ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #32 : ตอนที่ 32 เดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 65


       ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาขาดวิ่นสะพายกระบี่สวมเกี๋ยะ เดินหลับตาลงมาจากเขาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

    แม้จะดูร่างกายผอมแห้งขาดสารอาหารไปหน่อย แต่ทุกย่างก้าวกลับมั่นคงสม่ำเสมอ เมื่อเดินลงมาถึงครึ่งเขาทางด้านหลังก็มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งวิ่งลงมา

     

       หลินมู่ก้าวขาหลบไปข้างๆ ไม่คิดจะเป็นตอไม้ขวางเส้นทาง “ขอบคุณเซียนจวิน” กลุ่มคนที่วิ่งลงมามีสามคน ล้วนเป็นแกนนำระดับสูงของหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว

    พวกเขาพูดขอบคุณหลินมู่ก่อนจะวิ่งจากไป ลงไปหมู่บ้านเพื่อเกณฑ์คนบางส่วนขึ้นไปบนเขา ตามคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้าน หลินมู่ไม่พูดอะไรเพียงยกยิ้ม และ พยักหน้าให้อีกฝ่ายเท่านั้น

     

       เขายังเดินลงเขาด้วยความเร็วคงเต่าคลาน ระหว่างทางก็มีคนวิ่งสวนขึ้นลงเป็นระยะๆ เวลาย่างเข้ายามเย็นหลินมู่พึ่งเดินลงมาถึงตีนเขา 

    ขณะที่ชาวบ้านบางส่วน วิ่งขึ้นลงเขานี้ได้สองถึงสามรอบแล้ว บิดตัวคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อยก่อนจะออกเดินต่อไป เมื่อเดินมาถึงบ้านของพ่อลูกสกุลจาง 

     

       ชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปเคาะประตู ก็อก!ก็อก!! เพียงเคาะสองครั้งก็มีปฎิกริยาตอบสนองจากด้านใน ประตูไม้ไผ่เก่าจนเป็นสีเหลืองถูกเปิดออก เผยให้เห็นคนที่เดินมาเปิดประตู

    นั้นคือบิดาของจางหยู จางโหยวที่เห็นว่าหลินมู่อยู่ด้านนอกก็ยิ้มแย้มทันที “ท่านหลิน เข้ามาก่อนสิเดี๋ยวข้ายกน้ำร้อนมาให้” หลินมู่ไม่ปฎิเสธเขาพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม

     

       “ข้าคงต้องรบกวนลุงจาง อีกสักพักแล้วหล่ะ” จางโหยวยิ้มก่อนจะโบกมือส่ายหน้า “หามิได้ ท่านหลินจะรบกวนอีกหลายปีข้าก็ไม่รังเกียจเลย ท่านช่วยบุตรชายข้าไว้ ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ” หลินมู่ที่เดินเข้ามาภายในบ้าน

    ก็เผยยิ้มก่อนจะพูดออกมา “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วเจ้าตัวดีนั้นหล่ะ” จางโหยวนำทางไปยังห้องนอนของจางหยู ก็พบว่าไอ้ตัวดีนอนหลับปุ๋ยไม่ได้สติ ปากยังพึมพำคำว่าอย่าเข้ามาน่ะไอ้คนชั่ว ไม่งั้นข้าจะฟันเจ้าด้วยดาบที่ท่านพ่อข้าทำให้

     

       หลินมู่ยักไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ประตูของห้องอาหารถูกเปิดเอาไว้ทำให้เห็น สวนหย่อมเล็กๆที่พ่อลูกสกุลจางช่วยกันทำขึ้นมา สักพักจางโหยวก็ยกถ้วยน้ำร้อน มาให้หลินมู่ด้วยสีหน้าโทษตนเอง “ขอโทษท่านหลินด้วย บ้านข้าไม่มีชาดีๆพอจะเอามาต้อนรับได้เลย มีเพียงน้ำร้อนเปล่าๆเท่านั้น”

    หลินมู่โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร เขายกถ้วยน้ำร้อนขึ้นมาจิบ บรรยากาศภายในบ้านกลายเป็นเงียบงันแต่ดูไม่อึดอัดแม้แต่น้อย จางโหยวและหลินมู่ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะพูด ก็เป็นการดีกว่าที่จะไม่พูดอะไรเลย หลินมู่จิบน้ำร้อนเงียบๆ พลางดื่มด่ำกับความสงบชั่วครู่ชั่วคราว

     

       สักพักก็มีบางคนมาเคาะประตูบ้านของจางโหยว เมื่อจางโหยวเดินไปเปิดประตูก็พบกับ หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลาง อีกฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะมาป้องมือให้กับหลินมู่

