ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #38 : ตอนที่ 38 เซียนนอกทวีป

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 65


       ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ นั่งไขว่ห้างบนเตียงทำสมาธิพยายามกำหนดจิตใจ ของตนเองให้นิ่งสงบ

    ภายในห้วงจิตมีเส้นสายราวกับเส้นริบบิ้น สีฟ้าสดใสบินฉวัดเฉวียนไปมา บางครั้งก็จะเกิดประกายไฟแปลบปลาบ จากเส้นสีฟ้าสองเส้นพุ่งสวนกันไปมา

     

        นับวันพื้นที่แห่งนี้ยิ่งอัดแน่นไปด้วยความคมกริบ ดุจจะฟาดฟันภูเขาลูกใหญ่ให้กลายเป็นฝุ่นผง ได้ในไม่กี่วินาที 

    จิตกระบี่เส้นที่ 9 ที่พึ่งกำเนิดเมื่อตอนเช้านี้ บินร่อนเข้าออกไปมา ระหว่างจิตกระบี่เส้นอื่นๆ คล้ายกับเด็กเกิดใหม่ที่ใคร่สงสัยอยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง

     

       หลินมู่ออกจากห้วงจิต ก่อนจะหยิบตำราสีขาวออกมาจากถุงเฉียนคุน แม้เขาจะฝึกส่วนแรกไปได้ด้วยดี แต่กลับไม่เคยเปิดอ่านส่วนต่อไปแม้แต่นิดเดียว

    เขาคิดว่าตอนนี้ตนยังไม่พร้อมจะฝึกขั้นต่อไป แต่ถ้าจะให้เจาะจงคือเขาหวาดกลัว รอจนกว่าตนจะพร้อม หรือ ขจัดความกลัวที่ว่านั้นไปได้ เขาจึงจะเปิดอ่านอีกครั้ง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ชายหนุ่มเก็บตำราขาวเข้าถุงเฉียนคุน

     

        ก่อนจะลุกขึ้นยืนบนใบหน้าแปะไว้ด้วยความกรุ่มใจ เขาใช้นิ้วมือลูบเปลือกตาของตนเบาๆ “ข้ากลัวว่าสักวัน…สักวันหนึ่ง ดวงตาคู่นี้จะแหลมคมเกินไป จนมิอาจมองอะไรได้อีก ข้ากลัวเหลือเกิน….กลัวว่าจะไม่สามารถใช้ดวงตาคู่นี้มองอะไรได้อีก” หลินมู่พึมพำแผ่วเบา แม้ตอนนี้เขาจะพอใช้ดวงตานี้มองโลกใบนี้ได้โดยไม่เกิดผลอะไร

    แต่หากเขาฝึกฝนไปมากกว่านี้ล่ะ ฝึกจนมันทรงพลังมากว่านี่ ถึงตอนนี้ดวงตาของเขาคงมิอาจใช้มองโลกได้แล้ว ช่วงแรกสุดเขาไม่ได้หวาดกลัวมันเช่นนี้

     

       แต่ยิ่งจิตกระบี่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ดวงตาคู่นี้ก็ยิ่งทรงพลังตามไป เหมือนดาบสองคม เขาใช้จิตที่เชื่อมกับดวงตาเป็นกระบี่ และ ใช้ดวงตาเป็นผู้ใช้กระบี่

    ยิ่งกระบี่แหลมคมผู้ใช้กระบี่ก็ต้องยิ่งแหลมคมยิ่งกว่า หากอ่อนแอกว่าคมกระบี่ก็อาจจะถูกกระบี่ตนเองบาดเอาได้

     

       “เส้นทางอมตะช่างเต็มไปด้วยหลุมบ่อเสียจริง” หลินมู่พึมพำพลางเอื้อมมือไป สัมผัสด้ามของตงหยูอย่างเคยชิน 

    สักพักจิตใจของเขาก็กลับมาสงบนิ่ง ดั่งผิวน้ำอีกครั้ง “ในเมื่อข้าคิดด้วยตัวเองแล้วไม่ได้คำตอบ เช่นนั้นก็ถามคนอื่น….” หลินมู่พูดเสียงแผ่ว

     

