ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #27 : ตอนที่ 27 ช่วยคน

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 65


       ชายหนุ่มในชุดขาดรุ่งริ่งราวกับพึ่งโดนฉีดเลือดไก่มา พุ่งเข้าหาชายร่างใหญ่ผิวกายดำอมม่วงด้วยความรวดเร็ว

    อูเชินที่รู้สึกหวาดกลัวแผ่นกระดาษสีเหลือง ที่หลินมู่ใช้นิ้วมือซ้ายคีบไว้อยู่ไม่รู้ทำไมเวลาเขาจ้องมองไปยังเปลวไฟนั้น

     

       ส่วนลึกภายในจิตใจกลับร้องตะโกนให้หลีกเลี่ยง แม้จะมีส่วนเล็กๆรู้สึกอยู่บ้างก็ตาม แต่จะออกหมัดก็ยังยากราวกับเขาไม่ได้ต่อสู้กับอีกฝ่ายเพียงลำพัง

    เหมือนต่อสู้กับจิตใจของตนเองไปด้วย น่าเสียดายที่แผ่นยันต์อันนี้หรืออันอื่นๆภายในถุงเฉียนคุน สูญเสียอิทธิฤทธิ์และพลังอำนาจบางส่วนไปตามกาลเวลา

     

       ถึงแม้ถุงเฉียนคุนอันนี้จะเป็นวัตถุหรือสมบัติวิเศษ แต่ระดับของมันค่อนข้างต่ำหากให้เปรียบกันเพียวๆ กระบี่ขาวตงหยู และ กระบี่ดำเฮ่ยซาน ยังระดับสูงมากกว่าอยู่หลายขั้น

    ถึงแม้มันจะระดับต่ำก็ใช่ว่าจะหามาง่ายๆ กรรมวิธีการผลิตนี้ถือว่าเป็นปริศนาอย่างมาก

     

       ทั่วพิภพสุสานเทพเจ้า ราคาซื้อขายจึงสูงขึ้นสูงขึ้นทุกปี ขนาดถุงใบนี้ที่ก่อนกวนเจี้ยนโปอาจารย์ของ หลินมู่ และ หลัวกงฟาน จะบังเอิญเข้ามาในทวีปนี้

    เขายังต้องเสียไปหลายร้อยผลึกจิตวิญญาณ ถึงแม้มันจะระดับค่อนข้างต่ำไปหน่อย แต่พื้นที่ว่างก็กว้างขวางพอสมควร

     

       และ ภายในนั้นยังมีของวิเศษสองสามอย่าง รวมถึงวัตถุวิเศษอย่างยันต์แผ่นเหลืองเหล่านี้ด้วย

    หลินมู่ตวัดกระบี่ฟาดฟันโถมเข้าใส่ร่างของอูเชินด้วยความรวดเร็ว เมื่อตงหยูปะทะกับผิวหนังของอีกฝ่าย ก็เกิดประกายไฟเสมือนเขากำลังฟาดฟันใส่ก้อนเหล็ก อย่างไรอย่างนั้น

     

       อูเชินที่ยังคงต่อสู้อยู่กับจิตใจของตนเอง ก็ขบฟันแน่นใช้ดวงตาแดงก่ำราวกับเลือดนั้น จ้องมองหลินมู่ไม่วางตา

    ขอเพียงมีช่องโหว่แม้นิดเดียวเขาก็ต่อยให้อีกฝ่ายขาดใจตายไปเลย และ เหมือนหลินมู่จะรู้เช่นกันว่าอูเชินชายครึ่งผีดิบครึ่งคนผู้นี้คิดอย่างไร

     

       แม้เขาจะโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวมาหนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่บาดแผลที่ลึกที่สุดก็แค่ลอยถลอก พูดได้แค่ว่าการป้องกันของอีกฝ่ายสูงล้ำยิ่งนัก 

    หลินมู่ที่อับจนหนทางก็ผุดไอเดียบางอย่าง เขาหันหน้าไปทางบ่อเลือดทำเป็นเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง

     

