ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #46 : ตอนที่ 46 ยอดฝีมือควรเป็นเช่นนี้

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 65


        ยามเย็นในฤดูเหมันต์ปีหนึ่ง ได้มีกลุ่มเดินทางของจอมยุทธ์หนุ่มสาว มาเยือนยังหมู่บ้านฉาซานอย่างกระทันหัน

    หัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นชายชรา ผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตกึ่งยอดยุทธ์ ก็ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี หลินมู่ลงจากหลังเจ้าซุยโก๋ พร้อมป้องมือทักทายกับหัวหน้าหมู่บ้านชราผู้นั้น

     

       “ขอบคุณอาวุโสที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี” ด้วยที่สำนักของพวกหลี่ซงพอจะมีควันธูปสายสัมพันธ์ เล็กน้อยกับทางหมู่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านชรา จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับพอเป็นพิธี

    ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน เหลือเพียงหลินมู่ที่นั่งอยู่สองต่อสองกับ หัวหน้าหมู่บ้านชราผู้นั้นภายในห้องศึกษา ชายหนุ่มวางหมวกไม้ไผ่ไว้บนตักก่อนจะพูดขึ้น

     

       “เหตุผลที่ข้า มายังหมู่บ้านในครั้งนี้ เพื่อขอยืมสถานที่เปิดศึกกับจูเฉียว ผู้นำของกองโจรพงไพรสายลม เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มสาวเหล่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ”

    ชายชราในชุดคลุมสีขาวจิบชาด้วยสีหน้าขบคิด “รู้สูงต่ำแพ้ชนะ หรือ เป็นตาย” หลินมู่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง “เป็นอย่างหลัง…” ชายชราที่ได้คำตอบถึงกับถอนหายใจ แม้เขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าเหตุใด จูเฉียวผู้นั้นถึงมาอยู่มณฑลตะวันออกได้้ แต่ช่างมันปะไร 

     

       เขาใช้สายตาที่เริ่มฝ้าฟางจับจ้องไปยัง ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าพกกระบี่สองเล่มผู้นี้ “เจ้ากับเขาไม่ได้มีความแค้นเป็นตายต่อกัน แล้วเหตุใด? หรือ เจ้าจะอ้างว่าปราบคนชั่วผดุงความยุติธรรมในใต้หล้า? ไหนลองบอกจุดประสงค์มาสิ”

    หลินมู่พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะพูดขึ้ึน “ข้าใช้เขาเป็นหินลับคมกระบี่…” ชายชราเองก็พยักหน้า “พวกเจ้าก็ตีกันนอกหมู่บ้านไป ใครจะเป็นจะตายหมู่บ้านของเราไม่ยุ่งเกี่ยว” พูดจบชายชราก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ให้ชุ่มคอขับไล่ความหนาวเย็น

     

       หลินมู่พยักหน้าตอบรับก่อนจะลุกขึ้นยืน ถือหมวกไม้ไผ่เดินออกจากห้องศึกษา ตรงกลับไปยังที่พักของตนที่ถูกจัดไว้ให้ ชายชราพึ่งดื่มชาไปหนึ่งถ้วยก็ถอนหายใจยาว

    “เป็นชายหนุ่มที่เถรตรง บอกเป็นก็เป็นบอกตายก็ตาย จะใช้คนมาลับคมกระบี่ ในยุทธจักรมีชายหนุ่มที่เถรตรงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่….” ชายชราชุดคลุมขาวรินชาลงถ้วย จ้องมองจันทร์ครึ่งเสี้ยวทั้งสามดวง ที่ลอยเด่นสง่าบนผิวน้ำ

     

       “ความเถรตรงนั้นจะพาเจ้าไปถึงไหนกัน” ชายชราพึมพำก่อนจะใช้ลมปราณ ดึงเอาของที่ชายหนุ่มคนนั้นทิ้งไว้บนเบาะรองนั่งมาอยู่ภายในมือ เป็นยาลูกกลอนเม็ดหนึ่ง กับ ตำลึงทองอีก 3 ตำลึง

    “แยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าบางคนยังทำไม่ได้ขนาดนี้” ในเมื่อชายหนุ่มคนนั้นให้มาชายชราก็จะรับมา กล้าให้เขาก็กล้ารับ

     

       หลินมู่ที่กลับไปยังห้องพัก ก็นั่งลงบนเบาะรองนั่ง ทำสมาธิใช้เคล็ดกำหนดจิตกระบี่ ขัดเกลาจิตใจของตนเอง

    ภายในมือมีศิลาอัปมงคลที่ถูกกัดเซาะจากจิตกระบี่ จนขนาดเล็กลงเรื่อยๆคาดว่าสามารถใช้ ขัดเกลาจิตกระบี่ได้ประมาณสองถึงสามเดือน ภายในห้วงจิตมีเส้นสายสีฟ้าเสมือนเส้นริบบิ้น

     

