คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ชีวิตหลังจากนี้
เหล่าเด็กนักเรียนมัธยมปลาย มองผู้คนจำนวนมากแต่งตัวด้วยชุดคลุมโบราณ
ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพยนตร์จอมยุทธ์สักเรื่อง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาข้ามโลกมาจริงๆ
โดยกลุ่มที่เด่นที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น ของจากตระกูลต้าเจียงของชายชราไท่เซี่ย
เหล่าลูกหลานและคนระดับสูง ต่างแต่งตัวด้วยชุดคลุมขาวบริสุทธิ์
ส่วนมากจะสวมกวานดอกบัวไว้บนหัว ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาไม่ต่างจากเทพเซียนเลยแม้แต่น้อย
ชายชราไท่เซี่ยที่ยืนอยู่หน้าสุดก็กระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังสะท้าน
“พวกเจ้าฟังให้ดี!! ตอนนี้พวกเจ้าจะถูกคัดเลือกโดยห้าตระกูล!! ขึ้นอยู่กับโชควาสนา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพึงพอใจ!”
พูดจบชายชราก็โบกสะบัดแส้หางม้าในมือตน ทำให้โคมไฟจำนวนมากส่องแสงสว่างขึ้นมาทันที
เปลี่ยนบริเวณตีนเขาที่เคยมืดครึ้ม สว่างไสวไปด้วยแสงไฟละลานตา
เพียงเสี้ยวพริบตาทั้งคนมากหน้าหลายตาจากห้าตระกูล ก็พากันเดินมาเชื้อเชิญเหล่านักเรียนมัธยม
เมื่อหนทางแห่งความยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ไฉนแล้วพวกเขาจะไม่ตอบตกลง
เพียงมีคนเดินมาเชื้อเชิญพวกเชพวกเขาบางส่วนก็ตอบรับทันที โดยไม่ไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น
ส่วนหนึ่งก็ช่างใจก่อนจะตอบปัดไปก่อน และยังมีอีกมากที่ไม่อาจยอมรับว่าปัจจุบันตนอยู่ต่างภพต่างแดน
ร้องแต่จะแจ้งตำรวจหากไม่ปล่อยพวกตนไป สุดท้ายคนเหล่านั้นต้องแสดงวรยุทธ์ออกมา
ทำให้พวกนั้นปิดปากและรีบตอบรับคำเชิญอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าตนจะกลายเป็นซอสเนื้อบด
บางทีก็มีลูกหลานจากสองตระกูลเพ็งเล็งคนเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็ประลองกันส่วนหนึ่งก็ให้คนที่ถูกเชิญเลือกว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลใด
“มู่มู่ นายคิดว่าไง?” จางหงหยู กระซิบข้างหูชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
หลินมู่ที่ยืนอยู่กับที่มานานไม่ยักกะมีคนมาเชิญคนเสียที ก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าปกติ
“ฉันว่าเราควรเลือกตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีคนรู้จักเยอะๆเวลามีคนมารังแกจะได้ช่วยๆกัน”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดตลก พร้อมกับยกมุมปากขึ้นน้อยๆ
จางหงหยูพยักหน้างึกงักคล้ายรับฟังไว้แล้ว ไม่นานนักก็มีคนจากห้าตระกูลเดินเข้ามาเชิญจางหงหยู
และเพื่อนคนอื่นๆภายในห้องของหลินมู่ แต่ที่น่าตกตะลึงก็คือมีคนมาเชิญจางหงหยู ห้าคนห้าตระกูล
สร้างความฉงนให้หลินมู่เป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่หลินมู่ขนาดห้าคนที่เข้าตาห้าผู้แกร่งกล้าก็เบิกตากว้าง
พวกเขาห้าคนก็เช่นหลินมู่ ยืนอยู่ตั้งนานก็ไม่มีใครเข้ามาเชื้อเชิญ พอเห็นจางหงหยูถูกเชิญจากห้าตระกูลพร้อมกันถึงกับเบิกตากว้างจนเกือบหลุดออกมากลิ้งที่พื้น
จางหงหยูนางไม่สามารถตอบสนองกับสถานการณ์กระทันหันได้ จึงจะหันหน้าจะไปถามหลินมู่
แต่ชายหนุ่มไม่รู้ตอนไหนที่ไปยืนรวมกลุ่มกับอีกห้าคนนั้นแล้ว เขาทำเป็นไม่เห็นสายตาอ้อนวอนจากหัวหน้าห้องสาว
ทำเพียงกวาดสายตามองไปทางอื่น จางหงหยูที่เห็นเช่นนั้นก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้ “ฝากไว้ก่อนเถอะมู่มู่!”
