ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #40 : ตอนที่ 40 ตระกูลต้าเจียง

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 65


       แม้สถานการณ์แรกสุดจะมีผู้ฝึกวรยุทธ์ ขอบเขตยอดยุทธ์ตบตีกันเช่นครานี้ แต่ขอบเขตยอดยุทธ์มันหาง่ายดุจขนวัวเช่นนี้แต่ตอนไหน?

    ชายหนุ่มที่ดูผอมแห้งผู้นั้น คล้ายจะเป็นผู้ขัดเกลาเพลงกระบี่ แต่เหตุใดจึงได้ชกต่อยกับยอดยุทธ์ ที่ชำนาญทักษะฝ่ามือเช่นนั้น ได้อย่างสูสีกันล่ะ?

     

       ภายในหัวของทุกคนในโรงเตี๊ยมอัดแน่นไปด้วยคำถาม นี้พวกตนใช้เวลาเสียเปล่าหรือ แค่ชายหนุ่มที่เดินผ่านๆ ก็เป็นยอดยุทธ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต

    แต่เหตุใดพวกตนทั้งหมดในที่นี้ ยังเป็นเป็นเพียงจอมยุทธ์ทั่วไปอยู่เลยล่ะ น่าเจ็บใจยิ่ง ชายชราที่ไม่รู้ไปคว้าไหเหล้ามาจากไหนเปิดผนึก ดื่มสุรามองการประลองยุทธ์ ระหว่างผู้พิทักษ์สกุลหลวน และ ชายหนุ่มสะพายกระบี่

     

       “ตอนแรกข้าก็มาหาเขาที่โรงเตี๊ยม หวังคลายปมสงสัยบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าจะไม่สามารถเห็นแม้แต่ตบะสักเสี้ยว น่าจะเป็นราชายุทธ์ตามข่าวลือ” ชายชราหัวหน้ากองปราบดื่มสุรา ก่อนจะวางไหไว้ในจุดที่ปลอดภัย

    “วาสนาทะลวงเจ้ายุทธ์ของข้า คงไม่อาจมาถึงกระมัง” ชายชราเช็ดปากพลางเดินไป เก็บดาบกองปราบที่จมอยู่ใต้เศษไม้เตรียมลงมือขัดขวาง

     

       หลินมู่ที่แลกหมัดอยู่กับผู้พิทักษ์สกุลหลวน ก็แสดงสีหน้าเจื่อนๆ จะให้วัดกำลังเพียวๆเห็นชัดๆว่าเขาแพ้อยู่เต็มตอ แต่ที่ยืนอยู่จนถึงตอนนี้ได้ คงต้องยกความดีความชอบให้จิตสัมผัสอันฉับไวของตน

    แม้จะต่อยใส่อีกฝ่ายหลายหมัด ก็ไม่ต่างอะไรจากมดกัดไม่สะเทือนยอดยุทธ์ผู้นี้แม้แต่น้อย สมแล้วที่เป็นถึงผู้พิทักษ์ของสกุลใดสกุลหนึ่ง 

     

       ชายหนุ่มที่อนุภาพสังหารและทำลายล้าง ทั้งหมดอยู่ที่จิตกระบี่ วิ่งเข้ามาเอาหมัดต่อยกับอีกฝ่ายเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่

    คิดได้เช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆ เขากระโดยถอยหลังกลับมาตั้งหลัก ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน ทำเสมือนแขนข้างขวาของตนเป็นกระบี่ ผู้พิทักษ์สกุลหลวนท่านนั้น เช็ดมุมปากด้วยสีหน้าขัดใจ แต่มุมปากยกยิ้มขึ้นสูง

     

       “ถุย!! หมัดของเจ้าเบานักเหมือนสตรีปวกเปียกก็มิปาน หรือว่าเจ้ากำลังคิดถึงคำว่า ตีสุนัขให้ดูเจ้าของอยู่? ไม่ต้องห่วงข้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้ายุทธ์ที่นั่งบัญชาอยู่ ซัดมาให้เต็มแรง แสดงให้ข้าดูหน่อยว่า เจ้าวางแผนอะไรไว้กับไอ้แก่นั้น!!” หลินมู่ที่ได้ยินก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

    “หากข้าบอกว่า ข้าไม่เกี่ยวข้องกับท่านผู้เฒ่าเลยล่ะ?” ผู้พิทักษ์สกุลหลวนถุยน้ำลายลงพื้น ก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง “เจ้าจะหลอกใครกัน? คิดว่าข้าโง่รึไง? จะแสดงกระบวนท่าก็แสดงออกมา!!” 

