ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #43 : ตอนที่ 43 ชุ่มโจมตี

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 65


       หญิงสาวนามหยวนจูซิง ผู้พึ่งขอแบ่งปันฟืนแห้ง และ เชื้อไฟเล็กน้อยจากชายหนุ่มคนหนึ่งได้สำเร็จ

    ก็เดินยิ้มแย้มกลับมาหาเหล่าสหายของนาง ไม่ทันจะให้นางเปิดปากพูดอันใด ก็เป็นหญิงสาวผู้เคยจะเกือบหลุดปาก ตะโกนชื่อนางออกมาดังๆ ที่ดุนางขึ้นมาทันที

     

       “จูซิง เจ้ารู้ไหมว่าหากคุณชายผู้นั้นไม่ใช่คนดี เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย! ข้ากับพวกหลี่ซงก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ยังดีที่คุณชายท่านนั้น เป็นคนดีมีน้ำใจดุจสายน้ำสายยาวสายหนึ่ง”

    หยวนจูซิงจากคราแรกที่ยิ้มแย้มอย่างดีใจ หลังจากโดนญาติของตนดุด่า นางก็ห่อเหี่ยวลงหลายส่วน ญาติของนางถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปทางหลินมู่

     

       “ขอขอบคุณ คุณชายอีกครั้ง ที่ท่านมีเมตตาและใจกว้างไม่ถือสา สิ่งที่ญาติของข้ากระทำอย่างบุ่มบ่ามลงไป” หลินมู่ไม่หันกลับมาเพียงแค่ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

    “ไม่เป็นไร เป็นตายในยุทธจักรต้องรับผิดชอบกันเอง การที่พวกเจ้าหวาดระแวงก็ถือเป็นเรื่องถูกต้อง หากข้าเป็นคนเลวขึ้นมา ครั้งนี้ญาติของเจ้าอาจจะตกอยู่ในอันตราย ฝากให้พวกเจ้าคอยเตือนนางด้วย….”

     

       หยวนจูซิงเม้มปากแน่น นางกระทำอย่างไม่รอบคอบจริงๆ หากชายหนุ่มสะพายกระบี่สวมหมวกไม้ไผ่ ผู้นั้นเป็นคนเลวจริงๆ ป่านนี้นางอาจจะตกอยู่ในอันตรายแล้วเป็นแน่

    ไม่ใช่แค่นั้นแม้แต่เหล่าสหายของนาง อาจจะต้องฝืนสังขารออกแรงช่วยเหลือนาง แบบนั้นยิ่งจะทำให้อาการบาดเจ็บของแต่ละคนสาหัสมากขึ้น 

     

       ญาติของหยวนจูซิง นางพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะพูดขึ้น “ข้ามีนามว่า หยวนอูหง คนที่ขอแบ่งฟืนจากท่านนามว่า หยวนจูซิง คนที่ใช้ขวานนามว่า หยงหยาง คนด้านข้างนามว่า เล่ยซวน คนสุดท้ายที่ใช้ดาบนามว่า หลี่ซง พวกเรามาจากสำนักฉางเจียง”

    หยวนอูหงเริ่มแนะนำตนเอง และ สหายของนางทีละคนตามมารยาท หลินมู่ที่พึ่งเติมฟืนลงไปในกองไฟ ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหินห่าง “ข้าคงต้องขออภัยไว้ตรงนี้ ที่ข้าไม่อาจบอกนามของข้าได้ ข้าบอกได้แค้ว่าข้าแซ่หลิน”

     

       พูดจบหลินมู่ก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก หยวนอูหงป้องมือเป็นการทำความเคารพ ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกันเหล่าสหายของนาง พอนางนั่งลงชายที่ใช้หอกนามเล่ยซวน ก็พูดขึ้นราวกับผีเจาะปาก

    “ชิ! คนอะไรกัน ทำเป็นหยิ่งคิดว่าแค่ตบะสูงนิดหน่อย จะทำเป็นลึกลับเสมือนผู้เชี่ยวชาญได้หรือไง?” เขาพูดออกมาอย่างไม่พอใจ แต่กลับกดเสียงไว้ให้เพียงแค่ในหมู่สหายเท่านั้นที่ได้ยิน

     

