ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #41 : ตอนที่ 41 เลี้ยงสุรา

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 65


       ด้านล่างที่สภาพเละตุ้มเป๊ะ เสมือนถูกพายุลูกใหญ่พัดเข้ามาถล่มภายในโรงเตี๊ยม มีชายต่างวัยสามคนกำลังยืนปรับความเข้าใจกันอยู่

    หนึ่งวัยหนุ่ม หนึ่งวัยกลางคน หนึ่งวัยชรา พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร ต่างจากตอนแรกที่แลกหมัดกันไปมา 

     

       “ทำความเคารพท่านราชายุทธ์ ผู้น้อยมีนามว่า จงซิงซาน เป็นหัวหน้ากองปราบปราม ของเมืองเจ๋อซี ส่วนไอ้ขอทานนี้คือผู้พิทักษ์สกุลหลวน” ชายชราแนะนำตนเอง

    ก่อนจะหันไปแนะนำ ชายวัยกลางคนเสมือนขอทานคนนั้น “ใครขอทานมิทราบไอ้แก่? ข้ามีนามว่า วูหยาง จำใส่หัวแก่ๆของเจ้าไว้ด้วยล่ะ” หลินมู่ที่ยินฟังอยู่ จู่ๆก็เกิดลางสังหรณ์ว่า

     

       สองคนนี้จะเริ่มตีกันขึ้นมาอีกรอบ เสียอย่างไรอย่างงั้น ส่วนเหตุผลที่ทั้งคู่ไม่บอกตบะขอบเขตวรยุทธ์ คงต้องการเก็บเป็นความลับเรื่องความแข็งแกร่งของตน

    ซึ่งหลินมู่ก็เข้าใจได้ มันถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งในยุทธจักร ที่จะไม่ถามขอบเขตตบะของกันและกัน แต่ถ้ามีคนสะเออะบอกออกมาก็อีกเรื่องหนึ่ง

     

        แต่ละคนภายในโรงเตี๊ยมบริเวณระเบียงชั้นสอง ต่างถลึงตาเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งเข้า “ระ…รา……ราชายุทธ์!!?” พวกเขาโพล่งออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ

    พวกเขาก็นึกว่าเป็นยอดยุทธ์เสียนาน แต่แท้จริงแล้วชายหนุ่มผู้นั้นคือราชายุทธ์!? ในระหว่างพวกจอมยุทธ์ทั้งหลาย กำลังตกตะลึงกับความจริงปนเท็จนี้

     

       คนของตระกูลต้าเจียงที่ใช้เคล็ดเทคนิคลับ พูดคุยกันอยู่ก็เย้ยหยันคนเหล่านี้อยู่เช่นกัน “ราชายุทธ์? อย่าพูดให้ขำเลย ต่อให้มีตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงนี้ เพียงแค่เขาซักกระบี่คงกุดหัวอีกฝ่ายได้แล้วกระมัง” นั้นเป็นใคร? นั้นเป็นถึงผู้ฝึกฝนเส้นทางอมตะ ตัวจริงเสียงจริงเชียวนะ!!

    เป็นดรุณีน้อยที่พูดเย้ยหยันออกมา แม้จะไม่มีใครได้ยินนางก็ตาม เสียงใสราวกับกระดิ่งเงิน ดังขึ้นฉอดๆ ทำเอาเถ้าแก่เนี้ยถอดถอนใจยิ่งนัก เห็นอย่างงี้คุณหนูสิบเจ็ดก็อายุ 18 ปีแล้ว

     

       ขอบเขตวรยุทธ์กับตบะก็มิได้ต่ำตม เป็นถึงครึ่งก้าวเจ้ายุทธ์ แต่เหตุไฉนนิสัยจึงไม่ต่างจากเด็กไม่ยอมโตกัน

    พออยู่ที่ตระกูลเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยพูดอย่างมีกาลเทศะ แต่พอพ้นสายตาของท่านประมุขมาแล้ว กลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือซะนี่ แม้แต่เจ้าเตี้ยจงยังยิ้มแห้งๆ

     

       กลายเป็นว่าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มียอดยุทธ์ 2 คน ครึ่งก้าวเจ้ายุทธ์ 1 คน รวมถึงผู้ฝึกวรยุทธ์ ของตระกูลต้าเจียงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าระดับสูงแค่ไหน แต่ระดับไม่ต่ำต้อยแน่ๆ และ ผู้ฝึกตนที่หายากดุจขนกิเลนขนฟีนิกซ์ อยู่ 1 คน แถมผู้ฝึกตนที่ว่า

    ยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นราชายุทธ์ ทำเอาสถานการณ์ภายในโรงเตี๊ยม เริ่มเกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้นมา

     

       หลินมู่ที่ยืนอยู่ชั้นล่าง มองหนึ่งวัยกลางคน หนึ่งชรา ทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางทีก็เรื่องสุรา กลับมาอีกทีก็โยง ไปโคมแดง ทั้งสองคนนี้เป็นยอดยุทธ์จริงๆใช่ไหม?

