ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #42 : ตอนที่ 42 ศาลากลางพายุหิมะ

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 65


       ตลอดสองวันที่ผ่านมา หลินมู่ก็ทำกิจวัตรเดิมๆ นั้นก็คือฝึกฝนวางแผนลงไปกินข้าว วนเวียนเป็นวัฏจักรเล็กๆอยู่สองวันเต็ม

    ระหว่างนั้นก็ออกไปซื้อของที่ต้องการอีกเล็กน้อย จึงถือว่าเตรียมตัวเดินทางระยะไกลเสร็จเรียบร้อย แม้จะไม่ได้เพรียบพร้อมทุกอย่าง แต่ของที่สำคัญก็ซื้อหามาหมดแล้ว

     

       ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้า สะพายกระบี่สองเล่มสวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะ เดินลงจากบรรไดพร้อมกับถุงใบโตหนึ่งใบ

    เมื่อมาถึงเคาน์เตอร์ของโรงเตี๊ยม เขาก็ยื่นกุญแจห้องคืนเถ้าแก่เนี้ยผู้แต่งหน้าจัดผู้นั้น “ข้าจะไปแล้ว ขอเงินที่ข้าลงบัญชีไว้ด้วย” เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าพอรับป้ายห้องไป

     

       ก็หันไปตะโกนเรียกให้เจ้าผอมเตรียมตัว เอาสัมภาระและเจ้าลาเทาซุยโก๋ออกมา สิ้นเสียงตะโกนเจ้าผอมที่ดูอย่างไรก็หวาดเสียวว่า จะโดนลมฤดูเหมันต์พัดพาไปหรือเปล่า

    เขาเดินมารับถุงใบนั้นจากหลินมู่ ก่อนจะเดินไปหลังร้านไปเตรียมเจ้าลาซุยโก๋ ที่นอนเป็นหมูไม่ทำอะไรกว่าสองวันเต็ม “รบกวนเจ้าแล้ว” หลินมู่พูดกับเจ้าผอมด้วยรอยยิ้ม

     

       เจ้าผอมที่ได้ยินก็โบกมือปัดๆไป “ท่านไม่ต้องขอบคุณข้า มันคือหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ก่อนจะเดินหายไป

    สักพักเถ้าแก่เนี้ยแต่งหน้าจัดผู้นั้น ก็นำถุงเงินที่อัดแน่นไปด้วยเหรียญอิแปะมาให้กับหลินมู่ “ขอบคุณนายท่านที่มาใช้บริการ ขอไว้โอกาสหน้าเชิญใหม่” หลินมู่พยักหน้าพร้อมตอบรับ “หากมีโอกาส ข้าจะกลับมารบกวนแน่นอน” ส่วนคุณหนูสิบเจ็ดผู้นั้น ถูกเจ้าเตี้ยจง จับขังไว้เพื่อไม่ให้ทำอะไรวู่วาม

     

       หลินมู่รับถุงใส่เหรียญมาแล้วจึงออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อเดินออกมาจากอากาศอบอุ่นของโรงเตี๊ยม ก็เจอกับอากาศหนาวเย็นของด้านนอกตีเข้าใบหน้าจังๆ

    เจ้าผอมที่สวมใส่ชุดขนสัตว์กันหนาวตัวหนาเตอะ จูงเจ้าซุยโก๋ที่แบกสัมภาระไว้มากมายเดินมา เขายกยิ้มเดินเข้าไปลูบหัวเจ้าลาเทาลายด่างตัวนั้น “นี้สำหรับเจ้า” หลินมู่หยิบเหรียญเงินสลัก 1 เหรียญส่งให้เจ้าผอม

     

       เจ้าผอมก็รับมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณ โอกาศหน้าขอเชิญท่านใหม่” หลินมู่พยักหน้าก่อนจะเดินจูงเจ้าลาซุยโก๋ เดินตามถนนไปยังประตูทางทิศตะวันตก

