ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ชีวิตหลังจากนี้

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 65


       เหล่าเด็กนักเรียนมัธยมปลาย มองผู้คนจำนวนมากแต่งตัวด้วยชุดคลุมโบราณ

    ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพยนตร์จอมยุทธ์สักเรื่อง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาข้ามโลกมาจริงๆ

     

       โดยกลุ่มที่เด่นที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น ของจากตระกูลต้าเจียงของชายชราไท่เซี่ย 

    เหล่าลูกหลานและคนระดับสูง ต่างแต่งตัวด้วยชุดคลุมขาวบริสุทธิ์ 

     

       ส่วนมากจะสวมกวานดอกบัวไว้บนหัว ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาไม่ต่างจากเทพเซียนเลยแม้แต่น้อย

    ชายชราไท่เซี่ยที่ยืนอยู่หน้าสุดก็กระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังสะท้าน

     

       “พวกเจ้าฟังให้ดี!! ตอนนี้พวกเจ้าจะถูกคัดเลือกโดยห้าตระกูล!! ขึ้นอยู่กับโชควาสนา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพึงพอใจ!”

    พูดจบชายชราก็โบกสะบัดแส้หางม้าในมือตน ทำให้โคมไฟจำนวนมากส่องแสงสว่างขึ้นมาทันที

     

       เปลี่ยนบริเวณตีนเขาที่เคยมืดครึ้ม สว่างไสวไปด้วยแสงไฟละลานตา 

    เพียงเสี้ยวพริบตาทั้งคนมากหน้าหลายตาจากห้าตระกูล ก็พากันเดินมาเชื้อเชิญเหล่านักเรียนมัธยม

     

       เมื่อหนทางแห่งความยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ไฉนแล้วพวกเขาจะไม่ตอบตกลง

    เพียงมีคนเดินมาเชื้อเชิญพวกเชพวกเขาบางส่วนก็ตอบรับทันที โดยไม่ไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น

     

       ส่วนหนึ่งก็ช่างใจก่อนจะตอบปัดไปก่อน และยังมีอีกมากที่ไม่อาจยอมรับว่าปัจจุบันตนอยู่ต่างภพต่างแดน

    ร้องแต่จะแจ้งตำรวจหากไม่ปล่อยพวกตนไป สุดท้ายคนเหล่านั้นต้องแสดงวรยุทธ์ออกมา

     

       ทำให้พวกนั้นปิดปากและรีบตอบรับคำเชิญอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าตนจะกลายเป็นซอสเนื้อบด

    บางทีก็มีลูกหลานจากสองตระกูลเพ็งเล็งคนเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็ประลองกันส่วนหนึ่งก็ให้คนที่ถูกเชิญเลือกว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลใด

     

       “มู่มู่ นายคิดว่าไง?” จางหงหยู กระซิบข้างหูชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่

    หลินมู่ที่ยืนอยู่กับที่มานานไม่ยักกะมีคนมาเชิญคนเสียที ก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าปกติ

     

       “ฉันว่าเราควรเลือกตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีคนรู้จักเยอะๆเวลามีคนมารังแกจะได้ช่วยๆกัน”

    ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดตลก พร้อมกับยกมุมปากขึ้นน้อยๆ

     

       จางหงหยูพยักหน้างึกงักคล้ายรับฟังไว้แล้ว ไม่นานนักก็มีคนจากห้าตระกูลเดินเข้ามาเชิญจางหงหยู

    และเพื่อนคนอื่นๆภายในห้องของหลินมู่ แต่ที่น่าตกตะลึงก็คือมีคนมาเชิญจางหงหยู ห้าคนห้าตระกูล 

     

       สร้างความฉงนให้หลินมู่เป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่หลินมู่ขนาดห้าคนที่เข้าตาห้าผู้แกร่งกล้าก็เบิกตากว้าง

    พวกเขาห้าคนก็เช่นหลินมู่ ยืนอยู่ตั้งนานก็ไม่มีใครเข้ามาเชื้อเชิญ พอเห็นจางหงหยูถูกเชิญจากห้าตระกูลพร้อมกันถึงกับเบิกตากว้างจนเกือบหลุดออกมากลิ้งที่พื้น