       ชายที่ใช้ขวานส่ายหน้าก่อนจะพูด “เล่ยซวน เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ คุณชายหลินสามารถเดินไปไหนมาไหน ในยุทธจักรเพียงตัวคนเดียว แสดงว่าฝีมือและตบะคงต้องสูงเป็นอย่างมาก สำหรับเขาพวกเราคงไม่ต่างจากกอหญ้าที่จะถอนรากถอนโคนเมื่อไหร่ก็ได้”

    หยงหยางพูดอย่างอิจฉาและแฝงความกังวลเล็กน้อย “เอาน่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร การที่เราออกมาหาประสบการณ์ในครั้งนี้ และไปเจอกับ กองโจรบัดซบพวกนั้นจนต้องได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าควรจะโทษข้าที่ข้าประมาทเลินเล่อ” จากการแทรกบทสนทนาของหลี่ซง ทำให้แต่ละคนปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก

     

       ระหว่างเดินทางไปตะวันตก เพื่อหาประสบการณ์ ในระหว่างที่กำลังเดินทางอย่างผ่อนคลาย พวกเขาดันเผชิญหน้ากับ กองโจรที่ปล้นรถม้าอย่างเหิมเกริม เสียงสตรีร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาอย่างน่าสงสาร เลยคิดจะผดุงความยุติธรรมปราบคนชั่ว

    แต่พอเข้าไปช่่วยเหลือกลับตกหลุมพลางอย่างจัง ไม่คิดเลยว่ารถม้าจะเป็นเพียงตัวล้อ และ สตรีที่ร้องให้ช่วยเหลือจะเป็นพวกมันเช่นกัน กว่าพวกเขาจะฝ่าแนวปิดล้อมออกมาได้ ก็ต้องเข้นแรงออกมาหลายส่วน

     

       และกว่าจะฝ่าพายุหิมะมาถึง ศาลาเก่าแห่งนี้พวกเขาก็หมดแรง ไม่มีเหลือจะหยิบอาวุธขึ้นมาแสดงกระบวนท่าแล้ว

    ที่หลี่ซงแสดงไปในตอนต้น ที่ค้นพบว่าหลินมู่อยู่ภายในศาลา ก็แค่ท่าทางไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงได้ ดั่งกับกระดาษเปียกที่รากฐานโงนเงน ไม่อาจดึงลมปราณออกมาได้สักเฮือกเพื่อออกกระบวนท่า

     

       หยวนอูหงหันไปทางหยวนจูซิง ที่นั่งอยู่ด้านข้างของนางก่อนจะพูดขึ้น “จูซิง หลังจากนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เจ้าอย่าว่าข้าจุกจิกเลย ท่านอาฝากข้าให้ดูแลเจ้า การที่ข้าจุกจิกก็เพื่อตัวของเจ้า”

    หยวนจูซิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้นางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างที่ถูกดุ แต่ก็กลับมาเป็นปกติเพียงไม่นานหลังจากนั้น ภายในศาลาเก่าข้างทาง มีคนอยู่หกคนกับลาอีกหนึ่งตัว

     

       กำลังนั่งผิงไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น รอเวลาที่พายุหิมะจะผ่านพ้นไป ผ่านไปอีกเกือบสองชั่วยาม ในที่สุดพายุหิมะด้านนอกก็เริ่มซาลง หลินมู่ลุกขึ้นยืนเดินไปยืนอยู่นอกศาลา ปากคล้ายพึมพำบางอย่าง

    ก่อนจะเดินกลับเข้ามาหาเจ้าซุยโก๋ หยิบร่มเดินออกจากศาลาโดย ไม่หันมาเหลียวหลังแม้แต่น้อย เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มสาวยังคงนั่งพักรักษาตัวอยู่ภายในศาลา ไม่คิดจะสนใจการกระทำของชายหนุ่ม

     

       แม้จะยังมีหิมะโปรยปรายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่หลวงอะไร ออกจะค่อนข้างสวยงามด้วยซ้ำ หลินมู่เอื้อมมือไปรองรับสะเก็ดหิมะ ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

    เมื่อเกล็ดหิมะเจอกับความอบอุ่นของฝ่ามือ มันก็เริ่มละลายจนหายไปไม่หลงเหลือความงดงามอีก “หิมะยังบอบบางเช่นนี้ ใจมนุษย์จะเช่นไรกัน” หลินมู่พึมพำเสียงแผ่ว ใช้ร่มไม้ไผ่บดบังหิมะเดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ

     

       ออกห่างจากศาลาได้สักระยะ หลินมู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบดุจผิวน้ำในบ่อน้ำโบราณ “พวกเจ้าเลิกหลบซ่อนได้แล้ว…” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไร้กังวล สีหน้าเป็นธรรมชาติยืนปักหลักนิ่งดุจเป็นภูเขาสูงไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน

    สิ้นเสียง ชายฉกรรจ์ในชุดขนสัตว์ตัวหนา ก็เดินออกมาจากหลังต้นไม้ บ้างก็ลุกขึ้นมาจากกองหิมะ ปิดล้อมชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นี้ไว้ทุกทิศทาง ราว 20 กว่าคน “คุณชายท่านนี้สัมผัสดีเลิศใช้ได้ ไม่เสียทีที่กล้าเดินไปไหนมาไหนตัวคนเดียว แสดงว่าบนตัวท่านคงมีของมีค่ามากมายเป็นแน่”

     

       สตรีใบหน้าเลอโฉมร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ดุจนางหงส์นางกระเรียน หน้าอกหน้าใจอันมหึมา เดินบิดกายออกมาจากหลังกองหิมะ ใบหน้ารูปไข่พร้อมริมฝีปาอวบอิ่มแดงฉานดุจกุหลาบแดง

    เปียผมสีบรอนซ์ยาวจนถึงแผ่นหลัง ดวงตามแหลมคมจับจ้องมาทางหลินมู่ “คุณชายทำตัวว่าง่าย แล้วท่านจะรอดออกไปแบบครบสามสิบสอง โอ๊ะไม่สิต้องบอกว่าสามสิบเอ็ด”

     

       สิ้นเสียงของนางเสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ดังขึ้น หลินมู่ได้แต่ถอนหายใจยาว “อ้าวๆ อะไรกัน คุณชาย ท่านโมโหหรือ?” นางยังคงพูดด้วยน้ำยั่วเย้า ขยับริมฝีปากอวบอิ่มพยายามพูดล่อลวง ชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นี้

    หลินมู่หุบร่มไม้ไผ่พร้อมปักมันไว้บนพื้น ก่อนจะเปล่งเสียงเย็นยะเยือกออกมา “คราแรก ข้าคิดจะมาพูดคุยด้วยเหตุผลดีๆ เพื่อไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทางระหว่างข้าแหละพวกเขา แต่เหมือนพวกเจ้าจะเอาเหตุผลมาคุยด้วยไม่ได้…ต่อให้ข้าพล่ามเหตุผลร้อยแปด พวกเจ้าก็จะฆ่าคนชิงทรัพย์อยู่ดี” สิ้นเสียงเขาก็ม้วนตัวเดินเข้าหาเจ้าแม่รังโจรผู้นั้น นางขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใส่เกี๋ยะเดินไปมาในกองหิมะ

     

       ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ว่าตนจะเตะโดนตอเข้าหรือไม่ แม้ลูกน้องของนางบางส่วน จะฝังตัวใต้หิมะแต่ก็ยังต้องสวมใส่เสื้อขนสัตว์ตัวหนาหลายชั้น 

    แต่อีกฝ่ายกลับสวมเพียงชุดคลุมตัวบาง สวมเกี๋ยะเดินไปมาไม่เกรงกลัว ต่อหิมะขาวแสนเยือกเย็นเหล่านี้เลย “ไอ้หนูตาบอด เจ้าจะอวดดีเกินไปแล้ว! ที่อาเจ๊ยอมคุยกับเจ้าก็เป็นบุญของเจ้าแล้ว!!” ไม่ทันจะให้นางได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในลูกน้องของนางก็โดดเข้าหา ร่างนั้นพร้อมง้างดาบโค้งอันใหญ่ เตรียมฟาดลงมาหวังสังหารชายหนุ่มเสีย

     

       ไม่ทันจะให้นางได้ตอบสนอง อีกฝ่ายก็ฟาดดาบเข้าใส่ชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว พรึ่บ!! เสียงของชายแขนเสื้อสะบัดอย่างรุนแรงดังขึ้น 