     

       ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจยาว ชายตรงหน้าเลยคำว่าเอาเหตุผลเอามาอธิบาย มาใช้ได้ไปแล้วเหลือแค่ซัดให้อีกฝ่ายสลบไป หรือ ต่อยให้อีกฝ่ายหมดสภาพเท่านั้น จะเป็นกรรมหรือวาสนาไม่รู้หล่ะ

    ขอแค่เส้นทางอมตะมหามรรคาของเขาหลินมู่ ไม่ด่างพร้อยหรือเกิดรอยร้าวเป็นพอ “เช่นนั้นข้าคงต้องล่วงเกินแล้ว” สิ้นเสียงร่างในชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ สวมหมวกไม้ไผ่ใส่เกี๋ยะก็พุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว

     

       มาพร้อมประกายบาดตาราวกับพวกเขากำลังจ้องมอง คมดาบหรือคมกระบี่ที่พึ่งถูกดึงออกจากฝัก ผู้พิทักษ์สกุลหลวนยกยิ้มอย่างตื่นเต้น ชัดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยปราณเข้าไปอีกครั้ง

    หากโดยก็ไม่ถึงตายแค่นอนเป็น ผักสักสามสี่วัน นี้ไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย แค่รู้แพ้รู้ชนะรู้สูงหรือต่ำก็เท่านั้น เขารู้ตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายไม่มีความเกี่ยวข้อง ใดๆกับไอ้แก่จากกองปราบปรามผู้นั้น แรกเริ่มเดิมทีเป้าหมายของเขา ก็คืออีกฝ่ายอยู่แล้ว

     

       แต่หาเหตุผลให้ท้าต่อยกับอีกฝ่ายไม่ได้เนี่ยสิ ถ้าให้เขาไปตื้อตอแยอีกฝ่ายเหมือนจอมยุทธ์โง่เง่า ในข่าวลือก็ทำไม่ได้เพราะเสียหน้าเกินไป พอมาถึงโรงเตี๊ยมก็พบว่าไอ้แก่ผู้นั้นก็อยู่ด้วย 

    เลยแสดงอุบายแสรงเมามายหาเรื่องอีกฝ่าย พอเป้าหมายมาถึงก็หาขออ้างเสมือนคน ติดสุราสมองฝ่อให้อีกฝ่ายต้องสู้กับตนให้ได้ เขาอยากรู้จริงๆว่าชายหนุ่มตรงหน้า จะเป็นราชายุทธ์ที่ข่าวลือพูดจริงหรือไม่

     

       แม้รอบตัวจะไร้ลมปราณราวกับคนธรรมดา แต่เขาคิดว่าน้ำบ่อนี้ค่อนข้างลึก มีแต่สัมผัสได้ด้วยตนเองว่าลึกแค่ไหนก็เท่านั้น 

    เพียงเสี้ยวพริบตาที่ทั้งคู่เข้าปะทะกัน นิ้วมือที่ราวกับกระบี่เล่มหนึ่งก็ปัด การโจมตีไปอีกทางก่อนจะจ้วงแทงเข้าใส่ ทรวงอกของผู้พิทักษ์สกุลหลวนอย่างฉับไว ส่งผลให้ร่างกระเซอะกระเซิงราวกับขอทาน

     

       ต้องลอยถอยรนลงไปคุกเข่ากุมหน้าอก ด้วยสีหน้าตะลึง ลมปราณปั่นป่วนอวัยวะภายในได้รับความเสียหาย แต่ไม่มากแค่ทำให้ไม่อาจโคจรลมปราณไปได้สักระยะ

    “ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นราชายุทธ์จริงๆด้วย” ผู้พิทักษ์สกุลหลวนพึมพำหน้าเปื้อนยิ้มกับตนเอง หลินมู่ที่ดึงเอาจิตกระบี่มาใช้ตัวเปล่า หลังจบการโจมตีต้องขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ เขายืนนิ่งปรับสมดุลร่างกายกับจิตที่พุ่งพล่านของตน การฝืนตัวใช้การโจมตีเกินกว่าระดับของตนเองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการแส่หาความตาย

     

       หากจิตกระบี่มากกว่านี้อีก 10 เส้น ป่านนี้แขนข้างขวาคงกุดไปแล้ว กว่ากายหยาบของเขาจะทนกับจิตกระบี่ และ สามารถใช้ตัวเปล่าๆ เป็นสื่อปล่อยจิตกระบี่ออกโจมตี

