ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #29 : ตอนที่ 29 มีเรื่องต้องคุยกัน

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 65


       สองแม่ลูกที่พึ่งรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ พร้อมตำแหน่งที่มนุษย์ธรรมดารวมไปถึง ผู้ฝึกตนบางส่วนยังถวิลหาเมื่อตายไปแล้ว

    อย่างตำแหน่งเทพ แม้จะเป็นเทพไร้ขื่อไร้แป ไม่มีนิกายหรือตระกูลเซียนใดๆสนับสนุนแต่งตั้งขึ้นมา แต่ก็ถือเป็นเทพองค์หนึ่ง หากมีควันธูปและคนบูชามากพอ

     

       พื้นที่แถบนี้ก็จะได้รับโชควาสนามหาศาล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ผู้คนจากทวีปหลิวซูย่อมไม่รู้อยู่แล้ว

    หลินมู่เองก็เช่นกัน หากไม่ตกลงไปภายในเหว เขาก็อาจจะตาบอดไม่รู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่ตนคิดมากนัก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ที่แห่งนี้ไม่มีข้อมูลเหล่านี้ 

     

       รวมถึงไม่รู้การคงอยู่ของ เซียน เทพ ปีศาจ ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกวรยุทธ์ คือเจ้าเหนือหัว สาเหตุคงมาจากการก่อกบฏของบรรพบุรุษของพวกเขา ต่อมหาทวีปเจี้ยนในอดีต เหล่านิกาย และ เหล่าคนชั้นสูง น่าจะลบเรื่องพวกนี้ทิ้งไปปล่อยให้ลูกหลานของพวกเขาฝึกเพียงวรยุทธ์ 

    ตัดเส้นทางอมตะของคนในที่แห่งนี้อย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งเนรเทศมายังทวีปแห่งนี้ ช่างน่ากังวลจริงๆ หากมีผู้ฝึกตนทสีปเจี้ยนที่บังเอิญผ่านทางมา และ เป็นพวกไม่สนกฎเกณฑ์ทำทุกอย่างตามความต้องการของตัวเอง แม้ผู้ฝึกวรยุทธ์จะสู้กับผู้ฝึกตนได้

     

       แต่นั่นคือกรณีที่ผู้ฝึกตนไม่ใช้ เวทย์คาถา หรือ สมบัติวิเศษ แต่ผู้ฝึกตนจากทวีปเจี้ยนจะยอมฟัง คำพูดของลูกหลานที่ก่อกบฏพวกนี้หรือ? คิดไปก็หนักหัวเอาเวลามาสนใจปัจจุบันดีกว่า

    หลินมู่ที่ปรับสภาพจิตใจอันเหนื่อยล้าของตนเสร็จ เมื่อมุมมองผ่านดวงตาจิตกลับมาอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าอูเชินกำลังคุกเข่าโขกหัวให้เขาอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าทำมานานแค่ไหนแล้ว

     

       แต่ดูจากรอยแผลบนหน้าผากคาดว่าคงทำมานานพอสมควร “พอเถอะ….เจ้าโขกหัวอย่างงี้มานานเท่าไหร่แล้ว” หลินมู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เห็นได้ชัดว่าถูกยันต์ไฟหยางเผาพลังหายไปเลยจำนวนมาก

    อูเชินที่ได้ยินเสียงหลินมู่ก็ยิ้มอย่างปิติยินดี เขาหยุดโขกหัวพร้อมพูดอธิบาย “การที่เซียนจวินเมตตา ยื่นมือเข้าช่วยครอบครัวของผู้น้อยถือเป็นบุญวาสนาใหญ่หลวง ให้โขกหัวอีกร้อยครั้งพันครั้งยังน้อยไปเลยขอรับ!!”