     

       จางหงหยูนางไม่สามารถตอบสนองกับสถานการณ์กระทันหันได้ จึงจะหันหน้าจะไปถามหลินมู่

    แต่ชายหนุ่มไม่รู้ตอนไหนที่ไปยืนรวมกลุ่มกับอีกห้าคนนั้นแล้ว เขาทำเป็นไม่เห็นสายตาอ้อนวอนจากหัวหน้าห้องสาว

     

       ทำเพียงกวาดสายตามองไปทางอื่น จางหงหยูที่เห็นเช่นนั้นก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้ “ฝากไว้ก่อนเถอะมู่มู่!”

    เธอพึมพำกับตนเองก่อนจะหันไปรับมือเหล่าชายหญิง จากทั้งห้าตระกูล

     

       “สวัสดีฉันชื่อ ตงเสี่ยวซาน ส่วนนี้ โจวเป่ยซาน” เพียงหลินมู่เดินเข้ามา ชายหนุ่มในชุดกีฬาก็แนะนำตนเองกับเพื่อนที่เหมือนเรียนคาราเต้มา

    พวกเขาทั้งคู่ฝึกฝนกีฬากรีฑามาอย่างนัก จนได้เข้าแข่งขันระดับภูมิภาค ทั้งคู่ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ คนแรกผมสีน้ำตาลสั้น คนที่สองผมีดำยาวเล็กน้อย ทั้งคู่มีใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

     

       เรียกได้ว่าเป็นคู่ดาวรุ่งที่สร้างชื่อให้โรงเรียนไม่น้อย “ฉัน หลินมู่” หลินมู่ตอบกลับก่อนจะกวาดสายตาไปอีกสามคนที่เหลือ

    “ฉัน ไป๋เทีย” เป็นชายหนุ่มมาดบัญฑิตพูดขึ้นมากคนแรก เขามีบุคลิกที่นิ่งสงบบวกกับความหล่อเหลานั้นแล้วคงยากจะไม่มีใครไม่รูู้้จัก

     

       "ก็ว่าแล้วใคร ว่าที่ประธานนักเรียนนี้เอง” หลินมู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก่อนจะมองต่อไป

    เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ เธอมีทรวงทรงที่ร้อนแรงภายใต้ชุดนักเรียนมัธยมปลาย

     

        เรือนผมยาวสลวยสีดำคล้ายน้ำหมึก ดวงตาสีดำเสมือนท้องฟ้ายามราตรี ขายาวน่าดึงดูด

    ใบหน้างดงามอย่างเป็นธรรมชาติ “หลินหลง…” เธอพูดเพียงแค่สองคำก่อนจะหันหน้าหนี 

     

       ทำเอาหลินมู่คิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ 'อ่านี้คงในข่าวลือ คุณหนูหัวแก้วหัวแหวนจากบริษัทตระกูลหลิน…."

    ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ยังไม่ทันให้หลินมู่ขยับสายตาไปหา

     

       ชายหนุ่มคนสุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ผะ…ผม..ชื่อ ซูตง ครับ…” หลินมู่เหลือตาไปมอง

    ยังชายหนุ่มที่เหมือนจะธรรมดาที่สุดในนี้ี บุคลิกจืดจางไม่มั่นใจในตัวเองแถมผลการเรียนก็อยู่ล่างๆของสายชั้น

     

       “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซูตง” หลินมู่พูดขึ้นอย่างเป็นมิตร พร้อมกับเอื้อมมือออกไปหวังจะจับมือทักทาย

    “ยะ…ยะ..ยินดีเช่นกันครับ!!” ซูตงจับมือกับหลินมู่ก่อนจะสะบัดขึ้นลง ราวกับกำลังใช้ค้อนตีตัวตุ่น

     

       “พวกคุณก็ด้วย ฉันหลินมู่” หลินมู่พูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปทางอีกสี่คน ตงเสี่ยวซาน และ โจวเป่นซาน