    ตั้งแต่เข้ามาพักภายในเมือง จิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน จนอยากอยู่ต่อที่นี่อีกสักพัก แต่ชายหนุ่มยังมีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่าง จนกว่าจะทำเรื่องทุกอย่างเสร็จเขายังพักไม่ได้

     

       ระหว่างเดินไปตามถนนมีแผงขายผลไม้ เขาจึงซื้อมาสี่ผลเป็นแอปเปิ้ลเขียว ลูกโตท่าทางอุดมไปด้วยสารอาหาร

    เจ้าซุยโก๋ที่เห็นผลไม้ลูกโตก็ดวงตาเป็นประกาย หลินมู่ที่เห็นดูมันสนใจ ก็ยิ้มก่อนจะหยิบมีดออกมาจากถุงสัมภาระ และ แบ่งครึ่งลูกกับเจ้าซุยโก๋ หนึ่งคนหนึ่งลาเคี้ยวแอปเปิ้ลแก้มตุ่ยๆ

     

        อีกสามลูกที่เหลือถูกเอาใส่ไว้ในถุงสัมภาระ พร้อมอาหารแห้งและของอื่นๆ รวมถึงถุงเหรียญอิแปะเช่นเดียวกัน

    หลังจากเรื่องวุ่นวายครานั้น ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีกเลย ไม่มีวี่แววว่าเจ้าเมืองของเมืองนี้จะมาโดยแม้แต่น้อย คาดว่าวูหยางและจงซิงซาน จะไปพูดให้ตนแล้วกระมัง

     

       เมื่อเดินมาถึงประตูทิศตะวันออก ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าตัวบางว่าแปลกแล้ว แต่อีกฝ่ายสวมเกี๋ยะเดินไปเดินมานี้สิ เท้าไม่เย็นจนแข็งเอาหรือกระไร?

    หลินมู่จูงเจ้าลาเดินผ่านประตูเมือง เดินตามถนนไปทิศตะวันตก แม้สองวันที่ผ่านมาหิมะจะตกค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับหลินมู่แม้แต่นิดเดียว

     

       เขาจูงเจ้าลาเทาลายด่าง เดินตัดผ่านถนนที่มีหิมะกองเล็กกองน้อย เดินไปสักระยะก็จะมีขบวนสิ้นค้าตามหลังมา ก่อนจะพากันค่อยๆ เคลื่อนขบวนจากไป

    บนคาราวานสินค้ามีจอมยุทธ์และพ่อค้า ที่พักอยู่โรงเตี๊ยมถงซีอยู่ด้วยเช่นกัน พวกเขาหันมาป้องมือให้กับหลินมู่อย่างเป็นพิธี หลินมู่เองก็ทักทายกลับเช่นกัน มันทำให้พวกเขายิ้มแก้มบานเลยทีเดียวเชียว

     

       พอคาราวานขบวนสิ้นค้าผ่านไป ก็จะเป็นกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธ์ และ รถม้าคันสองคันค่อยๆผ่านหลินมู่ไปอย่างช้าๆ พอเดินห่างออกมาจากเมืองได้สักระยะไร้วี่แววของผู้คน

    หลินมู่ก็ล้วงเข้าไปในถุงเฉียนคุน เอาน้ำเต้าลูกนั้นที่มีสุราเติมจนเต็ม จากหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว มันเป็นน้ำเต้าสีน้ำตาลธรรมดาๆ จุกสีแดงสะดุดตามีเชือกป่านสีแดง เอาไว้มัดกับสายรัดเอว

     

       หลินมู่ชั่งใจสักพักก่อนจะเปิดจุกออก ทำให้กลิ่นสุราที่หมักจากธัญพืชและผลไม้ ลอยออกมาเตะจมูก ชายหนุ่มยกยิ้มน้อยๆก่อนจะเริ่มจิบทีละนิด