       บินไปมาสร้างประกายแปลบปลาบ นับคร่าวๆแล้วก็ประมาณ 11 เส้น ที่สาดประกายประชันความแหลมคม พวกมันบินร่อนไปมา ขยายห้วงจิตออกไปอย่างกว้างขวาง

    ขยับขยายพื้นที่แห่งนี้ ให้ใหญ่โตเสมือนฟ้าดินแห่งหนึ่ง ตรงจุดกึ่งกลางมีเงาเลือนลางของจิตกระบี่เส้นที่ 12 กำลังก่อตัวขึ้นมาด้วยความเร็วเต่าคลาน คาดว่าคงไม่ทันการณ์ตอนจูเฉียวมาถึง

     

       ตลอด 4 วัน ชายหนุ่มหมกตัวอยู่แต่ภายใต้ห้องพัก ขัดเกลาจิตใจตนเองให้พร้อมแก่การ ออกกระบี่และเป็นการใช้กระบี่เคาะด่านคำถามภายในจิตใจ

    ว่าแท้จริงแล้วตนหวาดกลัวว่าจะมองไม่เห็น หรือ หวาดกลัวดวงตาของตนกันแน่ การใช้จูเฉียวเป็นหินลับมีดในครั้งนี้ มีข้อดีข้อเสียมากมาย แต่ใช้ว่าจะผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ

     

       แม้อีกฝ่ายจะเป็นยอดยุทธ์รากฐาน โงนเงนผุพังแต่ใช่ว่าจะรับมืออีกฝ่ายได้ง่ายดาย หากไปท้าทายอีกฝ่ายทั้งๆที่ตนไม่พร้อม ก็ไม่ต่างจากมีขวัญกล้าเทียมฟ้า ราวกับกินดีหมีหัวใจเสือมาก็มิปาน หากอีกฝ่ายไม่มาก็ได้แต่ตัดใจ แล้วเดินทางไปยังตะวันตกต่อไป

    จนแล้วในเช้าวันที่ 5 กองโจรพงไพรสายลม ก็ยกขบวนมาถึงหน้าหมู่บ้าน ห่างจากประตูหมู่บ้านอยู่ 1 ลี้ หลินมู่ที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้ว เขาลุกขึ้นยืนดื่มสุราหนึ่งจิบ

     

       สวมหมวกไม้ไผ่เดินออกจากห้องพัก ตรงไปทางหน้าหมู่บ้าน เมื่อชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ สวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะเดินออกมาได้ครึ่งลี้ ระหว่างทางก็ก้มลงเก็บก้อนหิน ขนาดพอดีมือมาก้อนหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งราวกับรอใครสักคน

    ไม่นานชายกำยำร่างสูงใหญ่เคราเฟิ้ม ควบม้าสีดำตัวใหญ่ออกมาจากกองโจรร่วมหลายร้อยชีวิต มาหยุดอยู่ห่างชายหนุ่มเพียงไม่กี่จั้ง “เจ้าหรือที่เป็นคนทำให้ สาวอุ่นเตียงข้าต้องร้องห่มร้องไห้ วิ่งไปขอร้องให้ข้ามาสังหาร”

     

       หลินมู่ยกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากนางไม่วาดงูเติมขา ก็คงเป็นข้ากระมัง” จูเฉียวหรี่ตามองไปยังชายหนุ่ม ที่กำลังยืนเล่นก้อนหินก้อนหนึ่ง ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ราวกับมีเส้นด้ายบางอย่าง ซักจูงให้ทั้งสองมาพบพาน

    “เจ้าไม่กลัวเลยหรือ?” หลินมู่ส่ายหน้า “เหตุใดต้องกลัว ข้าจะใช้เจ้าเป็นหินลับกระบี่ หากหวาดกลัวก็คงไม่ปล่อยนางไปส่งข่าวตั้งแต่แรก เจ้าหล่ะตามตรงแค่เสียงบ่นของสตรีอุ่นเตียง เจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ใหญ่มิได้สนใจด้วยซ้ำแต่เหตุใดจึงมา" จูเฉียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้ามันเถรตรง จนแทบแยกแยะคำว่า เถรตรง กับ เย่อหยิ่ง ไม่ออกแล้วรู้ไหม? ส่วนเหตุผลที่ข้ามานะหรือ เพราะสัญชาตญาณของข้าบอกให้มา” 

     

       หลิมมู่ยกยิ้ม “แม้ข้าจะเถรตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้ายืดหยุ่นไม่เป็น หรือ เป็นคนโง่ แต่แค่ครั้งนี้ใจข้ามิยอม เจ้าอย่าได้เอาอุบายใต้แขนเสื้อ ที่กำลังจะหลุดออกจากปาก มาโน้มน้าวจนข้ากับเจ้าหลังจากนี้ เดินบนเส้นทางผุพังของวรยุทธ์เลย” จูเฉียวปิดปากพร้อมยกยิ้มอำมหิต “รู้สูงต่ำแพ้ชนะ หรือ เป็นตาย” 

    ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าสวมหมวกไม้ไผ่ ยังคงไม่สะทกสะท้านเล่นกับก้อนหินในมือตนเอง พร้อมตอบกลับอย่างนิ่งสงบ “เป็นอย่างหลัง” จูเฉียงหัวเราะชอบอกชอบใจ “ดี!ดีมาก!! ไม่ว่าเป็นหรือตาย จะข้าหรือเจ้า เจ้าก็จะเป็นคนที่ข้านับถือที่สุดคนหนึ่ง!!” เอาตามตรงเรื่องนี้สามารถ จบลงได้ด้วยเพียงแค่การพูดคุยเจรจา แต่ใจของทั้งสองไม่อาจยอมรับให้จบลงเช่นนั้นได้ จึงมีเพียงหยิบอาวุธขึ้นมาปะหัตถ์ประหาร ถึงจะกำจัดความไม่ยอมรับเล็กๆนั้นทิ้งไป

     

       จูเฉียวยิ้มแย้มกระโดดจากหลังม้า หยิบสุรา 2 ไหออกมา หนึ่งไหเขาเปิดผนึกดื่มเอง ส่วนไหที่สองเขาโยนให้หลินมู่ หลินมู่ไร้ซึ่งความหวาดระแวง ก็รับไหเหล้ามาเปิดผนึกพร้อมพูดขอบคุณ “ขอบคุณจอมยุทธ์ใหญ่” 

    พูดจบก็เทลงปากดื่มอย่างสะใจ เมื่อเหลือครึ่งไหเขาก็หยุดลง เขาใช้ผ้าปิดปากไหเอาไว้ แล้วจึงนำมาห้อยไว้ข้างเอว จูเฉียวถามขึ้นอย่างสงสัย “เหตุใดจึงไม่ดื่มให้หมด?” 

     

       ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างขี้เล่น เก็บหินก้อนที่อยู่ในมือเข้าถุง ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นมา “ตอนที่เจ้าถูกกระบี่ข้าจนตาย ถ้าไม่มีสุราไหวหลุมศพก็กระไรอยู่” จูเฉียงหัวเราะดังสนั่น

    ยอดฝีมือที่แท้จริงในยุทธจักรก็เช่นนี้ มีเรื่องทุกข์ใจก็ร่วมดื่มสุรา แม้ผูกปมแค้นเป็นตายก็สามารถร่วมโต๊ะ ดื่มสุราสักจอกก่อนจะจับอาวุธขึ้นมาปะหัตถ์ประหารกัน ใครเป็นใครตายอีกฝ่ายที่เหลือ ก็จะดื่มเหล้าเซ่นไหว้ ยอดฝีมือควรจะเป็นเช่นนี้ 

     

       จูเฉียวที่เหลือสุราครึ่งไหก็วางลงข้างม้าของตน แล้วจึงเดินไปหยิบดาบโค้งอันยักษ์ ที่แค่เห็นก็รู้ว่าคุณภาพมิต่ำต้อย “ข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เจ้ามีนามว่ากระไร หากเจ้าพลันตายเพราะเพลงดาบของข้าขึ้นมา จะได้เขียนไว้บนหลุมศพถูก และ วันนี้ของทุกปีข้าจะจุดธูปไหว้เจ้า พร้อมกับเหล้า 2 ไห”

    หลินมู่ยิ้มน้อยๆเอื้อมมือไปจับด้ามของตงหยู “ข้าไม่คิดว่าข้าจะมาตายตรงนี้ นามของข้าคือ หลินมู่” จูเฉียวยิ้มแยกเขี้ยว “หลินมู่งั้นหรือ เป็นชื่อที่ดี นามของข้าคือ จูเฉียว!!” สิ้นเสียง

     

       ดาบโค้งอันยักษ์ก็ฟาดลงมา แยกพื้นดินและกองหิมะออกจากกัน หลินมู่เองก็ตั้งท่าดึงตงหยูออกจากฝัก คมกระบี่สีขาวดุจหิมะขาวบริสุทธิ์ แรกเริ่มเดิมที จูเฉียวควรจะอยู่ทิศตะวันตก แต่ด้วยกลอันใดก็มิทราบ เมื่อหลายเดือนก่อน กลับมีคนจากตระกูลต้าเจียงมาหาเขา ให้คำทำนายไว้หนึ่งประโยคแล้วจากไป เป็นผลให้เขามายังทิศตะวันออกแห่งนี้ จะเป็นแผนหรืออะไรก็ช่างแต่ครั้งนี้ เขาจะขอประลองอย่างเต็มคราบ ก็แค่นั้น เป็นตายอยู่กับโชคชะตา

    อาวุธของทั้งสอง สาดประกายอันเย็นเยียบ ดุจสายลมของสายฝนยามเหมันต์ฤดู ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอย่างเนิดนานก่อนจะเริ่มขยับตัว เปิดประลองศึกเป็นตายครั้งนี้ หนึ่งคือด่านบนมหามรรคา หนึ่งคือความหวังของซ่อมแซมรากฐานอันผุพัง

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×