    ต้องเป็นผู้ฝึกตนปฐพีที่ 2 ขึ้นไป สำหรับเทคนิคนี้เมื่อใช้ ปฐพีที่ 1 แล้วก็เป็น เทคนิคสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียแปดร้อยกระมัง สำหรับเนรตกระบี่เวทย์กระบี่สายอาจารย์ตนเองแล้ว

     

       ถือว่าฝืนกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างวิปริต ไม่เพียงแค่ใช้จิตดวงตาเป็นกระบี่ แต่ยังสามารถปล่อยจิตกระบี่ออกมาตรงๆอย่างไร้ผลเสีย เป็นเวทย์กระบี่ที่ไม่อยู่ในกฎและไร้เหตุผล อย่างถึงที่สุดของนิกายเจี้ยนเสินเฟิง ในพิภพสุสานเทพเจ้า

    แต่ใช่มันจะไร้เทียมทาน ฟ้าดินไม่ปล่อยให้สิ่งทำลายสมดุลเช่นนี้อยู่โดย ไร้คู่ต่อกร โดยคู่ต่อกรของเนตรกระบี่คู่นี้ มีอยู่กระจายอยู่ทั่วพิภพ เพียงแค่หลินมู่จะเดินตำตอ ไปเจอกับมันตอนไหนก็แค่นั้น

     

       แต่มีบุคคลหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่หลินมู่บังเอิญเผชิญหน้าแม้เขาจะถลึงตา จนเลือดอาบคาดว่าคงไม่อาจ ใช้เนรตกระบี่สุดวิปริตคู่นั้น สังหารคนผู้นั้นได้กระมัง

    ดีไม่ดีก็ถูกควักดวงตากลายเป็นของสะสม กลายเป็นคนตาบอดจริงๆ ก็แล้วแต่ว่ามหามรรคาของเขา จะไร้ปราณีจนส่งนางผู้นั้น ให้มาควักดวงตาของเขาหรือเปล่าก็แค่นั้น 

     

       บนระเบียงชั้นสอง ดรุณีน้อยมุ้ยปาก “เจ้าดูออกหรือไม่?” เถ้าแก่เนี้ยที่แต่งเครื่องประทินโฉมหนาเตอะ ส่ายหน้าบอกว่าข้ามองไม่ออก “ยาก ยากอย่างมาก แม้ตระกูลต้าเจียงของเรา ที่ครอบครองความรู้ และ ความจริงมากที่สุด ยังไม่สามารถมองได้ว่า แท้จริงแล้วเส้นทางอมตะควรจะเดินอย่างไร ไม่สามารถอนุมานออกมาได้เลย”

    ดรุณีน้อยมุ้ยปาก ต้าเจียงไท่เซี่ยลงทุนเสียอายุขัย เพื่ออนุมานทำนายแลกกับตบะ ของผู้ฝึกตนที่ด้านนอกเรียกว่า ปฐพีที่ 1 มาอย่างชั่วครั้งชั่วคราว เพื่ออนุมานทำนายหาคัมภีร์อมตะ

     

       แต่เหมือนจะไร้ประโยชน์ ไม่เพียงไม่รู้อะไรเลย แต่ก็ไม่ได้สูญเปล่าคำทำนายยังชี้เป้าไปยัง คนที่มีโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุด จากพิธีกรรมเมื่อตอนนั้น อย่างหลินมู่ที่ถูกไป๋หยุนเฉินแลกตัวไปด้วย ราคาที่เกินประเมินค่า คาดว่าเขาคือกุญแจที่ทำให้เทพเซียนบนภูเขา อภัยโทษพวกเขา

    ราวกับสตรีแต่งงานแล้ว คิดอะไรได้จึงพูดขึ้นมา “จะพูดก็พูด เหมือนตระกูลไป๋ตอนนี้แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว ประมุขตระกูลอย่างไป๋หยุนเฉิน ระเบิดโทสะเกือบพลั้งมือสังหารบุตรชายและภรรยา แม้แต่ครั้งนี้อาวุโสใหญ่เหล่านั้น ยังตายไปหนึ่งคน ตระกูลไป๋เดินมาเกือบจะสุดทางแล้ว ไม่อาจจะไปถึงวันที่เราจะถูกอภัยโทษ จากเทพเซียนบนเขา…” พวกนางใช้เทคนิคพิเศษพูดคุยกัน เพื่อเป็นการกันให้คนอื่นได้ยินบทสนทนา ที่เปรียบเหมือนความลับสวรรค์เช่นนี้

     