    สร้างความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเย็น จากค่อยๆจิบเปลี่ยนเป็นจิบครั้งนานๆที เขาพยายามลิ้มรสสุราในน้ำเต้าลูกนี้ว่าอะไรคือจุดเด่นของมัน เป็นจอมยุทธ์เทพเซียน ต้องดื่มสุรา หากจะเป็นเซียนกระบี่สุราก็คือสิ่งที่ขาดไม่ได้

     

       หลินมู่ยกยิ้มน้อยๆ ค่อยๆจิบสุราหมักของหมู่บ้านช้าๆ จูงเจ้าลาเทาเดินไปตามเส้นทางไปตะวันตก เมื่อเหนื่อยก็หาที่นั่งพัก เมื่อหิมะโปรยก็หาที่หลบก่อนจะเดินทางต่อ

    เป็นเช่นนี้ตลอดสามวัน ตอนนี้ชายหนุ่มกับเจ้าลาเทาลายด่าง นั่งหลบหิมะอยู่ในศาลาข้างทางเก่าๆแห่งหนึ่ง เขานั่งผิงไฟรอให้หิมะหยุดตกจึงจะเดินทางต่อ

     

       ข้างเอวมีอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากกระบี่ดำและถุงเฉียนคุนกับถุงเงิน คืนน้ำเต้าสีน้ำตาลเชือกและจุกสีแดงสะดุดตา ภายในมีสุราเหลืออยู่หนึ่งในสามส่วน

    หลินมู่ที่สามวันมานี้ เริ่มหัดดื่มสุราก็เริ่มเป็นคนดื่มเป็นกับเขาบ้างแล้ว ตอนนี้ได้แต่นั่งเสียใจเหตุใดก่อนจะออกเดินทาง เขาจึงไม่ได้ซื้อเหล้าตุนไว้กัน จะย้อนกลับไปก็เสียเวลา

     

       เลยต้องเดินจนกว่าจะถึงหมู่บ้านต่อไป จนกว่าจะถึงหมู่บ้านบนเขาที่เชี่ยวชาญการปลูกชา ที่อยู่ในเส้นทางการเดินทาง แถมยังมีสุราที่หมักจากใบชาดำเฉพาะของหมู่บ้าน ที่ผู้ฝึกวรยุทธ์จะต้องไปลิ้มลองให้ได้สักครั้งในชีวิต ชายหนุ่มจึงตั้งเป้าหมายให้ตนหนึ่งอย่าง อย่างน้อยจะต้องลิ้มรสสุราให้ครบร้อยชนิดในชีวิตนี้ เมื่อกลับไปจะได้เอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อ

    แต่กว่าจะเดินทางไปถึงคงต้องประหยัดสุราในน้ำเต้าแล้ว หลินมู่นั่งทำสมาธินิ่งๆรอให้หิมะหยุดตก เมื่อไฟใกล้ดับเขาก็จะเติมฟืนเข้าไป เพื่อยืดเวลาของมันออกไป

     

       หนึ่งคนหนึ่งลานั่งอย่างนิ่งสงบภายในศาลาเก่าแห่งนี้ เพื่อรอเวลาให้หิมะด้านนอกหยุดตกแล้วจึงจะเดินทางต่อ หูของเจ้าซุยโก๋ขยับไปมาราวกับมันได้ยินบางอย่าง

    หลินมู่เองก็เช่นเดียวกัน เขาสัมผัสได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้ คล้ายจะมาหลบพายุหิมะลูกน้อยๆนี้เช่นกัน เสียงฝีเท้าค่อนข้างสม่ำเสมอ คาดว่าเป็นจอมยุทธ์ที่รากฐาน และ ตบะค่อนข้างลึกล้ำพอสมควร

     

       ไม่นานคนกลุ่มนั้นก็วิ่งมาถึง เป็นชายสามหญิงสอง ผู้ชายสามคนพกดาบหอกขวาน ปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับตนเองเป็นนักรบผ่านศึกออกมา ใบหน้าของแต่ละคนค่อนข้างธรรมดา แต่ชายหนุ่มที่พกดาบกลับออกไปทางหล่อเหลาด้วยซ้ำ เทียบกับ ผู้หญิงสองคนที่พกกระบี่อ่อนร่างกายอรชรอ้อนแอ้น