       ส่วนคนที่จะถามเขาเล็งไว้แล้ว นั่นคืออาจารย์กวนเจี้ยนโป จนกว่าจะทำตามคำขอร้องของศิษย์พี่หลัวเสร็จ

    เขาต้องคอยย้ำเตือนตนเองว่าอย่าได้ลืมคำถามเหล่านั้น เมื่อไปยังภูเขาสุดขอบตะวันออก ตนจะถามคำถามเหล่านี้กับอาจารย์ เมื่อเปิดศึกกับจิตใจตนเองเสร็จ ชายหนุ่มปรับอารมณ์เตรียมตัวออกไปซื้อของที่ตนต้องการ

     

       เพียงปฐพีที่ 1 เขายังต้องเปิดศึกกับตนเองมากขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าระดับที่เหนือกว่านี้ จะหนักหนาแค่ไหน

    “เซียนกระบี่เช่นเรา ฝึกฝนวิญญาณขัดเกลาจิตใจ หากมัวหมองการออกกระบี่ก็ไม่ราบรื่น ปณิธานกระบี่ก็จะไม่คมกริบอีกต่อไป…” เสมือนหาคำตอบให้กับทางสายใหญ่ให้ตนเอง ได้อีกเล็กน้อยชายหนุ่มก็ผุดยิ้มน้อยๆ

     

       เขาเปิดประตูเดินออกจากห้องพัก ลงไปถามเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยม ว่าแถวนี้มีร้านตีเหล็ก หรือ ร้านค้าของจิปาถะที่อยากแนะนำหรือไม่ หญิงแต่งงานแล้วที่แต่งเครื่องประทินโฉมหนาเตอะ

    อธิบายถึงที่ตั้งร้านค้า และ ร้านตีเหล็กบางแห่ง ก่อนจะง่วนกับงานของตนไม่สนใจชายหนุ่มอีก หลินมู่ป้องมือขอบคุณก่อนจะเดินออกจากโรงเตือน เดินไปตามทางที่เถ้าแก่เนี้ยอธิบายมา

     

       เดินเข้าออกซอยนู้นถนนนี้อยู่หลายที ในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าร้านตีเหล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าบนชั้นวางมีอาวุธเต็มไปหมด แต่กลับไม่ยักกะเห็นเงาคนสักคน “ข้าขอรบกวนสักพักจะได้หรือไม่!?” 

    ไม่มีการตอบกลับแต่หากแง่หูฟัง ก็จะได้ยินเสียงตีเหล็กดังเป็นระยะ ชายหนุ่มไม่ตะโกนออกไปอีกหาที่เหมาะๆ นั่งรอเจ้าของร้านตีเหล็ก หรือ ลูกศิษย์ของร้านตีเหล็กนี้ สักคนเดินออกมา

     

       หลินมู่นั่งรออยู่ในร้านเป็นเวลาสองก้านธูป จนเกือบจะเดินออกนอกร้านไปซื้อของอย่างอื่น แล้วจึงย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ก่อนจะตัดสินใจได้ ก็มีชายร่างอ้วนท้วนเดินออกมาจากหลังร้าน

    บนตัวยังมีกลิ่นควันไฟ แสดงให้เห็นว่าพึ่งเดินออกมาจากห้องหลอม อีกฝ่ายที่เดินออกมาเห็นหลินมู่นั่งอยู่ในร้าน ก็แสดงสีหน้าตกใจอย่างมาก “ข้าคิดว่าเจ้าไปแล้วซะอีก ขอโทษด้วยข้ากำลังหลอมงานด่วน จึงไม่อาจปลีกเวลาออกมาได้”

     

       ชายร่างอ้วนถอดถุงมือวางไว้บนเคาน์เตอร์ “ไม่เป็นไร เป็นข้าที่มารบกวนท่าน เอาตามตรงข้าเกือบจะออกไปซื้ออย่างอื่นก่อน แล้วจึงย้อนกลับมาทีหลังแล้ว”

    ชายร่างอ้วนหัวเราะร่วน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคงออกมาผิดเวลาสินะ เอาหล่ะเจ้ามาที่ร้านตีเหล็กของข้าทำไมกัน? เจ้าคงไม่ได้มาหาอาวุธเป็นแน่…” ชายร่างอ้วนเหลือบไปมองตงหยู และ เฮ่ยซาน เป็นการประเมินชายหนุ่มตรงหน้าเงียบๆ

