ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #31 : ตอนที่ 31 จบลงได้ด้วยดี

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 65


       เหล่าแกนนำบุคคลระดับสูงของหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว แสดงสีหน้าเหรอหราไปไม่ถูกเมื่อกี้นี้มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น??

    บนใบหน้าของพวกเขามีคำถามเต็มไปหมด ถึงขั้นขนาดบางคนหยิกแก้มตนเอง เพื่อพิสูจน์ว่าตนมิได้ฝันหรือหลอนแต่อย่างใด

     

       แม้แต่อูเชินที่ยืนนิ่งสงบยังอ้าปากกว้าง นี้ภรรยาและบุตรสาวคนทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ภายในอกอัดแน่นไปด้วยความสงสัย 

    แต่ยังไม่ถึงจังหวะที่ตนต้องถาม รอให้ผ่านพ้นเรื่องบุญคุณความแค้นครั้งนี้ไปก่อน ในครอบครัวก็ต้องมีการพูดคุยกันอีกยาวเลย 

     

       เสี่ยวหลางผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นมาอย่างสงสัย “เซียนจวินท่านจะแก้ไข ความขัดแย้งระหว่างหมู่บ้าน และ ครอบครัวสกุลอู อย่างไร?” หลินมู่ที่เล่นกับหินหน้าตาประหลาดอยู่

    ก็พูดขึ้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย “ก่อนจะแก้ไขข้าจะขอพูดอะไรเล็กน้อย ได้หรือไม่?” เสี่ยวหลางและคนอื่นๆพยักหน้า พวกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลินมู่อยากจะพูดอะไร

     

       หลินมู่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ถ้ากล่าวเรื่องบุญคุณความแค้น คงต้องเริ่มจากที่อูเชิน แบกโลงศพของภรรยาและบุตรสาวมายังหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว พวกเจ้ารับอูเชินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในหมู่บ้าน ถือเป็นวาสนาต่อกันชนิดหนึ่ง แต่วาสนาต่อกันครั้งนี้ได้ถูกทดแทนไปบางส่วนแล้ว…”

    ตอนแรกแต่ละคนฟังสิ่งที่หลินมู่โดยไม่โต้แย้งอะไร แต่พอได้ยินว่าบุญคุณแรกสุด ได้ถูกทดแทนไปบางส่วนแล้ว พวกเขาก็เกิดความไม่พอใจ ทดแทน? เขาทดแทนให้พวกเราตอนไหน??

     

       ในขณะที่หนึ่งในแกนนำจะพูดขึ้นมา หลินมู่ก็ชิงอธิบายก่อนไม่งั้นได้อยู่บนเขาจนมืดค่ำ เพราะต้องรอให้คนทะเลาะกันจนเสร็จเป็นแน่ “ผลผลิตพืชผลใน 6 ปี และ ก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง…”

    เมื่อได้ยินคำถามของหลินมู่ทุกคนก็ปิดปากเงียบ จมสู่ภวังค์การคิดคำนวณ อูเชินและครอบครัวที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ ก็ได้เปิดปากแสดงตัวใดๆ เพียงยืนเงียบๆปล่อยให้หลินมู่เป็นคนไกล่เกลี่ย

     

       เป็นแกนนำชราผมขาว ยกมือขึ้นตอบคำถามกลับมา “ตอบท่านเซียนจวิน ผลผลิตของพวกเราก่อนหน้าที่อูเชินจะมาถึง นั้นไม่ได้ดีนักแต่ก็มากพอจะเลี้ยงคนภายในหมู่บ้าน แต่พออูเชินถูกรับเข้ามาภายในหมู่บ้านเพียงครึ่งปี ผลิตของพวกเราก็มากขึ้น และ ดีมากขึ้นทุกปี ข้าขอถามท่านเซียนจวินมันเกี่ยวกับครอบครัวสกุลอูด้วยหรือ?”

    ทุกคนฟังคำอธิบายของชายชราคนนั้น โดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มที่ยืนเล่นก้อนหินที่เขาตั้งชื่อให้มันชั่วคราวว่า'ศิลาโลหิตอัปมงคล' ก็เปิดปากชี้จุดให้พวกเขาคิดอีกครั้ง

     

       “ฉะนั้นข้าจะถามพวกเจ้า ภรรยาและบุตรสาวของอูเชิน ช่วงปีแรกแม้พวกนางจะไม่ได้ทรงพลัง เหมือนที่แสดงให้พวกเจ้าดูเมื่อกี้ แต่พวกนางก็เชื่อมต่อกับภูเขา ผืนดินแถบนี้จนพอมีอำนาจอยู่บ้าง และ มันหมายความว่ากระไร นี่คือสิ่งที่ข้าจะถาม"

    ทุกคนขบคิดอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่นานเท่าครั้งที่แล้ว ยังคงเป็นชายชราคนเดิมที่ตอบกลับมา “หมายความว่า อูเชินให้ภรรยาและลูกสาว ดึงวาสนาเล็กน้อยบางส่วนมาให้หมู่บ้านตระกูลเสี่ยวเราทุกปี?” หลินมู่พยักหน้าเป็นคำตอบ

     

       ทุกคนตกตะลึง พวกเขาเชื่อมาโดยตลอดว่า บรรพบุรุษเห็นแก่ความเหนื่อยยากที่ผ่านมา จึงประทานพรให้พวกเขาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ที่ไหนได้เป็นเพราะครอบครัวสกุลอู ที่พึ่งถูกรับเข้ามาภายในหมู่บ้านที่เป็นคนแสดงอภินิหาร..

    ทุกคนอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกอีก พวกเขาไม่มีข้อโต้แย้งจริงๆ ถึงจะมีแต่ก็แย้งไม่ขึ้น พวกเขาจึงเงียบรอฟังหลินมู่พูดอธิบายต่อไป

     

        ทางฝั่งครอบครัวสกุลอู ก็โล่งใจพวกตนคิดว่าเซียนจวินจะรับมือ กับพวกชาวบ้านขี้สงสัยกลุ่มนี้ไม่ได้เสียแล้ว พวกเขาจึงเตรียมตัวอธิบายแทนตลอดเวลา แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะ

    “แต่ถึงแมัจะผูกบุญวาสนาต่อกันอยู่ แต่เรื่องที่อูเชินทำตลอดก็เป็นการผูกกรรมชั่วเช่นกัน แม้จะไม่มีใครตายเพราะการกระทำทางตรงของเขา แต่ทางอ้อมก็น่าจะมี แม้โดยผิวเผินการที่อูเชินลงเขาทุกเดือนเพื่อขอวัวหรือแพะ เป็นๆจากพวกเจ้า แม้มันจะไม่ค่อยเดือดร้อนใครในทางตรง… ข้าคงไม่ต้องพูดให้ยืดยาวกว่านี้พวกเจ้าน่าจะเข้าใจ"

     

       ทุกคนคิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป บ่อเลือดสัตว์ และ หมอกสีดำน่าสะอิดสะเอียน นั้นคือผลในทางอ้อมที่หลินมู่พูดถึง อูเชินเอาเลือดสัตว์สร้างบ่อโลหิตด้วยเคล็ดวิชามาร

    ดึงดูดปราณหยิน ปราณชั่วร้ายเข้ามาภายในภูเขา และ สิ่งเหล่านั้นคือผลกระทบที่เกิดกับชาวบ้าน ที่ขึ้นมาบนเขาเพื่อหาวัตถุดิบทำหัตกรรม หรือ พวกที่มาหาของป่าของภูเขา 

     

       อูเชินยอมรับแต่โดยดีนี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากตนจริงๆ ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ก็มีข่าวคนที่ขึ้นเขาตายสองถึงสามคนทุกปี แม้เขาจะให้ภรรยาและบุตรสาว

    ดึงวาสนามาให้บางส่วน แต่ก็ไม่อาจชดเชยที่เขาคร่าชีวิตคนอื่น จากผลกระทบที่ตนไม่เคยคิดไตร่ตรองมาก่อน

     

       เหล่าชาวบ้านเองก็ไม่ได้โง่ พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่หลินมู่พยายามจะสื่อออกมา แม้อูเชินจะทดแทนบุญคุณแรกสุด และ สร้างวาสนาบางส่วนให้กับหมู่บ้าน

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบ จากพิธีกรรมของเขา ก็หักลบกลบบุญวาสนาจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงหนี้ต่อกัน ผูกเป็นปมอยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องพูดเลยว่าคนขึ้นเขาหลังหมู่บ้าน ตลอด 6 ปีที่ผ่านมามีคนตายแล้วกี่คน

     

       มันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกแทนได้ง่ายๆ ด้วยการให้ภรรยาและบุตรสาวของอูเชิน ดึงวาสนาจากโดยรอบมาเพิ่ม

    หากทำเช่นนั้นก็เป็นการทำลาย พื้นที่โดยรอบเท่านั้น กลายเป็นว่าเป็นการผิดต่อฟ้าดินแย่งชิงจนผืนดินไร้ชีวิต

     

       หลินมู่พยักหน้าเงียบๆ พวกเขาเข้าใจได้เร็วมาก เมื่อจังหวะมาถึงหลินมู่ก็เปิดปากพูดทันที “ฉะนั้นข้าถึงมีข้อเสนอให้กับพวกเจ้า ทั้งสามารถทำให้หมู่บ้านของพวกเจ้า เจริญก้าวหน้าต่อไปอีก 100 ปี หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น”