    จับมือกับหลินมู่ด้วยรอยยิ้ม ไป๋เทียเองก็เช่นกันเขาจับมือกับชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

     

       มีเพียงหลินหลงเท่านั้นที่เมินเฉยชายหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งหลินมู่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร

    ตงเสี่ยวซาน โจวเป่ยซาน และ ไป๋เทีย ต่างพากันเดินไปสำรวจสถานการณ์

     

       ทิ้งไว้เพียง หลินมู่ หลินหลง และ ซูตง ไว้ตรงนั้น แต่ไม่นานนักซูตงก็เดินออกไปเช่นกัน

    เขาบอกว่าจะลองไปขอน้ำดื่มจากคนพวกนั้นดู กลายเป็นว่าตรงนี้เหลือเพียงหลินมู่และหลินหลง

     

       “อย่าคิดว่านายมาจากสายนั้นแล้ว จะทำมาเป็นตีสนิทได้นะ” เป็นหลินหลงที่เปิดปากพูดขึ้นก่อน

    “ก็ไม่ได้คิดจะตีสนิทด้วยอยู่แล้ว แค่บริษัทไม่กี่ร้อยล้านหยวน ทางฉันไม่ได้สนอยู่แล้ว และแรกเริ่มเดิมทีฉันถูกตัดออกจากกองมรดกส่วนกลางไปนานแล้ว เหลือที่ยืนแค่ตัวสำรองที่ไม่สำคัญ”

     

       หลินมู่ตอบกลับเสียงตาย ไม่แยแสสักนิดเลยว่าหลินหลงรู้สึกยังไง “นาย!!”

    หลินหลงถลึงตามองแผ่นหลังหลินมู่ตาแดงก่ำ หากสายตาฆ่าคนได้ป่านนี้หลินมู่คงตายไปแล้วหลายครั้ง

     

       หากเป็นคนปกติคงรู้สึกเสียดายกองมรดกอันมหาศาล และหาทางให้ตนเองกลับไปมีชื่อให้ได้แน่นอน

    แต่ชายหนุ่มตรงหน้าแปลกเกินไป เขาขึ้นชื่อเรื่องความไม่ยี่หระต่อการงาน

     

        จนพวกผู้หลักผู้ใหญ่เห็นว่าเขามีคุณสมบัติไม่พอ จึงตัดออกจากกองมรดกกลาง

    แต่อย่างว่าเขาไม่ได้สนแม้แต่น้อย จะตัดก็ตัดไปสิไม่มีเขาก็ไม่ตาย ขนาดเป็นกองมรดกกลางที่ตระกูลสายรองอย่างพวกเธอมองน้ำลายไหล

     

       ไม่มีโอกาสแม้จะแทรกชื่อเข้าไป แต่อี่ตาขอนไม้ตรงหน้าขนาดเป็นสายหลัก กลับทำมันเป็นเพียงของไม่สำคัญ

    หลินหลงถอนหายใจยาวเริ่มปรับอารมณ์ของเธอให้กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง “นายจะทำไงต่อ?…”

     

       หลินมู่ที่มองสำรวจสถานการณ์อยู่ก็ตอบกลับโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย “เรื่องอะไร?”

    หลินหลงที่รับรู้แล้วว่าความเฉยเมยของอีกฝ่าย ไม่ได้ต่างอะไรจากข่าวลือก็ตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งสงบ

     

       “เรื่องหลังจากนี้ นายจะทำไงต่อตอนนี้เราอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้ไหม ไม่แน่อาจจะไม่มีเลยก็ได้”

    หลินหลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ พลางสังเกตปฎิกริยาของหลินมู่ไปด้วย

     

       “ก็คงพึ่งคนพวกนั้น และค่อยๆหาข้อมูลค้นหาวิธีกลับไปฝั่งนั้น” หลินหลงแปลกใจทำไมตานี่ถึงอยากกลับไปละ

    และเหมือนหลินมู่จะรู้ถึงความสงสัยภายในใจของหลินหลง เขาจึงเปิดปากตอบกลับโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเปิดปากถาม

     

       “เพราะมีคนรอฉันกลับไปอยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว” หลินมู่หันมายิ้มให้หลินหลง แต่เธอกลับเสียวสันหลังวาบขนลุกชูชัน

    เธอมองดวงตาที่ราวกับบ่อน้ำโบราณที่ดำมืดนั้นด้วนสีหน้าซีดเผือด มันเรียบนิ่งราวกับผิวน้ำที่หยุดนิ่ง

     

       เป็นสายตาของคนที่ไม่แยแสสิ่งใดนอกจากตนเองและสิ่งสำคัญ หลินมู่ไม่จ้องมองเธอนานนักเขาก็หันกลับไปมองรอบตัวเหมือนเดิม

    ปล่อยโอกาสให้หลินหลงหายใจได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันเธอก็ขบคิดกับตนเอง ‘ไม่เสียชื่อตัวปัญหา และ คนที่รับมือยากที่สุด…’

     

       ทางฝั่งหลินมู่เองก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าอันดำมืด ที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวละลานตา

    คิดถึงภาพของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ที่เรียกตนว่าพี่ชายอย่างสนิทสนม 

     

       “เสี่ยวหยิน พี่จะกลับไปให้ได้ เดี๋ยวจะซื้อลูกพีชหวานๆไปฝาก” อีกฝากหนึ่งของโลก

    ที่โรงพยาบาล ภายในห้องส่วนตัว เด็กสาวสิบขวบหน้าตาคล้ายหลินมู่หลายส่วน นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลสีขาวบริสุทธิ์ 

     

       ด้านข้างเต็มไปด้วยหนังสือสีและนิทานมากมาย บนลิ้นชักข้างหัวเตียงมีรูปของชายหนุ่มที่ถ่ายคู่กับเธอตั้งไว้

    “คุณหนูหยินฮัวค่ะ ได้เวลาตรวจสุขภาพแล้วคะ” พยาบาลสาวใบหน้าอ่อนโยนเดินเข้ามาภายในห้อง

     

       “อื้ม! วันพี่ชายจะมาไหมคะ?” เด็กสาวถามพยาบาลสาวด้วยความสงสัย ในระหว่างตรวจสุขภาพ

    “วันนี้คุณชายไม่มีเวลาค่ะ แต่อีกไม่นานจะมาหาคุณหนูแน่ๆค่ะ” เด็กสาวแสดงสีหน้าเสียใจก่อนจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง

     

       “ไม่เป็นไรหนูจะพยายาม หนูจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง!! และจะไปหาพี่ชายด้วยตัวเอง!!” พยาบาลสาวอมยิ้ม

    แต่ภายในใจลึกๆเธอหนักใจอย่างมาก สามชั่วโมงแล้วที่ข่าวของการหายไปของนักเรียนร่วมสามร้อยชีวิต

     

       และในสามร้อยชีวิตนั้นคือคุณชายหลินมู่ ทางโรงพยาบาลสั่งให้เธอห้ามปริปาก เพื่อไม่ให้อาการของคุณหนูแย่ลง

    แม้แต่พ่อแม่ของหลินมู่ยังรีบตีเครื่องกลับมาแผ่นดินใหญ่อย่างรวดเร็ว กลัวว่าอาการของหยินฮัวจะแย่ลงเพราะรับรู้ข่าวร้าย

     

       หนึ่งหวังให้อีกหนึ่งมาหาอย่างไม่ท้อแท้ หนึ่งอยากไปพบใจจะขาดแต่ไม่สามารถไม่ไป 

    ภายใต้ผืนผ้าอันมืดมิดแห่งรัตติกาล ร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้แสงดาวแหงนหน้ามองท้องฟ้า

     

       ราวกับท้าทายสรวงสวรรค์ เขาจะกลับไปให้ได้ยังมีคนรอเขาอยู่ เขาจะไม่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี้หรอก!

    ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ เทพเจ้า ปีศาจ ดวงดาว หรือ กฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางเขาจะกลับไปให้ได้!!

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×