     

       “ข้ามาหาซื้อน้ำมันบำรุงอาวุธ ที่ร้านท่านพอมีขายหรือไม่?” ชายร่างอ้วนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะพูดขึ้น “หาได้ยากที่พวกผู้ฝึกวรยุทธ์เช่นพวกเจ้า จะเฉือนเนื้อตนเองเพื่อซื้อของที่ใช้บำรุงรักษาอาวุธอุปกรณ์ ไหนเอาให้ข้าดูหน่อย…”

    หลินมู่ปลดตงหยูออกจากหล้ง ส่งให้ชายร่างอ้วน เขารับตงหยูไปกะน้ำหนักคร่าวๆ แต่ไม่ได้ดึงออกจากฝักมาดูก่อนจะพูดขึ้น “ของที่ข้ามีอยู่ คุณภาพสามารถใช้กับเจ้าดำน้อยที่อยู่บนเอวเจ้า แต่เจ้านี่ แม้จะเป็นน้ำมันที่แพงที่สุดในร้านข้า ยังพอใช้ถูไถ เอาไงจะซื้อไหม?”

     

       หลินมู่ขบคิดก่อนจะพยักหน้า ชายร่างอ้วนส่งตงหยูคืนหลินมู่ ก่อนจะเดินไปหลังร้านสักพักก็กลับมาพร้อม ขวดดินเผา “นี้คือน้ำมันบำรุงอาวุธที่แพงที่สุดในร้านข้า ราคาตกอยู่ขวดละ 400 อิแปะ ตอนนี้ข้าเหลืออยู่ 24 ขวด แต่ข้าต้องใช้กับงานด่วน 21 ขวด จึงขายได้แค่ 3 ขวด”

    หลินมู่ไม่คิดเยอะหลังจากสะพายตงหยูแล้ว ก็พูดขึ้นมาทันที “ข้าจะซื้อทั้ง 3 ขวดเลย” ชายร่างอ้วนวางขวดดินเผาลงบนเคาน์เตอร์ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เอาหล่ะทั้งหมด 1 เหรียญเงินสลัก กับอีก 200 อิแปะ แต่เพราะข้าปล่อยให้เจ้ารอในร้านโดยกินเวลาอันสำคัญของเจ้า ข้าจึงจะหัก 200 อิแปะออก เหลือ 1 เหรียญเงินสลัก”

     

       หลินมู่ไม่พิรี้พิไรใดๆ หยิบเหรียญเงินสลักจ่ายไป ชายร่างอ้วนหัวเราะชอบอกชอบใจ “ฮ่าฮ่า เจ้านี่แปลกคนจริง ไม่ต่อรองแม้แต่น้อย หากเป็นพวกฝึกวรยุทธ์หัวแข็งพวกนั้น ป่านนี้หั่นราคาขายข้าจนไม่เป็นอันจะกินแล้ว”

    ชายร่างอ้วนพูดไปด้วยพลางเดินไปหลังร้าน ไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมาพร้อมกับขวดดินเผาสองขวด และ ผ้าสีเทาหนึ่งผืน “ผ้าผืนนี้เป็นของแถม” พูดจบเขาก็ว่างของลงบนเคาน์เตอร์ “ขอบคุณ”

     

        หลินมู่พูดขอบคุณก่อนจะค่อยๆ หยิบของใส่ถุงเฉียนคุน แม้ชายร่างอ้วนจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เปิดปากถามเรื่องถุงแต่ถามเรื่องดวงตาของอีกฝ่ายแทน

    “ตาของเจ้าไปโดยอะไรมา ถึงได้ปิดตลอดเวลาเช่นนี้ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ข้าแค่ถามไปส่งๆเท่านั้น” หลินมู่พยักหน้าเบาๆ และ ก็ไม่ตอบออกมาจริงๆ ทำเอาชายร่างอ้วนน่าเบียว

     

