ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #35 : ตอนที่ 35 หาเรื่องข้ามิเลิก

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 65


       ถนนดินเหลืองที่ถูกปกคลุมไปด้วย หิมะขาวยาวสุดลูกหูลูกตา เปลี่ยนพื้นที่โดยรอบเป็นสีขาวโพลน มาพร้อมกับความหนาวเย็น

    สำหรับชาวบ้าน และ นักเดินทางแล้ว ถือเป็นฤดูกาลที่หินที่สุดในหนึ่งปี ทั้งความหนาวเย็น และ อะไรที่จะเกิดขึ้นก็ได้ตลอดเวลา

     

       ทำให้ฤดูหนาวหรือฤดูเหมันต์นั้น ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบเท่าไหร่ แต่สำหรับหลินมู่ผู้มาจากต่างภพ กลับกำลังนั่งพักข้างทาง จุดกองไฟดื่มน้ำร้อนเพื่อคลายความหนาวเย็น พร้อมนั่งชมทัศนียภาพอันขาวโพลนนี้

    ด้านข้างมีเจ้าลาเทาลายด่าง นามซุยโก๋ ที่หัวหน้าหมู่บ้านเคลมว่ามันชอบกินผลไม้มาก ซึ่งเหมือนจะเป็นความจริง ไอ้นี่ไม่ว่าผลไม้สดหรือแห้งมันก็เอาเข้าปากแล้วเคี้ยวหมด

     

        ขนาดเบอร์รี่หิมะที่มีพิษ ไอ้เจ้าลาตัวนี้ยังจะเดินไปกินให้ได้ ทำเอาหลินมู่กรุ่มใจเป็นอย่างมาก หากนับวันที่เขาเดินทางออกจากหมู่บ้านมานี้ก็เกือบ 4 วันแล้ว

    แสดงว่าอีกไม่นานเขาจะถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดในอีกไม่ช้า เมื่อดื่มน้ำอุ่นพอคลายความหนาวแล้ว ชายหนุ่มจึงเก็บของแล้วจึงเดินจูงลา เดินไปตามทางต่อไป

     

       ถึงแม้เขาจะสวมเกี๋ยะก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด ด้วยคุณสมบัติของไผ่ที่เอามาทำเกี๋ยะอันนี้ ทำให้มันเปลี่ยนอุณภูมิไปตามฤดูกาล

    เท้าของชายหนุ่มจึงอุ่นสบายเป็นอย่างมาก แม้เท้าจะจมอยู่ใต้กองหิมะก็ตาม สองสามวันมานี้หิมะก็ตกลงมาอีกครั้ง ทับถมให้หิมะสูงขึ้น ทำให้เจ้าซุยโก๋เดินลำบากพอสมควร

     

       หนึ่งคนหนึ่งลา เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะเห็นรูปร่างของเมืองก็เกือบตกดึกเสียแล้ว เมื่อเดินไปถึงประตูเมืองหลินมู่ยังไม่สามารถเข้าเมืองได้ในตอนนี้ เพราะเมืองนี้ดันมีกฎห้ามเข้าออกยามวิกาล

    หลินมู่จึงต้องไปนั่งรอรวมกับนักเดินทาง และ ขบวนพ่อค้า จนกว่ายามเช้าตรู่จะมาถึง จึงจะสามารถจ่ายค่าผ่านทางเพื่อเข้าเมืองได้

     

       หลินมู่แทบอยากจะหลับตาปริบๆใส่ยามเฝ้าประตูเมือง แต่เขาทำไม่ได้เนี่ยสิ ชายหนุ่มผู้หลับตาเดินไปเดินมาว่าแปลกแล้ว อีกฝ่ายดันใส่เกี๋ยะเดินไปเดินมาในฤดูเหมันต์เช่นนี้

    เท้าจะไม่แข็งเอาหรือไร? ทุกคนในที่นี้ก็รอเข้าเมืองอยู่เข่นกัน จึงไม่คิดจะเข้าไปสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มไม่รู้ที่มาผู้นี้ แม้อีกฝ่ายคล้ายจะเป็นคนตาบอด แต่การใส่เกี๋ยะเดินไปไหนมาไหนโดยไม่สะดุดล้ม แถมทุกก้าวอย่างยังมั่นคงสม่ำเสมอ