    “เรียนเซียนจวิน ของที่ข้าบอกว่าจะเตรียมให้ท่านตั้งแต่เมื่อคืน ข้าเตรียมไว้แล้ว และ ข้ามีคำถามจากท่านหญิงหงหลี่ เกี่ยวกับสามีของนาง…” หลินมู่ฟังเสี่ยวหลางไปพลางจิบน้ำร้อนไปพลาง

     

        เมื่ออีกฝ่ายพูดจบเขาก็พูดขึ้นทันที “ของทั้งหมดนั้นเดี๋ยวข้าจะจ่ายเงินให้ ส่วนเรื่องสามีของนางแค่ให้เขาดูดซับควันธูปในศาลเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติเอง แต่คงต้องใช้เวลาสักพัก มีอะไรอีกไหม?” เสี่ยวหลางพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง

    “หมู่บ้านของเราจะจัดงานฉลอง ไม่ทราบว่าเซียนจวินท่านจะเข้าร่วมหรือไม่?” หลินมู่คิดสักพักก่อนจะตอบตกลง เขาหยิบตำลึงทองออกมาจากถุงเงินส่งให้เสี่ยวหลาง เป็นค่าสิ่งของที่อีกฝ่ายเตรียมให้

     

        หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลางก็รับมาโดยไม่พูดปฎิเสธใดๆ ในเมื่ออีกฝ่ายมีใจที่จะจ่ายค่าของ และ ไม่อยากติดค้างบุญคุณ ตนก็ไม่ควรปฎิเสธ

    เขารับตำลึงทองก้อนนั้นมา พูดคุยสักพักก่อนจะเดินจากไป หลินมู่ยกน้ำที่เหลือในถ้วยดื่มจนหมด ก่อนจะเดินกลับห้องของตนเอง เขาบอกกับจางโหยวว่าจะพักผ่อนสักหน่อย และ ก็จากไปทันที

     

        เมื่อกลับมานั่งภายในห้องนอนรับแขก เขาก็หยิบศิลาโลหิตอัปมงคลออกมา ก่อนจะใช้มันขัดเกลาจิตกระบี่ของตนเอง เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

    หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังจากคืนนั้น หลินมู่ก็จำต้องอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสี่ยวต่ออีก 3 วัน ในวันที่เขากำลังจะออกเดินทาง หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลางก็เรียกตนไปหา 

     

        “หัวหน้าหมู่บ้านท่าน มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านที่ยุ่งกับการก่อสร้าง และ วางแผนจัดแผนผังหมู่บ้านก็หันหน้ามาพูดกับหลินมู่ทั้งรอยยิ้ม “ท่านหลิน ก่อนท่านจะออกเดินทาง ข้ามีของที่ต้องการจะมอบให้ท่าน ถือเสียว่าเป็นคำขอบคุณจากข้า…” 

    หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลางพาหลินมู่ เดินไปนั่งคอกลาของหมู่บ้านก่อนจะจูงลา สีเทาลายด่างออกมาตัวหนึ่ง “เจ้านี่ชื่อว่า ซุยโก๋ เพราะมันชอบกินผลไม้ มันจึงได้ชื่อนี้ และ ข้าอยากให้ท่านรับสิ่งนี้ด้วย…” เสี่ยวหลางยื่นน้ำเต้าธรรมดาอันหนึ่งมาให้หลินมู่ ที่ถูกเติมสุราไว้จนเต็ม

     

       ซึ่งหลินมู่ก็รับทั้งสองมาโดยดี ตลอด 3 วันที่ผ่านมา หลินมู่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลังจากบอกลาชุดคลุมขาดรุ่งริ่งแล้ว เขาก็สวมชุดคลุมสีฟ้าที่เสี่ยวหลางหามาให้

    ซึ่งเขาก็สวมได้อย่างพอดีตัว บนตัวซุยโก๋วางกระเป๋าสัมภาระ มีร่มไม้ไผ่ หมวกไม้ไผ่ และ อุปกรณ์ยังชีพพร้อมอาหารน้ำดื่มอีกเล็กน้อย รวมถึงผลไม้แห้งอาหารของซุยโก๋ด้วย “ขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้าน” หลินมู่ป้องมือให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ป้องมือกลับเช่นกัน “หากท่านกลัวจะหลงทาง สามารถเดินไปตามถนนได้เลย เพียง 5 วันก็จะถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้ว”

     

       ทั้งคู่ยิ้มให้กัน และ กันก่อนจะแยกทางกันไป หลินมู่หยิบหมวกไม้ไผ่มาสวมก่อนจะจูงซุยโก๋ เดินไปตามถนนดินเหลืองปล่อยให้หมู่บ้านตระกูลเสี่ยวห่างไกลไปเรื่อยๆ