    มาพร้อมประกายแหลมคมของ กระบี่ที่ถูกดึงออกจากฝัก ใบดาบสีขาวดุจหิมะบริสุทธิ์ในเหมันต์ฤดู เปล่งประกายกลิ่นอายสังหารเย็นเยือก ร่างใหญ่โตของชายฉกรรจ์ผู้นั้น ล้มตึงลงไปเป็นตายไม่อาจทราบได้ ไม่รู้ตอนไหนที่ชายหนุ่มตรงหน้าออกกระบี่ นางมองไม่ทันด้วยซ้ำ แม้ตอนอีกฝ่ายชักกระบี่นางก็ยังมองไม่ทัน

     

       บริเวณโดยรอบกลายเป็นวังเวง ความเย็นยะเยือกที่มากกว่าหิมะบนพื้น เริ่มไต่ขึ้นมาจากปลายเท้าเข้าไปในจิตใจของโจรเหล่านี้ “ข้าจะให้โอกาส ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตของพวกเจ้า เจ้าหน้าสุนัข และ เจ้าผมยาวนั้น และ เจ้าที่อยู่ใต้หิมะ ตบะพวกเจ้าคือจอมยุทธ์ ข้าให้โอกาสเข้ามาโจมตีข้าพร้อมๆกัน เพื่อช่วงชิงโอกาศรอดชีวิตสุดท้ายไป ข้าจะให้เวลาตัดสินใจ เป็นตายหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา และ การออกกระบี่ของข้า ว่าจะไร้ปราณีสักแค่ไหน”

    สิ้นเสียงของหลินมู่เจ้าแม่รังโจรก็หน้าเปลี่ยนสี นี่มันไม่ชอบมาพากลแม้นางจะเคยได้ยินว่า พวกผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ตาบอดดวงตาไม่อาจมองเห็น จะมีสัมผัสดีกว่าทั่วไปอยู่หลายขุม แต่ไม่น่าจะค้นพบคนที่ซ่อนอยู่ หรือสำรวจตบะได้แตกฉานเช่นนี้

     

       แต่อีกฝ่ายอีกกลับทำได้อย่างง่ายดาย ราวกับไม่ต่างจากการดื่มน้ำ ไม่ทันจะให้นางสรุปอะไรออกมา ชายหนุ่มผู้นั้นก็เริ่มลงมือ ปลดปล่อยกลิ่นอายแหลมคมดุจตัวคน และ กระบี่เป็นหนึ่งเดียวกัน

    และเริ่มตั้งท่าเตรียมออกกระบี่ เจ้าแม่รังโจรเม้มริมฝีปากอวบอิ่ม สีแดงราวกับดอกกุหรางของนางแน่น ก่อนจะสั่งโจมตีด้วยสีหน้าซีดเซียว นางเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว แถมเป็นแผ่นเหล็กที่หนาใช่เล่นซะด้วย

     

       นางเม้มปากแน่นก่อนจะออกคำสั่งทันที สามคนที่ถูกหลินมู่เปิดโปงตบะบ่มเพาะ ก็พุ่งตรงเข้าใส่เขาจากสามทางราวกับลูกเกาทัณฑ์ แต่ละคนเล็งอาวุธไปยังจุดตาย หวังสังหารลงในชั่วพริบตา แต่เพียงแค่หลินมู่ออกกระบี่ ประกายแหลมคมก็พวยพุ่งออกมาจนบดบังวิสัยทัศน์จนสิ้น

    เมื่อรู้สึกตัว ทั้งสามร่างก็ลอยกลับหัวกลับหาง เป็นตายไม่แน่ชัด แม้แต่หิมะที่กองทับถมกันอยู่รอบตัวอีกฝ่าย ยังไม่เหลืออยู่แม้แต่กองเดียว ราวกับระเหยกลายเป็นความว่างเปล่า เหลือเพียงพื้นที่โล่งเสมือนแดนต้องห้ามที่ก้าวข้ามไปไม่ได้

     

       เขายกกระบี่ชี้ไปทางเจ้าแม่รังโจร พร้อมใช้มือดึงหมวกไม้ไผ่ลงเล็กน้อย “ตบะของเจ้าก็ค่อนข้างสูงนิ ครึ่งก้าวยอดยุทธ์ จะลองต่อสู้เป็นตายเพื่อเอาชีวิตรอดดูไหม…หรือจะเลือกทางอื่นล่ะ”