    ใบหน้ารูปไข่สวยพอประมาณรวบผมมัดไว้เป็นหางม้า ก็ราวกับกิ่งทองใบหยกที่เข้ากันได้อย่างลงตัว พวกเขาดูมีสีหน้าซีดเผือดอิดโรยเป็นอย่างมาก บนตัวมีร่องรอยราวกับพึ่งผ่านการต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยตาย และ รอดกันมาได้อย่างหวุดหวิด

     

       ชายหนุ่มที่ท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่ม เมื่อเข้ามาในศาลาก็พบกับชายปริศนา ในชุดคลุมฟ้าสวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะ สะพายกระบี่สองเล่ม กำลังนั่งผิงไฟอยู่กับลาเทาตัวหนึ่ง

    เขาตั้งท่าเตรียมชักดาบออกจากฝักทันที หลินมู่ไม่ได้แตกตื่นใดๆ ทำเพียงผายมือเงียบๆเป็นนัยว่าเชิญ ศาลากว้างขวางเราไม่จำเป็นต้องมาต่อสู้กัน

     

       ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆพาคนในกลุ่มไปนั่งอยู่มุมหนึ่งของศาลา หลินมู่ไม่ได้สนใจใดๆ ทำเพียงเติมฟืนลงกองไฟเพื่อไม่ให้มันมอดดับ

    กลุ่มจอมยุทธ์หนุ่มสาวนั่ง ปฐมพยาบาลเงียบๆอยู่มุมหนึ่งของศาลา ทิ้งระยะห่างจากหลินมู่เล็กน้อย เพื่อเป็นหลักประกันว่าหากอีกฝ่ายคิดร้ายขึ้นมา พวกตนจะได้มีระยะตอบสนองทันท่วงที

     

       พวกเขากระซิบกระซาบพูดคุยกันเสียงแผ่ว หันมามองหลินมู่เป็นระยะ หนึ่งในหญิงสาวกลืนน้ำลายคล้ายตัดสินใจบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินมาทางหลินมู่

    “หยวนจูซิง เจ้า…” หญิงสาวอีกคนเกือบจะตะโกนชื่อเพื่อนของตนออกมา ก็รีบปิดปากโดยเร็วนางใช้ดวงตากลมโต มองไปยังเพื่อนของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     

       ชายหนุ่มสามคนเองก็มีท่าทางเคร่งเครียด เอื้อมมือไปวางไว้บนอาวุธเตรียมต่อสู้ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด หยวนจูซิงเดินมาอยู่ด้านข้างหลินมู่ก่อนจะพูดขึ้น

    “ท่านชายท่านนี้ จะเป็นอะไรหรือไม่ ถ้าข้าจะขอแบ่งฟืนแห้งจากท่านเล็กน้อย" หลินมู่ขยับใบหน้าหันไปทางหญิงสาว ก่อนจะหันไปทางกลุ่มของนาง ที่มีท่าทีเคร่งเครียดอยู่

     

        “เชิญ…” เขาหันหน้าไปทางกองไฟ พร้อมผายมือเป็นนัยว่าเชิญแบ่งไปได้เลย แต่ละคนถอนายใจอย่างโล่งอก

    “จะแบ่งไฟจากกองของข้าไปด้วยเลยก็ได้” หลินมู่พูดด้วยน้ำเสียงปกติ ก่อนจะปลดน้ำเต้าออกมาจิบสุราเล็กน้อย หญิงสาวแสดงสีหน้าดีใจก่อนจะรีบพูดขอบคุณ “ขอบคุณท่านชายเป็นอย่างมาก!!” นางแบ่งเอาฟืนไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแท่งไม้ที่ติดไฟไปกับนางหนึ่งแท่ง และ เดินกลับไปยังกลุ่มของนางอย่างร่าเริง

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×