    เหล่าแกนนำและเสี่ยวหลางถึงกับหูผึ่ง เมื่อได้ยินคำว่าเจริญก้าวหน้าไปถึง 100 ปี เหตุใดพวกเขาจะไม่สนใจกันล่ะ

     

       “เซียนจวินโปรดพูด…” เสี่ยวหลางพูดอย่างนอบน้อม พร้อมป้องหมัดไปทางหลินมู่ คนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน รวมถึงครอบครัวสกุลอู “เซียนจวินโปรดพูด…”

    หลินมู่ที่ถูกคนเหล่านี้ เรียกว่าเซิยนจวินจนปลงแล้วก็เล่นกับศิลาโลหิตอัปมงคล พร้อมกับตอบออกไปด้วยท่าทางโล่งใจ ที่ปลดภาระภายในใจออกไปบ้างแล้ว

     

       “ความเจริญที่ข้าพูดถึงคือ ครอบครัวสกุลอู ภรรยาและบุตรสาวคือเทพและภูติภูเขา หากสร้างศาลบูชานางจุดธูปหอม แม้ช่วงแรกจะไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ยิ่งศาลของพวกนางมีควันธูป และ คนกราบไหว้บูชามากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งมีอำนาจสามารถแบ่งวาสนาบางส่วน จากฟ้าดินมาให้พวกเจ้าได้อย่างไม่ผิดต่อสวรรค์…”

    หลินมู่อธิบายเกี่ยวกับคู่แม่ลูกอย่างละเอียด ก่อนจะเปิดปากเตือนในประโยคสุดท้าย “แม้ควันธูปจะไม่ขาดสาย และ มากจนไม่ขาด แต่จิตใจของพวกเจ้าเต็มไปด้วยกิเลส หรือ ความโลภ อย่าโทษข้าที่พวกนางพิโรธเปลี่ยนจากเทพหรือภูติภูเขา กลายเป็น ภูติผีปีศาจ เพราะน้ำมือของพวกเจ้าเอง…”

     

       เหล่าแกนนำชาวบ้านที่ได้ยิน ตอนแรกก็มีความโลภแฝงอยู่ภายในใจ แต่พอได้ยินว่าหากตนจุดธูปด้วยความโลภ และ กิเลส จะเปลี่ยนสองแม่ลูกเทพภูติภูเขา กลายเป็นภูติผีปีศาจ กิเลสและความโลภก็ดับไปในทันที แต่ไม่มอดไปซะทีเดียว ยังคงเหลือความโลภในวาสนาเล็กๆนั้น

    “เรื่องจุดธูปให้พวกนางก็แล้วแต่ใจพวกเจ้าจะศรัทธา ข้าบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องธูปพวกเจ้าคงมีห้องโถงบรรพบุรุษอยู่กระมัง สามารถใช้ธูปชนิดเดียวกันได้ แต่หากพวกเจ้าคิดว่าธูปไม่คู่ควรกับเทพภูเขาของพวกเจ้า นั้นก็ไม่ใช่เรื่องของข้า มันเรื่องของพวกเจ้ากับเทพของพวกเจ้า” 

     

       ทุกคนที่ได้ยินประโยคตัดตนเองออกจากปัญหา ของหลินมู่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เหตุไฉนเซียนจวินท่านนี้ถึงหวาดกลัวปัญหามากขนาดนี้กัน

    “เรื่องแม่ลูกผ่านไปแล้ว เหลือแต่การไถ่โทษของอูเชิน…” ทุกคนที่ได้ยินก็เปลี่ยนกลับมาจริงจังทันที แม้จะบอกว่าพวกเขาได้รับโชควาสนามากมายจากอูเชิน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ผูกปมกรรมมากมายกับอีกฝ่ายเช่นกัน

     

       “อูเชิน…” หลินมู่หันหน้าไปทางอูเชินที่ยืนอยู่กับภรรยาและบุตรสาว “ขอรับท่านเซียนจวิน” อูเชินเดินออกมาโค้งตัวให้อย่างเคารพ รอฟังสิ่งที่หลินมู่จะพูด

    “อูเชิน เจ้าเต็มใจไถ่โทษ ด้วยการเป็นผู้ปกปักหมู่บ้าน และ เทพภูเขา เป็นระยะเวลา 100 ปี หรือไม่? ในระยะเวลา 100 ปีนี้เจ้าต้องคอยช่วยเหลือชาวบ้านไถ่โทษในสิ่งที่เจ้า และ ภรรยากับบุตรสาวของเจ้าก่อขึ้นมาทางอ้อม รวมถึงการถ่ายทอดเคล็ดวรยุทธ์ให้แก่พวกเขา ข้าจะถามอีกครั้งเจ้ายอมหรือไม่….”