    ความเย็นยะเยือกราวกับมีเคียวของมัจจุราช มาจอที่คอกัดกร่อนความกล้าของนางไปจนหมด ในหัวได้แต่คิดนี้เสน่ห์ของนางไม่มีผลเลยหรือ? เขาจะย่ำยีดอกไม้งามเช่นนี้เลยหรือ? นางกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดเริ่มไหลออกมา ก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

     

       “โจมตีเขาเสีย!! หากรอดกลับไปได้ช้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม จะให้ข้าขี้พวกเจ้าเป็นม้าก็ยังได้” สิ้นเสียงนางก็หันหลังใช้วิชาตัวเบา พุ่งหายเข้าไปภายในป่าที่ไร้ใบ เหล่าโจรที่ได้ยินก็กู่ ร้องสุดเสียงพากันพุ่งเข้าหาชายหนุ่มผู้นั้น 

    ระหว่างวิ่งหนีเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นเป็นระยะๆ จนเงียบไปนางรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ คนที่สามารถมองตบะคนอื่นออกในทันที ถือว่าเป็นยอดฝีมือ ครั้งนี้นางตำตอจริงๆ “ข้าต้องกลับไป กลับไปให้ท่านพี่จูเฉียว มากำจัด….”

     

       ยังพูดไม่จบประโยค นางก็หยุดวิ่งแล้วจึงก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ตรงหน้าของนางคือมือกระบี่ผู้นั้น บนตัวไร้ร่องรอยแม้แต่เลือดบนอาภรณ์ยังไม่มีสักจุด ใบกระบี่สีขาวดุจหิมะ ที่มีเลือดสีแดงฉานไหลตามใบกระบี่ หยดลงบนกองหิมะ

    “ผู้อาวุโส ปล่อยข้าเม่ยลี่เจียงไปได้หรือไม่ ข้ามันผมยาวไร้ความรู้ อาวุโสโปรดเห็นใจ หรือท่านต้องการเรือนร่า…” ยังไม่ทันได้หว่านเหยื่อดี คมกระบี่สีดาวดุจหิมะ ก็มาวางผากอยู่ที่ลำคอขาวเนียนของนางเสียแล้ว

     

       “ข้าไม่สน…..ถ้าจะให้ปล่อยเจ้าไปก็อาจจะ” หลินมู่แง้มเปลือกตาขึ้นมาเล็กน้อย จ้องไปยังใบหน้าขาวผ่องของนาง ยังไม่ได้ทำอะไรก็เกิดรอยบาดราวกับมีมีดค่อยๆกรีดแก้มของนาง เม่ยลี่เจียงไม่กล้ากรีดร้องออกมา แม่นางกำลังเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ได้แต่เม้มปากแน่นรอฟังในสิ่งที่มือกระบี่ผู้นี้จะพูด

    “ไปเสียในขณะที่ข้ายังให้โอกาส บอกพี่จูเฉี่ยวของเจ้าด้วยข้ารอเขาที่หมู่บ้านฉาซาน แต่เพียงแค่ 5 วันเท่านั้น ไปซะ” ชายหนุ่มปิดเปลือกตาอีกครั้ง ทำเป็นไม่สนใจนางอีก

     

       เม่ยลี่เจียงที่แน่ใจแล้วว่าหลินมู่ไม่คิดสังหารตน ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันภายในใจ ที่นางโดยหยามหมิ่นเช่นนี้ นางสาบานเลยว่าเมื่อพี่จูเฉี่ยวมาเมื่อไหร่ จะทำให้อีกฝ่ายต้องร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช

    หลินมู่ปลดน้ำเต้า ขึ้นมาดื่มสุราอึกใหญ่ ก่อนเขาจะยกรอยยิ้มอย่างชั่วร้าย ตามตรงจะสังหารนางทิ้งตรงนี้ยังได้ แต่การต่อสู้เหมาะแก่การลับคมจิตกระบี่ และ เป็นการฝึกฝนเพลงกระบี่ เขาจึงใช้โอกาศนี้หาคนมาเป็น หินลับมีดบนเส้นทางของเขา มันไม่มีหรอกเส้นทางที่ราบรื่นไปตลอด หากไม่เจอความลำบากมนุษย์ก็ไม่เติบโต เขาสะบัดเลือดออกจากตงหยูก่อนจะเก็บเข้าฝัก แล้วจึงก้าวเดินจากไป ย้อนกลับไปยังลานประหารเพื่อเก็บร้มไม้ไผ่

     

     

     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×