       ดรุณีน้อยที่เสียงใสกังวานราวกับกระดิ่งเงิน ส่ายหน้าก่อนจะชี้นิ้วไปที่หลินมู่ “ก็ยังไม่แน่ ไป๋หยุนเฉินบังเอิญคว้าเชือกเส้นที่ใหญ่ที่สุดไว้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่า เขาจะกลับไปตอบแทนไป๋หยุนเฉินตอนไหน ตอนข้าได้รับถังหูหลูมาจากเขา ข้าก็คิดว่าเป็นสมบัติวิเศษฟ้าดินในตำนาน แต่ที่ไหนได้กลับเป็นถังหูหลูห่วยๆจากเจ้าเตี้ยจง”

    นางบ่นอุบอิบอย่างไม่ชอบอกชอบใจ “เจ้าพูดถึงข้า?” เพียงเสี้ยวพริบตาชายวัยกลางคน เจ้าของแผงลอยขายถังหูหลูก็ปรากฏตัวขึ้นมา “จะใครได้อีก? หากถังหูหลูห่วยๆของเจ้า ทำให้เขาล้มป่วยจนทำให้ กุญแจในการได้รับการอภัยโทษ จากเทพเซียนบนเขาหายไป ข้าจะรอดูว่าเบื้องสูงบนตระกูลจะว่าอย่างไร”

     

       เจ้าของแผงลอยขายถังหูหลู ยิ้มแห้งๆ “แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?” ดรุณีน้อยถามขึ้น “ที่หมู่บ้านปลายทางถนนเส้นนั้น มีเทพภูเขาและภูติผู้เขาเฝ้าปกปักอยู่ เป็นตามคำทำนายของท่านประมุข”

    ดรุณีน้อยพยักหน้าแต่ก็ต้องถอนหายใจ “ข้ากังวลจริงๆ ท่านปู่ในทุกเดือน จะยอมเสียอายุขัย 1 ปี เพื่อใช้เทคนิคทำนายที่แท้จริง ข้ากังวลว่าท่านปู่จะอยู่ไม่ถึง วันที่เทพเซียนบนเขา โดยสารเรือข้ามนภามาถึงที่นี้ เจ้าซูตงนั้นแม้จะมีพรสวรรค์แต่เขาหัวช้าเกินไป”

     

       นางพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก ตระกูลต้าเจียงไม่รู้ใช้วิธีการใด ทำให้หลงเหลือเคล็ดวิชาเซียน จากการลงโทษในตอนนั้น ส่งต่อมาให้เหล่าลูกหลานใช้เพื่อหาวิธี ได้รับการไถ่โทษจากการกระทำของบรรพบุรุษ

    ตอนนี้กุญแจอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน โรงเตี๊ยมถงซีนี้คือกิจการที่ตระกูลต้าเจียง ควักเงินจ่ายซื้อมาเมื่อหลายเดือนก่อน และ พวกเขาสี่คนถูกส่งมาประจำการ โดยมี ดรุณีน้อย เถ้าแก่เนี้ย เจ้าผอม แล้ว เจ้าเตี้ยจง คอยจับตามองหาสิ่งที่อยู่ในคำทำนาย

     

       ตอนนี้เป้าหมายของคำทำนาย ยืนอยู่ด้านล่างกำลังปรับความเข้าใจ กับผู้พิทักษ์สกุลหลวน และ หัวหน้ากองปราบปราม ด้วยสีหน้าไปไม่เป็น

    ดรุณีน้อยเชิดหน้าขึ้น “คอยดูให้ดีเถอะ” นางถูกใช้ให้แบกของพะรุงพะรังนั้น ไปเก็บไว้ในห้อง จะไม่ให้นางเป็นเดือดเป็นร้อนได้อย่างไร นางไม่ยอมแน่ๆ ต้องหาทางตามติดอีกฝ่ายเดินทางไปด้วยกัน เพื่อหวังเก็บเกี่ยวเคล็ดวิชาฝึกตนของเซียน มาจากอีกฝ่ายมาเป็นของตอบแทนให้ได้

     

       นี่คือจุดเปลี่ยนของทวีปหลิวซู และ เคราะห์ภัยครั้งใหญ่ของห้าตระกูล ตอนนี้ปราการสามด่านแรกผ่านไปแล้ว เหลือแต่สิ่งที่ไป๋มู่และพรรคมาร ทำไว้เมื่อปีนั้นจะแสดงตัวออกมาตอนไหนก็เท่านั้น

    พวกเขากำลังจะเปลี่ยนหน้ากระดาษอีกครั้ง เพื่อจะได้ไขว่คว้าชีวิตอมตะเช่น คนทั่วไปในพิภพสุสานเทพเจ้า พวกเขาจำต้องผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้ และ หวังพึ่งชายหนุ่มจากต่างภพผู้นั้น….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×