ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #45 : ตอนที่ 45 มหามรรคายาวไกล

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 65


       หมู่บ้านฉาซานหมู่บ้านการเกษตร ที่เน้นการปลูกและเก็บเกี่ยวชาภูเขา แม้มองจากภายนอกคล้ายจะเป็น หมู่บ้านบนภูเขาแสนธรรมดา

    แต่กลับกัน หากพวกเขาธรรมดาจะอยู่รอด บนถนนไปทิศตะวันตกได้นานขนาดนี้เลยหรือ? การที่อยู่รอดปลอดภัยเป็นเวลาหลายสิบปี แสดงว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ธรรมดา

     

       มีกำลังมากพอจะป้องกันตนเองกับกองโจร หรือ พวกเขาอาจจะมีข้อตกลงกันบางอย่าง จึงไม่รุกรานกันและกัน นี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานตื้นๆของหลินมู่ ส่วนสาเหตุที่กองโจรไพศาล มาทำอะไรที่ทิศตะวันออก ไม่ใช่เรื่องที่หลินมู่สนใจนัก ในเมื่ออีกฝ่ายเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาไปตะวันตกเพื่อหาตัวอีก

    เนื่องจากไม่เคยมีข่าวว่ากองโจรพงไพรสายลม บุกเข้าปล้นชิงหรือโจมตีเมืองหมู่บ้านแถบนี้เลย เขาจึงเลือกหมู่บ้านแห่งนี้เป็นจุดเรียกหินลับมีดของตน หากเป็นไปตามที่เขาคิด

     

       เม่ยลี่เจียงน่าจะกำลังวิ่งไปขอความช่วยเหลือจาก จูเฉียวผู้นำของกองโจรพงไพรสายลม จากปฎิกริยาของนางคาดว่าจูเฉียวคงตั้งแคมป์อยู่ห่างจากบริเวณ ศาลาเก่าแห่งนั้นเป็นเวลาสองถึงสามวัน

    กว่าอีกฝ่ายจะได้รับสารที่ส่งผ่านนางโจรคนนั้น และ กว่าจะห้อตะบึงมาถึงหมู่บ้านฉาซาน ก็รวมแล้วห้าถึงหกวันเศษๆ เขาค่อนข้างกลัวเลยว่าจูเฉียวจะไม่มา

     

       เพราะจูเฉียวที่เขาพอคาดเดาได้จากเรื่องเล่า และข่าวสารที่สืบมาก่อนเดินทาง อีกฝ่ายคือจอมยุทธ์ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือท่านหนึ่ง เม่ยลี่เจียงที่มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น นางจะต้องแต่งเติมหรืออาจจะวาดงูเติมขา เพื่อให้ชักจูงให้จูเฉียวควันออกหูก่อนจะห่อตะบึง มาสังหารคนแต่ต้องขึ้นว่าจอมยุทธ์ใหญ่ท่านนั้น จะสนเรื่องยับย่อยของนางหรือไม่

    ทางด้านเม่ยลี่เจียงนางก็ใช่สตรีขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ออกจะสวยจนบุรุษใจเต้นได้ด้วยซ้ำ นางน่าจะใช้วิธีเอาร่างกายเข้าแลก จึงสามารถสร้างความสัมพันธ์กับจูเฉียวได้สำเร็จ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรกับนาง ตอนแรกที่หลินมู่ได้ยินว่านางเสนอร่างกายขึ้นมา

     

       ชายหนุ่มก็รู้สึกขยาดในใจ เขาไม่ได้อยากติดโรคอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ แถมเขาก็ไม่ใช่พวกสุนัขกินไม่เลือก ใครจะเอาก็เอาไปแต่เขาหลินมู่ไม่เอาแน่ๆ หากไม่มีข้อสันนิษฐานที่ว่านางมีสัมพันธ์กับจูเฉียว

    สามารถใช้ส่งสารเรียกหินลับมีด มาหาโดยที่เขาไม่ต้องวิ่งไปหาถึงตะวันตก เขาคงจะใช้ตงหยูกุดศีรษะของนางลงจากบ่าแล้วเป็นแน่ แต่พอมาคิดทีหลังว่าตงหยู จะเปื้อนเลือดสตรีเช่นนี้ชายหนุ่มก็พูดขอโทษ

     