       เขารู้สึกชอบใจเจ้าเด็กชุดคลุมฟ้า สะพายกระบี่สองเล่มผู้นี้ขึ้นมาแล้วสิ ซื้อขายเสร็จหลินมู่ก็บอกลาช่างหลอมร่างท้วม ก่อนจะจากไปซื้อของที่ต้องใช้เพิ่มเติม

    เมื่อชายหนุ่มจากไปชายร่างท้วมก็เปลี่ยนสีหน้า พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เซียนกระบี่น้อย แถมมีถุงเฉียนคุน ฝึกเวทย์กระบี่สายของตาเฒ่านั้นซะด้วย ไม่เลวไม่เลว ข้าผู้อาวุโสถูกชะตากับเจ้าแล้ว ไว้เจ้าไปถึงมหาทวีปเจี้ยนเมื่อไหร่ ข้าจะเชิญเจ้า ไปภูเขาหลอมกระบี่ของข้าล่ะกัน” ชายร่างอ้วนยกยิ้ม ก่อนจะโบกมือทำให้ร้านตีเหล็กนี้หายไป โดยไม่มีใครสนใจหรือสังเกตุเห็นเลยแม้แต่น้อย 

     

       เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า ในกระแสสายธารหลากสี ชายร่างอ้วนที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องหลอม ลูบคางด้วยสีหน้าขบคิด “เจ้าเด็กนั่นฝึกเคล็ดกำหนดจิตกระบี่ แต่เป็นศิษย์ของเขาไหนกัน?”

    ชายร่างอ้วนคิดไม่ตก มันมีไม่กี่คนหรอกที่จะเดินผ่านค่ายกลตนมาดื้อๆเช่นนั้น เอาตามตรงร้านที่เถ้าแก่เนี้ยบอกหลินมู่ มันอยู่อีกฝากหนึ่งเลย แต่เขากลับเดินตำตอเจอร้านของเซียนนอกทวีปผู้หนึ่งเข้า

     

       พูดได้แค่ว่าเป็นโชควาสนาที่ไม่คาดคิดอย่างนึง ชายร่างอ้วนเหลือบมองไปยัง อาวุธวิเศษบนหิ้งทั้งหลาย ก็แยกเขี้ยวยิ้ม “พวกเจ้ากลัวกะอิแค่กระบี่ที่ใช้ โลหะนภานอกพิภพ ที่ถูกหลอมขึ้นมาแบบผิดวิธีเนี่ยนะ ข้าว่าข้าควรโยนพวกเจ้าลงหม้อหลอม แล้วหลอมขึ้นมาเป็นของชิ้นใหม่ ท่าจะดูดีกว่าพวกเจ้าเยอะเลย”

    ชายร่างอ้วนพูดด้วยเสียงกราดเกรี้ยวจบ เหล่าอาวุธวัตถุวิเศษพากันเงียบสนิท “เหอะ เจ้าหนูนั้นเถอะดันเข้ามาตอนข้าจะย้าย โรงหลอมตามเส้นนภา ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ หากไม่เห็นว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาของนิกาย ข้าคงไม่โผล่หน้าออกไปให้เห็นหรอก แต่ไม่คิดเลยว่าข้าต้องเอาน้ำมันเสวียน ที่ขายได้หลายศิลาเซียน แลกกับเหรียญเงินธรรมดา ในดินแดนเล็กๆเช่นนั้น ขาดทุนแล้วสิ”

     

       ชายร่างอ้วนพูดขึ้นมาคล้ายเยาะเย้ยตนเอง “จะยังไงก็ช่าง สายของตาเฒ่านั้นไม่ได้ขาดลงซะทีเดียวสินะ” เขาพูดอย่างร่าเริงด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก “แต่เจ้าเถอะ ข้าหมกตัวในห้องหลอมมาเป็น 100 ปีแล้ว ยังหลอมไม่เสร็จสักที หากไม่ต้องพึ่งเส้นนภาบัดซบนั้น ข้าสามารถหลอมเสร็จได้ตั้งแต่ 50 ปีก่อนแล้ว ข้าขาดทุนซ้ำซ้อนจริงๆ”

    ชายร่างอ้วนตวาดจบ ก่อนจะบังคับให้โรงหลอมหายไปจากสายธารหลากสี ไปปรากฏที่ส่วนอื่นของมหาทวีป….

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×