    ภายในหมู่บ้านชายชราผู้เป็นหนึ่งในแกนนำ มองแผ่นหลังของชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าเดินเคียงคู่ไปกับลาเทาลายด่าง หายลับไปจากสายตาก็เกิดแรงบรรดาลใจ

     

        หยิบมีดแกะสลัก และ ไม้เนื้อดีที่ตนเก็บได้เมื่อหลายปีก่อนออกมาแกะสลัก แม้ช่วงนี้อากาศจะเย็นลงมากแล้ว คาดว่าหิมะแรกของปีนี้ คงมาตกในตอนบ่ายนี้ คนในหมู่บ้านจึงค่อนข้างยุ่งพอสมควร

    ผ่านไปค่อนข้างนานชายชรา ที่จมปลักอยู่กับงานแกะสลัก ก็ปาดเหงื่อมองผลงานชิ้นเอกด้วยรอยยิ้ม เขาเดินเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษ วางไม้แกะสลักไว้ระดับเดียวกับป้ายวิญญาณบรรพชน

     

        มันเป็นไม้แกะสลักด้านหลังของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่สะพายกระบี่สวมหมวกไม้ไผ่ ตัวไม้แกะสลักราวกับมีชีวิตจริงๆ เสมือนตัวคนในนั้นค่อยๆเดินหายลับไปเรื่อยๆ

    ชายชรายิ้มกว้างก่อนจะก้มลงกราบจุดธูปหอม และ จากไปอย่างเงียบเชียบ ทางฝั่งของหลินมู่ที่เดินออกมาจากหมู่บ้าน จนรู้สึกว่าตนเริ่มขี้เกียดเดินแล้ว

     

        จึงโน้มตัวปีนขึ้นไปนั่งบนหลังซุยโก๋ เจ้าลาเทาลายด่างซุยโก๋เองก็ว่าง่ายปล่อยให้หลินมู่ นั่งบนหลังของมันก่อนจะเดินไปตามถนนด้วยความเร็วเอื่อยๆ

    สองข้างทางมีแต่ป่าที่เกือบไร้ใบ และ แม่น้ำสายยาว หนึ่งคนหนึ่งลาเดินทางไปอย่างเงียบสงบ อีกฝากหนึ่งมีเกวียนที่ใช้ลาลากกำลังสวนทางมา คาดว่าจุดหมายปลายทางคือหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว คนคุมบังเหียนคือชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเครา

     

        สายตาของเขามองไปยังซุยโก๋อย่างตกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรพวกเขาทั้งสองสวนทางกันไปทางใครทางมัน

    บนเกวียนมีสตรีชุดเขียว สายรัดคล้ายใบหลิวสีเขียวสดราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ นางใช้ผ้าขาวบางปิดใบหน้าท่อนบน นั่งในน่าสำรวมบนเกวียน ในจังหวะที่ทั้งสองสวนทางกัน

     

       หญิงสาวก็เหลือบมองไปทางอีกฝ่าย ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าที่หลับตานั่งบนลาลายด่าง สะพายกระบี่สองเล่มสวมเกี๋ยะ ใช้มือดึงหมวกไม้ไผ่ลงเล็กน้อย 

    จนทั้งคู่ห่างกันไปสักพักนางจึงพึมพำออกมา “เป็นปรมาจารย์ท่านใดกัน ถึงได้ครอบครองกระบี่ที่อาจารย์หลอมขึ้นมา…” นางพูดพึมพำพร้อมใช้สายตา มองลวดลายบนฝักของตงหยู

     

        เมื่ออีกฝ่ายหายไปจากสายตา หิมะสีขาวก็เริ่มโปรยปรายลงมา คิดไปคิดมานางก็เลิกสนใจอีกฝ่าย หันมาสนใจภารกิจของตนเองดีกว่า

    “ท่านหญิงหลิว อีกไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านตระกูลเสี่ยวแล้วขอรับ” นางส่งเสียงอืมก่อนจะเอนตัวไปมา คิดถึงชายหนุ่มที่สวนทางกับตนไปอีกครั้ง อีกฝ่ายคงฝีมือไม่ธรรมดา หากได้เจอกันอีกครั้ง นางจะขอประลองฝีมือเพื่อพิสูจน์ว่า อีกฝ่ายมีความสามารถมากพอจะถือกระบี่ ที่อาจารย์ของนางหลอมขึ้นมาได้หรือไม่

     

        ยิ่งนานไปหิมะก็ยิ่งโปรยปราย ราวกับถองฟ้าขาวหลุดลอก กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ หลินมู่หยิบร่มไม้ไผ่ออกมากาง

    บังหิมะเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าลาซุยโก๋ลำบากน้อยลงสักนิด หลังจากหยุดอยู่กับที่มานานในที่สุด เขาก็ได้ออกเดินทางไปตะวันตกต่อเสียที….

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×