เธอพึมพำกับตนเองก่อนจะหันไปรับมือเหล่าชายหญิง จากทั้งห้าตระกูล
“สวัสดีฉันชื่อ ตงเสี่ยวซาน ส่วนนี้ โจวเป่ยซาน” เพียงหลินมู่เดินเข้ามา ชายหนุ่มในชุดกีฬาก็แนะนำตนเองกับเพื่อนที่เหมือนเรียนคาราเต้มา
พวกเขาทั้งคู่ฝึกฝนกีฬากรีฑามาอย่างนัก จนได้เข้าแข่งขันระดับภูมิภาค ทั้งคู่ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ คนแรกผมสีน้ำตาลสั้น คนที่สองผมีดำยาวเล็กน้อย ทั้งคู่มีใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
เรียกได้ว่าเป็นคู่ดาวรุ่งที่สร้างชื่อให้โรงเรียนไม่น้อย “ฉัน หลินมู่” หลินมู่ตอบกลับก่อนจะกวาดสายตาไปอีกสามคนที่เหลือ
“ฉัน ไป๋เทีย” เป็นชายหนุ่มมาดบัญฑิตพูดขึ้นมากคนแรก เขามีบุคลิกที่นิ่งสงบบวกกับความหล่อเหลานั้นแล้วคงยากจะไม่มีใครไม่รูู้้จัก
"ก็ว่าแล้วใคร ว่าที่ประธานนักเรียนนี้เอง” หลินมู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก่อนจะมองต่อไป
เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ เธอมีทรวงทรงที่ร้อนแรงภายใต้ชุดนักเรียนมัธยมปลาย
เรือนผมยาวสลวยสีดำคล้ายน้ำหมึก ดวงตาสีดำเสมือนท้องฟ้ายามราตรี ขายาวน่าดึงดูด
ใบหน้างดงามอย่างเป็นธรรมชาติ “หลินหลง…” เธอพูดเพียงแค่สองคำก่อนจะหันหน้าหนี
ทำเอาหลินมู่คิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ 'อ่านี้คงในข่าวลือ คุณหนูหัวแก้วหัวแหวนจากบริษัทตระกูลหลิน…."