     

        จึงพิสูจน์ว่าเป็นตัวตนที่ไม่อาจดูแคลนได้ ยังไม่รวมที่อีกฝ่ายสะพายกระบี่ถึงสองเล่ม ต้องมีเคล็ดวิชาสองกระบี่หรือเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ อันร้ายกาจพร้อมกับตบะอันลึกล้ำเป็นแน่

    แม้ส่วนใหญ่จะไม่มีใครคิดหาเรื่องหลินมู่ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่อยากจะเข้ามาเสี่ยงโชค ต่อสู้กับชายหนุ่มเสมือนจะเป็นคนตาบอดผู้นี้

     

       แต่กลับถูกเพื่อนของตนห้ามเอาไว้เสียก่อน ส่วนคนที่เดินทางคนเดียวก็รู้ๆกันอยู ไม่นานหลังจากหลินมูู่เคลียร์หิมะ เอาไม้แห้งมาจากกระเป๋าสัมภาระของซุยโก๋เพื่อจุดไฟ

    ก็มีผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจรคนหนึ่งเดินมาด้วยท่าทางเป็นมิตร แต่ภายในสายตากลับแฝงไปด้วยความโลภ “ผู้ฝึกวรยุทธ์น้อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย เจ้าว่างหรือไม่?" แม้ปากจะถามว่าว่างหรือไม่

     

        แต่ไม่คิดจะเปิดโอกาสใดๆให้หลินมู่พูดปฎิเสธ หรือ พูดจาออกมาแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มแหงนหน้าไปทางผู้ฝึกวรยุทธ์คนนี้ด้วยสีหน้างุนงง พร้อมกับปลดหมวกไม้ไผ่ของตนลงมาวางไว้

    อีกฝ่ายร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้ออัดแน่น สวมชุดขนสัตว์หนาเตอะ ฉีกรอยยิ้มพยายามทำให้ตนเองดูเป็นมิตรที่สุด แต่กลับกัน มันกลับทำให้เขาดูน่ากลัวมากกว่าเป็นมิตร

     

        ผมสีน้ำตาลดวงตาสีดำไม่ต่างอะไรจากหมีภูเขาตัวหนึ่ง อีกฝ่ายสะพายขวานอันยักษ์ไว้บนหลัง พอคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่เกี่ยวกับขวาน

    หลินมู่ยังไม่ได้เปิดปากถามใดๆอีกฝ่ายก็ร่ายออกมาเป็นชุด “ผู้ฝึกวรยุทธ์น้อย เจ้าพึ่งออกเดินทางไกลใช่หรือไม่? ถ้าใช่เจ้าไม่ควรพกพาอาวุธเช่นนี้ การพกอาวุธสองชิ้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าร้ายกาจ แต่จะตกเป็นเป้าของคนโลภมากกว่า…”

     

        อีกฝ่ายร่ายยาวร้อยบท เกี่ยวกับความอันตรายเมื่อออกมาท่องยุทธจักรครั้งแรก แต่เป้าหมายโดยในแล้วอีกฝ่ายเพ็งเล็งกระบี่ทั้งสองเล่มที่คุณภาพค่อนข้างสูง บนตัวของชายหนุ่มผู้นี้

    เขาโลภอยากจะได้มาสักเล่ม อย่างดีเขาก็เอามาทั้งสอง ไอ้เด็กนี่จะเป็นจะตายยังไงเขาไม่สน อยู่ในยุทธจักรก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง หากเมืองนี้ไม่มีกฎห้ามสังหารคนอื่นหน้าประตูเมือง

     

        ป่านนี้ไอ้เด็กน้อยนี้ได้ลิ้มรสวิชาขวานแยกศิลาของตนแล้ว เมื่อเกิดเรื่องขึ้นทุกคนที่นั่งรอให้ถึงยามเช้าตรู่มาถึง เพื่อจะได้เข้าไปภายในเมือง ก็หันมาดูละครที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