       เจ้ากระบี่ที่สะพายไว้บนหลังล่วงหน้า เพราะยังไงพอจบศึกเป็นตายกับจูเฉียวแล้ว เขาจะสังหารนางแน่นอน เพื่อไม่ให้เหลือเสี้ยนหนามใดๆไว้อีก

    การมีเรื่องเสี่ยงตายเข้ามาภายในชีวิต ก็เป็นเรื่องดีหากรอดไปได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่องดีขึ้นเสมอไป นานๆครั้งตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย ก็ถือเป็นเรื่องที่ควรจะทำ หากทำแบบพระเอกในนิยาย

     

        ที่วิ่งตะโกนว่าข้าอยากตายแปะไว้บนหน้าผาก แกว่งเท้าหาเสี้ยน ลบหลู่กองกำลังทรงอำนาจ แม้จะไม่ตายโดยเร็ว แต่หากไม่มีโชคคุ้มครอง คงตายตั้งแต่สองเดือนแรกดีไม่ดีอาจจะอยู่ไม่คุ้มวัน

    ไม่มีวันจะได้อยู่สงบๆหรอก ฉะนั้นเมื่อหินลับมีดก้อนนี้หมดประโยชน์ เขาก็จะกำจัดเสี้ยนหนามในอนาคต ทั้งหมดทิ้งจนไม่เหลือ แม้จะดูโหดร้าย และ ไร้เหตุผล นี่คือเส้นทางมหามรรคาของชายหนุ่ม ที่ต้องการให้ทุกการตัดสินใจเถรตรงกับตนเองที่สุด

     

       แต่ก่อนจะเริ่มสังหารหมู่ เขาก็จะใช้เหตุผลกับโจรเหล่านั้นอีกสักหน่อย มันมีไม่มากหรอกที่คนคนหนึ่งจะสมัครใจเป็นโจรตามจิตใจที่แท้จริง ต้องมีเหตุผลหรือสถานการณ์บางสิ่ง

    ทำให้พวกเขาต้องมาเป็นโจร สร้างความวุ่นวายหลายร้อยลี้ ปลูกฝังความเกลียดชังและความหวาดกลัว ไว้บนหัวใจชาวบ้านปุถุชน หากให้พูดตามตรงแล้วโจร ก็แค่ปุถุชนที่ฟ้าดินขับไล่ไสส่ง

     

        พวกเขาไร้ทางเลือกจึงจำต้องมาเป็นโจร แม้จะฟังดูเข้าข้างโจรไปบ้างก็เถอะ นี้คือมุมมองของหลินมู่สำหรับโจร เป็นเพียงความเข้าใจต่อฟ้าดินอันเล็กน้อยของเขา แต่สำหรับโจรร่วมยี่สิบคนที่หลินมู่สังหารไป เหตุใดเขาจึงไม่ถามเหตุผลคนเหล่านั้นเลยล่ะ?

    สามารถตอบได้ง่ายๆภายในหนึ่งประโยค ‘เพราะมันคุยด้วยเหตุผลไม่ได้’ ต่อให้เขาสาธยายแนวคิด การกลับตัวกลับใจของทุกศาสนา หรือ การวางมีดแล้วเป็นอรหันต์ ของ ศาสนาพุทธ ให้คนเหล่านั้นฟัง

     

        คงไร้ประโยชน์และเปลืองน้ำลายเปล่า อาจจะได้คำตอบมาประมาณว่า ‘เจ้าพล่ามอะไรอยู่? หรือ เจ้ากลัวจนสมองฝ่อไปแล้ว? อรหันต์? มันให้ความสุขีเหมือนตอนอาเจ๊ ขี่พวกข้าเป็นม้าขย่มไปมาไหมล่ะ?’