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ยังไม่ทันให้หลินมู่ขยับสายตาไปหา
ชายหนุ่มคนสุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ผะ…ผม..ชื่อ ซูตง ครับ…” หลินมู่เหลือตาไปมอง
ยังชายหนุ่มที่เหมือนจะธรรมดาที่สุดในนี้ี บุคลิกจืดจางไม่มั่นใจในตัวเองแถมผลการเรียนก็อยู่ล่างๆของสายชั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซูตง” หลินมู่พูดขึ้นอย่างเป็นมิตร พร้อมกับเอื้อมมือออกไปหวังจะจับมือทักทาย
“ยะ…ยะ..ยินดีเช่นกันครับ!!” ซูตงจับมือกับหลินมู่ก่อนจะสะบัดขึ้นลง ราวกับกำลังใช้ค้อนตีตัวตุ่น
“พวกคุณก็ด้วย ฉันหลินมู่” หลินมู่พูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปทางอีกสี่คน ตงเสี่ยวซาน และ โจวเป่นซาน
จับมือกับหลินมู่ด้วยรอยยิ้ม ไป๋เทียเองก็เช่นกันเขาจับมือกับชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มีเพียงหลินหลงเท่านั้นที่เมินเฉยชายหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งหลินมู่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร
ตงเสี่ยวซาน โจวเป่ยซาน และ ไป๋เทีย ต่างพากันเดินไปสำรวจสถานการณ์
ทิ้งไว้เพียง หลินมู่ หลินหลง และ ซูตง ไว้ตรงนั้น แต่ไม่นานนักซูตงก็เดินออกไปเช่นกัน
เขาบอกว่าจะลองไปขอน้ำดื่มจากคนพวกนั้นดู กลายเป็นว่าตรงนี้เหลือเพียงหลินมู่และหลินหลง
“อย่าคิดว่านายมาจากสายนั้นแล้ว จะทำมาเป็นตีสนิทได้นะ” เป็นหลินหลงที่เปิดปากพูดขึ้นก่อน
“ก็ไม่ได้คิดจะตีสนิทด้วยอยู่แล้ว แค่บริษัทไม่กี่ร้อยล้านหยวน ทางฉันไม่ได้สนอยู่แล้ว และแรกเริ่มเดิมทีฉันถูกตัดออกจากกองมรดกส่วนกลางไปนานแล้ว เหลือที่ยืนแค่ตัวสำรองที่ไม่สำคัญ”
หลินมู่ตอบกลับเสียงตาย ไม่แยแสสักนิดเลยว่าหลินหลงรู้สึกยังไง “นาย!!”
หลินหลงถลึงตามองแผ่นหลังหลินมู่ตาแดงก่ำ หากสายตาฆ่าคนได้ป่านนี้หลินมู่คงตายไปแล้วหลายครั้ง
หากเป็นคนปกติคงรู้สึกเสียดายกองมรดกอันมหาศาล และหาทางให้ตนเองกลับไปมีชื่อให้ได้แน่นอน
แต่ชายหนุ่มตรงหน้าแปลกเกินไป เขาขึ้นชื่อเรื่องความไม่ยี่หระต่อการงาน
จนพวกผู้หลักผู้ใหญ่เห็นว่าเขามีคุณสมบัติไม่พอ จึงตัดออกจากกองมรดกกลาง
แต่อย่างว่าเขาไม่ได้สนแม้แต่น้อย จะตัดก็ตัดไปสิไม่มีเขาก็ไม่ตาย ขนาดเป็นกองมรดกกลางที่ตระกูลสายรองอย่างพวกเธอมองน้ำลายไหล
ไม่มีโอกาสแม้จะแทรกชื่อเข้าไป แต่อี่ตาขอนไม้ตรงหน้าขนาดเป็นสายหลัก กลับทำมันเป็นเพียงของไม่สำคัญ
หลินหลงถอนหายใจยาวเริ่มปรับอารมณ์ของเธอให้กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง “นายจะทำไงต่อ?…”
หลินมู่ที่มองสำรวจสถานการณ์อยู่ก็ตอบกลับโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย “เรื่องอะไร?”