    ในยามค่ำคืนที่แสนน่าเบื่อเช่นนี้ หาได้ยากที่จะมีอะไรมาสร้างความบรรเทิง การมีผู้ฝึกวรยุทธ์ตีกันก็ถือว่าเป็นความบรรเทิงฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง

     

        หลินมู่ที่นั่งใช้ไม้เขี่ยกองไฟ ระหว่างนั่งฟังอีกฝ่ายสาธยาย เมื่ออีกฝ่ายพูดจบก็ถึงคราวของหลินมู่ “ที่เจ้าพูดมายืดยาวขนาดนี้ คงมิใช่ความหวังดีกระมัง?” แค่ประโยคแรกก็ทำให้คนแถวนั้นสะอึกแล้ว

    ในขณะที่หลายคนยังตอบสนองไม่ทัน หลินมู่ก็ขยับปากพูดขึ้นมาอีก “แต่ต้นจนจบ สิ่งที่เจ้าพูดมาเพียงเพราะแค่โลภในกระบี่ของข้ามิใช่หรือ? จะพูดให้ตนเองดูมีคุณธรรมค้ำฟ้า ปากก็พร่ำว่าข้าเป็นห่วงผู้ฝึกวรยุทธ์น้อยอย่างข้า ช่างมือถือสากปากถือศีลจริงๆ ข้าถามหน่อยเถอะท่านพูดถึงกระบี่ข้าแล้วกี่ครั้ง? เห็นชัดๆอยู่ว่าท่านมิได้หวังดีแต่แรก แล้วท่านคิดว่าข้าโง่งมขนาดนั้นเลยหรือ?”

     

        บรรยากาศกลายเป็นเงียบสงัดอย่างฉับพลัน แต่ละคนที่รอรับชมความสนุกอยู่ พากันอ้าปากค้าง เถรตรงเกินไปแล้ว ไม่คิดจะอ้อมค้อมเลย จะเปิดก็เปิด นี้ไม่ต่างอะไรจากการแส่หาความตาย

    โดยใช้ปากตะโกนยั่วยุบอกว่ามาฆ่าข้าสิ!! ชายหนุ่มผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากใดกัน? นี่คงเป็นหนึ่งคนที่ใช้คำว่า ยอมหักมิยอมงอ ได้ถึงแก่นกระมัง ผู้ฝึกวรยุทธ์ร่างใหญ่ผู้นั้น

     

        ถูกหลินมู่ร่ายวาจาไปหนึ่งคำรบ ก็ยืนกำหมัดหน้าดำหน้าแดง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังร่างในชุดคลุมฟ้า ที่กำลังนั่งผิงไฟด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา “บัดซบ!!! เจ้าเห็นความหวังดีของข้าผู้อาวุโสเป็นอะไรกั….”

    ยังพูดไม่ทันจะจบเสียงหลินมู่ก็ดังแทรกขึ้นมา “ความหวังดีของเจ้า? เจ้าต้องพูดว่าเหตุใดข้าจึงได้ไม่ตกหลุมพรางโง่ๆ ที่เจ้าขุดขึ้นด้วยวาจาสะเปะสะปะนั้น มันอาจจะหลอกพวกไร้ประสบการณ์ได้ แต่สำหรับข้าไม่”

     

       บรรยากาศกลายเป็นหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ผู้ฝึกวรยุทธ์คนนั้นยังคงไม่ยอมรับว่า ตนมีจิตมุ่งร้ายโลภต่อทรัพสมบัติ และ กระบี่ทั้งสองเล่มของอีกฝ่าย เป็นภาพที่แปลกอย่างมาก

    หนึ่งยืนชี้นิ้วด่าฉอดๆ อีกหนึ่งนั่งนิ่งผิงกองไฟตั้งหม้อต้มน้ำหุงหาอาหาร ผู้ฝึกวรยุทธ์ร่างใหญ่ที่เห็นถึงความไม่ยี่หระของอีกฝ่าย ก็ระเบิดโทสะเดินไปเตะหม้อของหลินมู่ไปจมอยู่ในกองหิมะ

     

       “เห้อ….” หลินมู่ถอนหายใจยาวคล้ายจะถอดถอนใจ แต่ละคนที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ก็เกรงตัวเตรียมรับชม ละครที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า “หากเจ้ากล้าก็มาประลองกับข้าผู้อาวุโส!!” 