     

       หลินสู่แสดงสีหน้าอ้ำอึ้งไม่อยากจะเชื่อ ‘เกิดไรขึ้น? ทำไมเปลี่ยนหลังมือเป็นหน้ามือแบบนี้???’ ก็จริงแหล่ะที่เขาช่วยชีวิตภรรยาและลูกสาวของอีกฝ่ายไว้

    แต่ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย อูเชินที่ใบหน้าเปื้อนเลือดบวกกับผิวกายดำอมม่วง เสมือนสัตว์ประหลาดที่คลานออกมาจากหลุมอเวจีก็มิปาน

     

       ภายในใจของอูเชินขบคิดอย่างเศร้าใจ ‘ข้าต่อยเซียนจวินไปตั้งหลายครั้ง ท่านคงไม่โกรธเคืองหรอกนะ…’ เหตุผลที่เขาคิดได้เช่นนี้เพราะ เพราะเขาโขกหัวมาครึ่งชั่วยามแล้ว

    อีกฝ่ายพึ่งมีปฎิกริยาตอบสนองกลับมา ‘หรือเซียนจวินจะโกรธเคืองช้าจริงๆ?’ ความคิดในหัวผสมปนเป นู้นเป็นนั้นนั้นเป็นนี้ออกมาไม่หยุด ยิ่งเป็นหลินมู่ที่อูเชินไม่อาจสังเกตอารมณ์ผ่านดวงตาได้ เขาก็ยิ่งคิดหนักไปหลายยอด

     

       “อูเชิน…” ในระหว่างตกอยู่ในความกังวลเขาก็ได้ยินว่าหลินมู่เรียกชื่อตน “เซียนจวินมีอะไรให้ข้ารับใช้?” หลินมู่ที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเซียนจวินอีกครั้ง ก็ได้แต่ถอนหายใจ

    จะไปบอกให้อีกฝ่ายเรียกอย่างอื่นก็สายเกินไปแล้ว เรื่องนี้ก็คงโทษได้แค่ผีร้ายตัวนั้นที่เรียกตนว่าเซียนจวินเป็นคนแรก

     

       “อูเชิน ข้าจะให้เจ้าลงเขาไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้าน อย่าลืมพาจางหยูลงไปด้วย ให้หัวหน้าหมู่บ้านเรียกคนบางส่วนขึ้นมาด้วยข้ามีเรื่องจะคุยกับพวกเขา ระหว่างนี้ข้ามีเรื่องจะคุยกับภรรยาและบุตรสาวเจ้า….”

    อูเชินที่ได้ยินคำสั่งก็ตอบรับอย่างฉับไว วิ่งหายไปจากสายตาภายในไม่กี่อึดใจ โดยหลินมู่ยังไม่บอกเลยว่าให้เรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาคุยเรื่องอะไร ทำเอาหลินมู่และสองแม่ลูกยืนอ้ำอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลัน

     

       ผู้เป็นภรรยาได้แต่ร้องโหย สามีเหตุใดท่านจึงทิ้งข้ากับลูกไว้บนนี้ ไม่กลัวเขาเอาเปรียบข้ากับลูกสาวของท่านเลยหรือ?

    ในขณะที่ภรรยาของอูเชินที่พึ่งได้รีบสถานะเทพมาไม่ถึงวัน กังวลว่าหลินมู่อาจเอาเปรียบนางและลูกสาว ตัวของหลินมู่ก็ลุกขึ้นยืนเดินไปทางบ่อโลหิตด้วยสีหน้าคิดไม่ตก

     

       “พวกเจ้าชื่ออะไร?” หลินมู่ถามสองแม่ลูกพลางสังเกตบ่อโลหิต ที่ไร้คนค้ำจุนไปแล้วในหัวคิดวิธีแก้ไขบ่อโลหิตบ่อนี้

    หญิงสาวที่ได้ยินก็สะดุ้งโหยง หลุดออกมาจากความคิดของเธอ “เรียนท่านพี่เซียนจวิน ข้ามีนามว่าอูฮวาเหมย ส่วนท่านแม่ข้าชื่อว่า หงหลี่” เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ที่พูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

     

       นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรแต่ได้ยินพ่อของนางเรียกเขาว่า เซียนจวิน นางจึงเรียกตามอย่างไร้เดียงสา ผู้เป็นแม่ที่มองผู้เป็นลูกสาวราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ‘เหตุใดนางจึงกระตือรือร้นนัก?’ และ ใช่ว่านางจะหน้าตาขี้เหล่ นางเป็นเด็กสาวที่น่ารักคนหนึ่ง หากโตไปคงงดงามน่าดู

    หลินมู่ได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะเริ่มอธิบายต้นสายปลายเหตุ ให้กับสองแม่ลูกฟังพร้อมกับสถานะของพวกนางในตอนนี้

     

        ด้านทางลงเขา เด็กน้อยจางหยูที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าไปไหนเพราะหวาดกลัว เขายืนกอดดาบไม้ไผ่พร้อมร้องสะอื้นขี้มูกยืน “ท่านลุงหลิน เหตุใดยังไม่กลับมาล่ะ..” เขาพูดด้วยเสียงสะอื้น

    และไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่สรรพนามเรียกหลินมู่ จาก น้าหลิน เป็น ลุงหลิน ซะแล้ว

     

       จางหยูจะหันมองไปยังทางขึ้นเขาทุกสามถึงสิบอึดใจ หวังให้ตนเห็นร่างเงาที่คุ้นเคยเดินลงมาพร้อมชัยชนะ

    แต่อีกฝ่ายไม่ปรากฏตัวออกมาสักที นานเข้าเขาก็คิดว่าหลินมู่โดนอูเชินจัดการไปแล้ว ยิ่งคิดเขายิ่งหวาดกลัว หรือนี้จะเป็นจุดจบของตนกันนะ ตนยังไม่ได้ออกท่องยุทธจักรเลยนะ…

     

       เด็กน้อยจางหยูที่มีความกังวลอยู่เต็มอก จู่ๆหูของเขาก็กระดิกพยายามฟังเสียงให้ชัดเจน เขาได้ยินเสียงเหมือนมีคนวิ่งลงมาจากเขา สีหน้าเศร้าหมองของเด็กน้อยกลายเป็นยิ้มแย้มในบัดดล

    “ท่านลุงหลินท่าน…..ลง…มา…………” จางหยูที่หันไปมองก็เห็นกับอูเชินที่ใบหน้าเปื้อนเลือด วิ่งลงมาด้วยความเร็วสูง เด็กน้อยที่เห็นก็สติหลุดสลบเหมือดไปในทันที “เจ้าหนูเจ้าเป็นอะไร??”

     

       อูเชินที่วิ่งมาถึงก็เขย่าจางหยูไปมาหวังปลุกให้อีกฝ่ายตื่น แต่ไร้ผลด้วยความที่ไม่อยากปล่อยให้เซียนจวิน ที่ตนเคารพต้องรอนานเขาก็แบกจางหยูขึ้นบ่าวิ่งลงเขาไป

    ด้วยที่อูเชินถูกยันต์ไฟหยางปราบปรามมานาน จึงทำให้พละกำลัง และ ความสามารถ บางส่วนถูกลดทอนลงมาเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ได้ภรรยาตนดึงแผ่นยันต์ออกให้ ป่านนี้อูเชินอาจจะไม่เหลือปราณหยินในร่างกายแม้แต่หยดเดียว และ ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้วิ่งสับตีนแตกอย่างงี้

     

       ที่ประตูหลังหมู่บ้าน ยังคงมีคนรวมตัวอยู่หนาแน่น นี้ก็เลยเที่ยงวันมาแล้ว เหตุใดไม่มีข่าวคราวใดหรือใครลงมาจากเขาเลยล่ะ?

    ในขณะที่ความสงสัยและความกังวล ถูกผลักดันจนเกือบอยู่บนจุดสูงสุด ก็มีชาวบ้านตาดีคนหนึ่งสังเกตเห็นควันโขมงที่เกิดจากการวิ่ง ของใครบางคนลงมาจากเขา “นั้นมีคนกำลังลงมาแล้ว!!”

