปเพราะจำเป็น ข้าถูกจูเฉียวนั้นบังคับ…” นางทำตัวน่าสงสารบีบน้ำตา หวังเรียกความสงสารเพื่อจะได้มีชีวิตรอด แล้วภายหลังจึงหาคนมาแก้แค้นอีกฝ่ายภายหลัง แต่ยังพูดไม่จบประโยค ร่างอันอ้อนแอ้นดุจนางหงส์นางกระเรียน รูปร่างแสนเย้ายวนที่ชายส่วนใหญ่ได้แต่หลับฝัน ว่าจะได้ขย่มสักครั้งบนเตียง ก็มีก้อนหินอันหนึ่งฝังอยู่ในกระโหลก

    “เจ้าพูดจาเลอะเลือนอันใด? เจ้าแค่จะหาเหตุผลปลอมๆ ให้ตนเองรอดชีวิต แล้วจึงหาทางมาแก้แค้นข้าภายหลัง คิดว่าข้าไม่รู้จิตใจที่แท้จริงของเจ้าหรือ?” ใบหน้าของนางตะลึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะย่ำยีบุบผางามเช่นนี้ ไม่มีแม้ความสงสัยสักเสี้ยวเดียว นางใช้ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น จ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าผู้นั้น หวังให้ดวงตาสังหารคนได้

     

       แต่น่าเสียดายดวงตาของนางไม่อาจสังหารคน กลับกันดวงตาคู่นั้นกลับเป็นของหลินมู่ต่างหาก จนแล้วจนรอดนางก็สิ้นใจตายทั้งๆที่ความแค้นยังคงเต็มอก เหล่าโจรเริ่มหวาดกลัวใช้ดวงตาสั่นระริก

    มองร่างสง่างามที่พวกเขาได้แต่หลับฝัน นอนร่างเย็นเยียบบนพื้นตายตาไม่หลับ แล้วจึงมองไปยังร่างชายหนุ่มที่ราวกับพญามัจจุราชที่มาเก็บเกี่ยวชีวิตของพวกตน….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×