    ไม่ใช่ใครปลอมตัวมา? “อะแฮ่ม ท่านทั้งสองเหตุใดเราไม่ไปหาที่นั่ง เพื่อสนทนากันหล่ะ” หัวหน้ากองปราบและผู้พิทักษ์สกุลหลวน หันมามองหน้ากันและกัน ก่อนจะพูดขึ้น “ฉะนั้นเราจะทำตามท่านกล่าว”

     

       แม้ปากจะพูดอย่างงั้น แต่พวกเขากลับยืนนิ่งไม่ขยับไหวติง หลินมู่ที่รอให้คนอาวุโสกว่าเดินไปก่อน อีกด้าน ทั้งสองที่ต้องการให้หลินมู่เดินนำไปก่อน จึงกลายเป็นว่า

    ทั้งสามรอใครสักคนที่ต้องก้าวขาออกไปเป็นคนแรก “อะแฮ่ม เชิญผู้อาวุโส” หลินมู่พูดเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ชายชรากลับส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น “หามิได้ เชิญท่านราชายุทธ์ก่อนเลย” 

     

       ทั้งสามเงียบกริบ มองหน้ากันไปมา หลินมู่จึงจำต้องเดินนำออกไปก่อน พร้อมด้านหลังมียอดยุทธ์สองคนเดินตามมา เมื่อขึ้นมาระเบียงชั้นสอง ก็มีจอมยุทธ์รวมถึงพ่อค้าและอีกมากมาย

    ยืนป้องหมัดทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง หลินมู่ทำเป็นสงบพยักหน้าตอบรับไป ก่อนจากเดินไปนั่งยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีที่ว่าง หย่อนก้นนั่งยังไม่ทันหายเหนื่อย

     

       ดรุณีน้อยเสียงกรุ๊งกริ๊งราวกับกระดิ่งเงิน ก็เดินมาถามอย่างร่าเริง “เน่ๆ พี่ชายตาบอด จะสั่งอะไรหรือเปล่า?” ทุกคนสูดหายใจดังเฮือก แม่นางน้อยนางนี้เอาความกล้ามาจากไหนกัน?

    ถึงได้กล้าเรียกราชายุทธ์ว่าเจ้าบอด? หลินมู่ไม่ได้ถือสาแม่นางน้อยใดๆ เขาปลดหมวกไม้ไผ่ก่อนจะหยิบเหรียญเงินสลักออกมา ไม่ทันจะได้พูดสองคนนั้นก็ชิงพูดก่อน

     

       “เรื่องค่าซ่อมแซมโรงเตี๊ยม พวกเราจะเป็นคนออก ท่านไม่จำเป็นต้องควักเงินของท่านก็ได้” เป็นผู้พิทักษ์สกุลหลวนที่พูดขึ้น พร้อมมีหัวหน้ากองปราบพยักหน้า

    “งั้นหรือ? งั้นข้าขอเลี้ยงสุราพวกท่านถือเป็นการตอบแทน” หลินมู่ยิ้มก่อนจะส่งเหรียญเงินสลัก ให้กับดรุณีน้อยที่แท้จริงแล้ว เป็นถึงคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลต้าเจียง 

     

       “ขอสุราดีๆพวกกับแกล้ม ให้อาวุโสทั้งสอง ข้าขอเพียงน้ำชาเป็นพอ สามารถหักเอาจากบัญชีที่ข้าลงไว้ได้” ดรุณีน้อยยิ้มแก้มปริ ก่อนจะพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวเปลือก

    ก่อนจะวิ่งหายไป เมื่อนางจากไปแล้วหลินมู่ก็หันมาพูดกับ ผู้พิทักษ์สกุลหลวนและหัวหน้ากองปราบ “พวกท่านคงไม่ว่าอะไรกระมัง ที่ข้าเลี้ยงเหล้าพวกท่าน” ทั้งคู่ส่ายหน้า

     

       “เป็นเกียรติกับพวกเราที่ท่าน เป็นคนเลี้ยงสุราด้วยซ้ำ" เป็นชายชราที่พูดขึ้นพร้อมลูบเคราสีขาวของตน หลินมู่พยักหน้าไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้

    เพราะมันค่อนขอดส่งผลดีกับตัวของเขา จึงคิดว่าปล่อยไว้อย่างงี้นี่แหละ “ข้าแซ่หลิน ต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจบอกชื่อพวกท่านได้ เพราะข้าติดปัญหาบางอย่าง” ทั้งคู่พยักหน้า

     

       เป็นเรื่องปกติที่ผู้แข็งแกร่งมักมีปัญหาบางอย่าง พวกเขาไม่ซักไซ้ถามใดๆ เป็นวูหยางผู้พิทักษ์สกุลหลวน ที่ป้องหมัดพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าขออภัย ที่ข้าเรียกท่านหลินว่า ไอ้บอดข้าจะขอดื่มเหล้า 3 จอกเป็นการไถ่โทษ”