     

       เพียงเสี้ยวอึดใจที่เขาตะโกนขึ้นมา ก็ดึงความสนใจของเหล่าชาวบ้านได้ในทันที

    หัวหน้าหมู่บ้านที่มีจอนผมขาว ก็เดินมาถึงอย่างรวดเร็วหรี่ตาไปมองยังตีนเขา พยายามมองให้ชัดว่าใครกันที่วิ่งลงมาจากเขา ด้านข้างมีจางโหยวบิดาของจางหยู ที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคาดหวัง

     

       เมื่อคนนั้นเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด ทุกคนก็แตกตื่นในทันที “นั้น อูเชิน!!!?” สิ้นเสียงทุกคนในหมู่บ้านก็ตึงเครียดขึ้นมาหลายส่วน แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังเกร็งกล้ามเนื้อเตรียมต่อสู้ทุกเมื่อ เขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแบกอะไรอยู่ด้วย

    ภายในหัวได้แต่ถอดถอนใจว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่งนั้น อาจจะโดนหมัดของอูเชินทุบจนขาดใจตายไปแล้ว

     

       เป็นเวลาเดียวกันที่อูเชินวิ่งมาถึง จางโหยวก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแบกอะไรอยู่ “จางหยู!!” เข้าวิ่งเข้าหาอูเชินโดยสลัดความหวาดกลัวทิ้งไป เขาคิดแต่จะแลกชีวิตกับอีกฝ่ายเพื่อช่วยบุตรชายของตน

    “เจ้าเป็นบิดาของเขาสินะ? เอ้ารับ!!” แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้น่าตกตะลึงมากกว่า จู่ๆอีกฝ่ายก็โยนตัวประกันคืนเฉยเลย? หรือหัวของอูเชินกระทบกระเทือน? ก็เป็นไปได้ดูใบหน้าเปื้อนเลือดนั้นสิ

     

       แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังอ้าปากเหวอ มันเกิดอะไรขึ้นกับอูเชิน?? ในขณะที่บรรยากาศแปลกๆเริ่มเข้าครอบงำทุกคนภายในหมู่บ้าน อูเชินก็พูดขึ้นมา “เสี่ยวหลาง เซียนจวินมีเรื่องจะคุยกับเจ้า ท่านบอกให้เจ้าพาคนขึ้นไปด้วย เรื่องจำนวนท่านไม่ได้บอกไว้ เรื่องจำนวนจึงแล้วแต่เจ้าเลย”

    เสี่ยวหลางหรือหัวหน้าหมู่บ้าน ทำสีหน้าฉงนงุนงงขั้นสุด นี้มันบ้าอะไร? บนเขายังมีคนอื่นอยู่อีกหรือ? จะมีใครได้อีกนอก…จาก คิดมาถึงจุดนี้ก็มีเพียงคนเดียวที่เข้าไปภายในหุบเขา

     

        ชายหนุ่มที่เหมือนขอทานพกกระบี่สวมเกี๋ยะ “แล้วเขาอยากจะคุยอะไรกับข้ากัน?” เสี่ยวหลางถามด้วยสีหน้าสงสัยปนไม่ไว้ใจ อูเชินที่เห็นก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาเปิดปากอธิบายทันที

    “ข้าก็ไม่รู้เซียนจวินท่านสั่งให้ข้า พาเจ้าและคนในหมู่บ้านไปคุยบนเขา แต่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรเหมือนกัน” หัวหน้าหมู่บ้านแสดงสีหน้าอิหยังวะออกมา นี้เจ้าฟังคำสั่งเขาแล้วใช่ไหม? ถึงจะสงสัยแต่เขาก็เรียกแกนนำคนระดับสูง ของหมู่บ้านร่วมสิบคนเพื่อขึ้นไปบนเขา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×