    อีกฝ่ายชี้หน้าหลินมู่ด้วยความลำพองใจ โดยไม่รู้เลยว่าตนกำลังแหย่รังแตนอยู่ “คราแรกข้าคิดว่า จะปล่อยให้คนสมองหมูเยี่ยงเจ้าไป แต่เหมือนไม่เจ็บตัวเจ้าก็ไม่เลิกตอแยข้า….” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

     

        คล้ายจะทำให้อุณหภูมิโดยรอบเย็นลงอีกหลายส่วน “พูดมากน่ารำคาญ!!! จะสู้ก็สู้ ข้าผู้อาวุโสจะได้สั่งสอนเจ้า!” ชายคนนั้นเอาขวานมาถือในมือพร้อมเลียริมฝีปากอย่างชอบใจ

    หลินมู่ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ไม่เอื้อมมือไปชักกระบี่ออกจากฝัก ทำเพียงถือกิ่งไม้ที่ใช้เขี่ยกองไฟยืนนิ่งอยู่กับที่ 

     

        เหล่าคนที่นั่งรอชมความสนุกก็กลั้นหายใจ รอให้ทั้งสองคนนั้นเริ่มการต่อสู้ขึ้นเสียที “ย๊าก!!! ยอมให้ข้าผู้อาวุโส!!!” สิ้นเสียงคำรามชายผู้นั้นก็วิ่งห้อตะบึงเข้ามา พร้อมง้างขวานขึ้นสูง

    เมื่ออยู่ห่างจากหลินมู่เพียงหนึ่งช่วงแขน ขวานก็ถูกเหวี่ยงลงมาราวกับดาวตก ทางด้านชายหนุ่มเพียงยืนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนจะขยับแขนเพียงเล็กน้อย ใช้กิ่งไม้เบี่ยงวิถีของขวานไปอีกทาง ปัง!!!

     

        พื้นดินสั่นสะเทือนแต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่ขยับไหวติงเลย เจ้าลาซุยโก๋ที่ออกจากระยะต่อสู้ไปตอนไหนก็ไม่รู้ กำลังเคี้ยวผลไม้แห้ง ยืนมองเจ้านายใหม่ของมันสู้กับคนแปลกหน้า 

    ชายผู้นั้นแปลกใจแต่ไม่นานนักก็กลับมาเป็นปกติ เขาพยายามจะดึงขวานขึ้นมาเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่หลินมู่ไม่คิดจะให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น เขาขยับแขนใช้กิ่งไม้นั้นเปรียบเสมือนกระบี่เล่มหนึ่ง

     

        ผ่าชุดขนสัตว์หนาเตอะพร้อม ชุดผ้าด้านในจนขาดกระจุย ก่อนจะจ้วงแทงเขากลางอก พร้อมสะบัดหนึ่งครั้ง 

    แม้ร่างกายอันบึกบึนนั้นจะไร้บาดแผล แต่กลับกระอักเลือดออกมาคำโต หลินมู่ใช้เท้าเตะอีกฝ่ายลอยไปไกล ร่างอันใหญ่โตของอีกฝ่ายจมลงไปในกองหิมะ ทิ้งขวานด้ามใหญ่ไว้ตรงเดิม

     

       “ตบะก็ไม่ได้สูงกระไร แค่จอมยุทธ์ที่พอไปวัดไปวา ยังตอแยข้ามิเลิก” หลินมู่ร่ายอีกหนึ่งประโยค ก่อนจะเดินไปหยิบหมอมาวางบนกองไฟเช่นเดิม

    เมื่อเขานั่งลงเจ้าซุยโก๋ก็กลับมานั่งลงด้านข้างกองไฟเช่นกัน แต่ละคนถลึงตาเพียงสี่กระบวนท่าก็ล้มชายร่างยักษ์ผู้นั้นได้แล้ว ช่างหน้าหวาดกลัว แม้แผลภายนอกจะมีเพียงลอยซ้ำ กลับกันแผลภายในกลับค่อนข้างรุนแรง จนชายผู้นั้นยังนอนใบหน้าบิดเบี้ยวในกองหิมะ….

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×