    หลินมู่ยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร ข้ามิได้ถือสาอยู่แล้ว” พูดจบเสี่ยวเอ้อของร้านก็ยกไหเหล้า และ จานกับแกล้มมาเสริฟ ยังคงเป็นดรุณีน้อยนางนั้น ที่ยกกาน้ำชามาให้

     

       นางวางถ้วยชาลงก่อนจะค่อยๆรินชาอย่างระมัดระวัง วูหยางเปิดผนึกไหเหล้าก็จะเทลงถ้วย “ข้าขอดื่มสุรา 3 จอก เพื่อเป็นการขออภัยท่านหลิน!!” พูดจบเขาก็ยกขึ้นดื่มหมดในรวดเดียว

    ก่อนถ้วยที่สองและสามจะตามไป หลินมู่ยิ้มพร้อมป้องมือให้ ทั้งสามพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ บางจังหวะหลินมู่ถามถึงข้อมูล ในระหว่างเดินทางไปตะวันตกว่าเขาต้องเจออะไรบ้าง

     

       ทั้งวูหยางและจงซิงซาน ตอบอย่างเถรตรงไม่อ้อมค้อมใดๆ หลินมู่ที่ได้รับข้อมูลมาพอสมควร ก็ดีใจไม่น้อย ทั้งสองเองก็ดีใจเช่นกัน ที่ได้ร่วมโต๊ะดื่มสุรากับราชายุทธ์

    แต่ละฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ ไม่มากก็น้อย ก่อนจะเลิกลา ทั้งวูหยางและจงซิงซาน เอาเงินออกมาให้คนละ 10 ตำลึงทอง และ 90 เหรียญเงินสลัก ถือเป็นการไถ่โทษที่ล่วงเกินหลินมู่

     

       หลินมู่ปฎิเสธอย่างละมุนละม่อม ก่อนจะต้องจำใจรับเงินนั้นมา แต่เขาไม่ได้รับมาทั้งหมด แค่คนละ 2 ตำลึงทอง กับอีก 40 เหรียญเงินสลัก 

    เมื่อพูดคุยกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็บอกลากันและกัน การได้พบเจอกันในยุทธจักรถือเป็นวาสนา หลินมู่สวมหมวกไม้ไผ่เดินกลับห้องพักของตนเองไป วูหยางและจงซิงซาน ก็เดินไปจ่ายค่าเสียหายที่ถล่มโรงเตี๊ยม ขั้นแรกซะเละตุ้มเป๊ะ

     

       และส่อแววจะต่อยกันอีกยก ส่วนหลินมู่ที่กลับเข้ามาภายในห้อง ก็พบกับกองของที่เขาซื้อมาวางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มปิดประตูนั้งลงบนเตียง

    เอาขวดน้ำมันบำรุงอาวุธและผ้าออกมาจากถุงเฉียนคุน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับด้ามของตงหยู ดึงมันออกมาจากฝักและเริ่มเช็ดบำรุงรักษา ระหว่างนั้นก็เริ่มขบคิดเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาด้วย

     

       เขาเริ่มวางแผนเดินทางตามที่ได้ยินว่า ยิ่งไปตะวันตกกองโจรก็ยิ่งเยอะเป็นเงาตามตัว เช่นนั้นเขาควรระมัดระวังให้มากกว่านี้

    แถมพื้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันตก เป็นป่าทึบมีอันตรายรอบด้าน เจ้าลาซุยโก๋คงไม่ชอบเท่าไหร่นักกระมัง? แถมตอนนี้เป็นฤดูเหมันต์ พวกโจรมักจะออกปล้นสองสามวันครั้ง

     

       จึงถือว่าเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดของปี โดยกองโจรที่ควรระวังเลยก็คือ กองโจรพงไพรสายลม ที่มียอดยุทธ์พื้นฐานผุพังผู้หนึ่งเป็นหัวหน้า กับลูกน้องอีกร่วมห้าร้อยกว่าคน

    นอกจากนั้นยังมีอีกสองถึงสามกองโจร ที่ต้องควรระวังไว้บ้าง หลินมู่ใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันให้แห้ง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นสูง ตงหยูดูเปล่งประกายขึ้นมาหลายส่วน แค่นี้เขาก็สุขใจ เมื่อเก็บตงหยูเข้าฝักก็เริ่มบำรุงเฮ่ยซานต่อ

     

       หลังจากนั้นก็ตรวจเช็คของที่ซื้อมา ก่อนจะเริ่มวางแผนการเงิน แล้วจึงนั่งไขว่ห้างบนเตียง เอาศิลาอัปมงคลออกมาเพื่อฝึกฝนขัดเกลาจิตกระบี่

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×