     

       อูเชินไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยตอบกลับมาทันที “ข้ายอมรับ ข้าจะปกปักพื้นที่แห่งนี้เป็นเวลา 100 ปี!!” หลินมู่พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมา “ดี เมื่อรับปากก็จงจดไว้ หนึ่งวาจาหนักดุจติ่งทองเก้าชั้น ในอนาคตอย่าได้ผิดต่อตนเองในวันนี้" 

    อูเชินคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อน จะตะโกนเสียงดังสนั่นฟ้าสะเทือน “ข้าอูเชิน จะสาบานต่อฟ้าดิน ให้เซียนจวินท่านเป็นพยาน!! หากข้าผิดต่อหน้าที่ให้สายฟ้าฟาดจนร่างกายข้ามอดม้วย วิญญาณแตกสลาย!!!”

     

       สิ้นเสียงฟ้าดินเสมือนรับรู้ได้ ปราณฟ้าดินรอบบริเวณปั่นป่วนเบาๆอย่างไม่มีใครสัมผัสถึง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างเงียบงัน

    “เรื่องของข้าจบลงเท่านี้ พวกเจ้าจะตกลงพูดคุยอย่างไรต่อ ก็ไม่เกี่ยวกับข้าใดๆอีก แต่อย่าได้เอาเปรียบกันนักละ” เหล่าชาวบ้านเข้าใจความในที่แฝงอยู่ พวกเขาไม่ใช่พวกไม่แยกแยะเขียวแดงดำขาว

     

       พวกเขารู้ว่าอะไรดีกับพวกเขา และ ไม่ดีกับพวกเขา การที่หลินมู่เตือนขึ้นมา ก็เป็นการเตือนสติของเหล่าแกนนำเช่นกัน ก่อนจะเดินลงเขาไปหลินมู่ก็หันมาพูดกับเสี่ยวหลางผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

    “เรื่องหมู่บ้านพวกท่านมีเทพภูเขา ควรเก็บเงียบเพราะยิ่งเรื่องนี้แผ่กระจายออกไป คลื่นก็ยิ่งใหญ่ลมก็ยิ่งแรง แต่แค่กระจายไปหมู่บ้านใกล้ๆก็ไม่เป็นไรหากพวกท่านควบคุม และ รับมือได้” เสี่ยวหลางพยักหน้าบอกว่าตนเขาใจแล้ว

     

       หลินมู่ที่ปลดความกังวลออกจากทรวงอก ก็เดินหน้าตายิ้มแย้มลงจากเขา ศิลาอัปมงคลก้อนนั้นที่มีผลคล้ายๆ เส้นเลือดปฐพีที่อยู่ก้นเหวในหุบเขาสำเร็จมาร 

    หลินมู่จึงเก็บเข้ากระเป๋าตนเองไปเป็นที่เรียบร้อย หัวหน้าเสี่ยวหลางที่มองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่งสะพายกระบี่สวมเกี่ยะ 

     

       เดินลงเขาจนหายไปจากสายตา ก็ได้แต่ถอนหายใจ และ พึมพำกับตนเอง “เห้อ…คนเราไม่อาจตัดสินกันได้จากหน้าตาจริงๆ” หัวหน้าหมู่บ้านที่มีจอนผมเป็นสีขาวยกยิ้ม คราแรกที่อีกฝ่ายมาถึงหมู่บ้าน

    สภาพไม่ต่างอะไรจากขอทาน แต่ดันเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ที่ผ่านทางมามอบโชควาสนาใหญ่ให้แก่หมู่บ้าน ขาดอีกก้าวสองก้าว ก็กลายเป็นกุมารทองแจกทรัพย์แล้ว

     

       หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลาง ส่ายหน้าก่อนจะไปพูดคุยกับเหล่าแกนนำ ที่ปรึกษาอยู่กับครอบครัวสกุลอู เรื่องวุ่นวายนี้ถือว่าจบลงไปได้ด้วยดี

    หลินมู่ได้ศิลาลับจิตกระบี่แบบพกพา เหล่าชาวบ้านได้โชควาสนาเทียมฟ้า เรื่องนี้ก็ถือว่าปิดไปได้เรียบร้อยโดยไม่ทิ้งต้นตอร้ายใดๆไว้อีก แม้จะมีอยู่บ้างแต่เรื่องนั้นก็ควรให้พวกเขาจัดการกันเอง เขาไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่จะยื่นมือช่วยเหลือซะทุกเรื่อง หากยื่นมือช่วยซะทุกเรื่อง คนเหล่านั้นก็ไม่เคยอันทำอะไรพอดี

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×