หลินหลงที่รับรู้แล้วว่าความเฉยเมยของอีกฝ่าย ไม่ได้ต่างอะไรจากข่าวลือก็ตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“เรื่องหลังจากนี้ นายจะทำไงต่อตอนนี้เราอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้ไหม ไม่แน่อาจจะไม่มีเลยก็ได้”
หลินหลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ พลางสังเกตปฎิกริยาของหลินมู่ไปด้วย
“ก็คงพึ่งคนพวกนั้น และค่อยๆหาข้อมูลค้นหาวิธีกลับไปฝั่งนั้น” หลินหลงแปลกใจทำไมตานี่ถึงอยากกลับไปละ
และเหมือนหลินมู่จะรู้ถึงความสงสัยภายในใจของหลินหลง เขาจึงเปิดปากตอบกลับโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเปิดปากถาม
“เพราะมีคนรอฉันกลับไปอยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว” หลินมู่หันมายิ้มให้หลินหลง แต่เธอกลับเสียวสันหลังวาบขนลุกชูชัน
เธอมองดวงตาที่ราวกับบ่อน้ำโบราณที่ดำมืดนั้นด้วนสีหน้าซีดเผือด มันเรียบนิ่งราวกับผิวน้ำที่หยุดนิ่ง
เป็นสายตาของคนที่ไม่แยแสสิ่งใดนอกจากตนเองและสิ่งสำคัญ หลินมู่ไม่จ้องมองเธอนานนักเขาก็หันกลับไปมองรอบตัวเหมือนเดิม
ปล่อยโอกาสให้หลินหลงหายใจได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันเธอก็ขบคิดกับตนเอง ‘ไม่เสียชื่อตัวปัญหา และ คนที่รับมือยากที่สุด…’
ทางฝั่งหลินมู่เองก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าอันดำมืด ที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวละลานตา
คิดถึงภาพของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ที่เรียกตนว่าพี่ชายอย่างสนิทสนม
“เสี่ยวหยิน พี่จะกลับไปให้ได้ เดี๋ยวจะซื้อลูกพีชหวานๆไปฝาก” อีกฝากหนึ่งของโลก
ที่โรงพยาบาล ภายในห้องส่วนตัว เด็กสาวสิบขวบหน้าตาคล้ายหลินมู่หลายส่วน นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลสีขาวบริสุทธิ์
ด้านข้างเต็มไปด้วยหนังสือสีและนิทานมากมาย บนลิ้นชักข้างหัวเตียงมีรูปของชายหนุ่มที่ถ่ายคู่กับเธอตั้งไว้
“คุณหนูหยินฮัวค่ะ ได้เวลาตรวจสุขภาพแล้วคะ” พยาบาลสาวใบหน้าอ่อนโยนเดินเข้ามาภายในห้อง
“อื้ม! วันพี่ชายจะมาไหมคะ?” เด็กสาวถามพยาบาลสาวด้วยความสงสัย ในระหว่างตรวจสุขภาพ
“วันนี้คุณชายไม่มีเวลาค่ะ แต่อีกไม่นานจะมาหาคุณหนูแน่ๆค่ะ” เด็กสาวแสดงสีหน้าเสียใจก่อนจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหนูจะพยายาม หนูจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง!! และจะไปหาพี่ชายด้วยตัวเอง!!” พยาบาลสาวอมยิ้ม
แต่ภายในใจลึกๆเธอหนักใจอย่างมาก สามชั่วโมงแล้วที่ข่าวของการหายไปของนักเรียนร่วมสามร้อยชีวิต
และในสามร้อยชีวิตนั้นคือคุณชายหลินมู่ ทางโรงพยาบาลสั่งให้เธอห้ามปริปาก เพื่อไม่ให้อาการของคุณหนูแย่ลง
แม้แต่พ่อแม่ของหลินมู่ยังรีบตีเครื่องกลับมาแผ่นดินใหญ่อย่างรวดเร็ว กลัวว่าอาการของหยินฮัวจะแย่ลงเพราะรับรู้ข่าวร้าย
หนึ่งหวังให้อีกหนึ่งมาหาอย่างไม่ท้อแท้ หนึ่งอยากไปพบใจจะขาดแต่ไม่สามารถไม่ไป
ภายใต้ผืนผ้าอันมืดมิดแห่งรัตติกาล ร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้แสงดาวแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ราวกับท้าทายสรวงสวรรค์ เขาจะกลับไปให้ได้ยังมีคนรอเขาอยู่ เขาจะไม่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี้หรอก!
ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ เทพเจ้า ปีศาจ ดวงดาว หรือ กฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางเขาจะกลับไปให้ได้!!
ความคิดเห็น