    คำตอบอาจจะออกมาเป็นแนวๆนี้แหงๆ ถึงปล่อยไปก็คงไปสร้างปัญหาให้คนอื่น สู้ออกกระบี่สังหารพวกเขาให้กลับสู่สายธารแห่งวัฏสงสาร ดำเนินวัฏจักรใหม่ในชีวิตหน้า หวังว่าจะไม่เป็นโจรอีก คงดีกว่ามาพล่ามเหตุผลล้านแปด ให้พวกเขาเปิดปัญญาและกลับตัวกลับใจ

     

       หลินมู่ที่นั่งบนหลังเจ้าซุยโก๋ ขบคิดสรุปเหตุการณ์ และ การกระทำของตนเอง ในสถานการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ออกมา

    “ใกล้ถึงแล้ว….” ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบา ร่างกายที่นั่งหลังตรงดุจรูปปั้นพระโพธิสัตว์ ก็ผ่อนคลายลงมาหลายส่วนตามทางเขาคิดไตร่ตรองมาตลอดทาง

     

       พอใกล้ไปถึงหมู่บ้าน เขาก็ปัดตกเรื่องที่กำลังไตร่ตรองอยู่ ไปเก็บไว้กับเรื่องอื่นๆ ที่ยังไตร่ตรองไม่แตกฉานทะลุปรุโปร่ง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างกระทันหัน เพราะดันนึกถึงเรื่องหนึ่งอย่างบังเอิญ

    “มหามรรคาช่างยาวไกล….” จอมยุทธ์หนุ่มสาวที่วิ่งเหยาะๆ ตามหลังเจ้าลาเทามาเห็นเค้าโครงของหมู่บ้าน ที่สุดสายตาก็แสดงท่าทีดีอกดีใจ พวกตนจะไม่ต้องแข็งตายอยู่ด้านนอกแล้ว

     

        มี 4 คนที่วิ่งนำหน้าไปอยู่รวดเร็ว ทิ้งหลี่ซง ไว้กับ หลินมู่ ทั้งสองปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใดออกมา “ท่านหลิน อะไรคือมหามรรคา…” ชายหนุ่มถามออกมาอย่างสงสัย พร้อมเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกหลินมู่ จากคุณชายเป็นท่าน แม้หลินมู่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา แต่สำหรับหลี่ซงผู้มีสัมผัสรับเสียงดีกว่าคนทั่วไปแต่เกิด สามารถได้ยินเพียงเลือนลางเท่านั้น 

    เขาจึงสงสัยแม้ชื่อจะคล้ายกับเคล็ดตำราวรยุทธ์ แต่ฟังจากน้ำเสียงของหลินมู่แล้ว คงไม่ใช่อะไรแบบนั้นแน่นอน หลินมู่ยกยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าไม่คิดว่า ข้าแค่พูดออกมาลอยๆหรือ?" หลี่ซงส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     

       หลินมู่ยังคงไม่ตอบตรงๆ ยังคงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยต่อไป “ปีนี้เจ้าและพวกพ้องอายุเท่าไหร่?” หลี่ซงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “ข้า และ คนอื่นๆ มีอายุราว 17 ปี ท่านหลินถามไปทำไมหรือ?” หลินมู่จุปากก่อนจะทิ้งระยะไปสักนิด

    แล้วจึงกระตุกบังเหียน เร่งให้เจ้าซุยโก๋วิ่งเร็วขึ้น “เวลายังเหลือค่อนข้างเยอะ แต่ก็น้อยนิด เจ้าจงเก็บ คำนั้นไว้ภายในใจ เมื่อวันใดมาถึงหากเจ้ายังคงไม่ลืม เจ้าจะได้คำตอบแต่คงอีกไม่นานหรอก คำตอบจะมาหาเจ้าแน่นอน” พูดจบหลินมู่ก็อยู่ห่างจากหลี่ซง จนต้องตะโกนจึงจะคุยกันรู้เรื่องแล้ว

     

       หลี่ซงแสดงสีหน้าขบคิด “มหามรรคาคือสิ่งใด เหตุใดท่านหลินจึงไล่ตามมัน..” เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ภายในใจ ตามคำแนะนำของหลินมู่

    หลินมู่ที่นำหน้าไปก็เอื้อมมือ มาวางไว้บนด้ามของเฮ่ยซาน ตอนเขาจะตอบคำถามไขข้อสงสัยให้หลี่ซง ไม่รู้ทำไมศิษย์พี่ของตน อย่างหลัวกงฟานจึงติดต่อผ่านจิตใจ บอกเขาว่าให้หยอดเมล็ดแห่งความสงสัยมากกว่านี้ ปล่อยให้เขาไปไตร่ตรองเอาเอง หลังจากคนจากนิกายมาถึงแล้ว จึงค่อยตอบคำถามของเขา…

     

     

     

        

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×