       อูเชินที่เห็นจังหวะก็เปลี่ยนจากท่าทางป้องกัน กลับมาโจมตีอีกครั้งเขาเก็บกลั้นความหวาดกลัวต่อแผ่นกระดาษสีเหลืองนั้นไว้อย่างยากลำบาก

    หมัดขวาที่อัดแน่นไปด้วยปราณหยินจำนวนมาก ก่อนจะต่อยออกไปอย่างดุดันราวกับใช้แรงสัตว์เดรัจฉาน หลินมู่ที่เตรียมตัวมาก่อนแล้วก็ม้วนตัวหลบออกไปก่อนอีกฝ่ายจะตั้งท่าเสียอีก

     

        ปัง!!! พื้นดินแตกกระจายจากพลังหมัดอันมหาศาลของอูเชิน เขาต่อยจนพื้นแตกละเอียดฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง

    ชายร่างกำยำใหญ่โตผิวกายดำอมม่วง ยืดตัวตรงมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง 

     

       เขายังคงรู้สึกถึงแรงกดดันจากแผ่นกระดาษแปลกๆได้อยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าต้นตอมันอยู่ที่ไหน

    ได้แต่มองไปรอบตัวอย่างโง่งม ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลยที่ฝุ่นควันลอยตลบอบอวล ปิดกั้นการมองเห็นเกือบทั้งหมด

     

       จะใช้กำลังเป่าฝุ่นควันเหล่านี้ไปก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายก็อาจจะใช้จังหวะนั้นในการชุ่มโจมตี

    แต่เหมือนอูเชินจะระวังผิดจุด แต่เขาไม่ได้คาดว่าหลินมู่ไม่ได้ใช้ดวงตาปกติมองแบบตน เพียงหมอกควันแค่นี้ไม่อาจหยุดเขาได้

     

       ร่างเงาที่รวดเร็วดุจแมวป่าพุ่งเข้าจากด้านหลังอย่างคล่องแคล่ว อูเชินเองก็สามารถจับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมาจากทางด้านหลังเช่นกัน

    จึงหันหลังกลับพร้อมชกหมัดออกไปอีกครั้ง ปัง!! ฝุ่นควันแตกกระจายเผยให้เห็นความว่างเปล่า “ได้อย่างไรกัน….”

     

       อูเชินรู้สึกแปลกใจเหตุใดอีกฝ่ายจึงหายไป? สงสัยได้ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างมาแตะหลังของตน

    เขาจึงหันกลับไปต่อยทันที ฟู้ม!! คลื่นลมอันรุ่นแรกผลักร่างในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่งให้ถอยหลังไป

     

       อูเชินที่เห็นจังหวะก็พร้อมจะเข้าไปซ้ำต่อ เพื่อไม่ให้เวลาอีกฝ่ายตั้งตัวแม้แต่อึดใจเดียวแต่ ร่างอันใหญ่โตเข่าทรุดลงบนพื้นเสียงดังสนั่น

    บนใบหน้าหรือแม้แต่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ “ไม่คิดเลยว่ายันต์ไฟหยาง จะใช้ได้ผลขนาดนี้ แม้เจ้าจะเป็นผีดิบเพียงแค่ครึ่งร่าง ก็ยังโดนกดดันขนาดนี้” 

     

       หลินมู่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขายืนนิ่งถือตงหยูกลับหัวด้วยท่าทางผ่อนคลาย อูเชินที่ถูกแปะยันต์ไฟหยางไว้บนแผ่นหลัง บริเวณกระดูกสันหลังสีหน้าของเขาซีดเผือด 

    รู้สึกราวกับมีบางอย่างชอนไชอยู่ภายในกระดูก เผาทำลายพลังที่ไหลเวียนอยู่แทนลมปราณภายในร่างของเขา อูเชินได้ยินเรื่องที่หลินมู่พูดขึ้นมาก็ใบหน้าถอดสี ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแผ่นกระดาษสีเหลืองนั้นคือแผ่นยันต์วิเศษ

     

       แถมเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ตนกลายเป็นผีดิบครึ่งร่าง เขาไม่รู้มาก่อนเลย….ตอนแรกก็คิดว่ามันก็แค่ผลกระทบเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้

    ผีดิบเคยถูกเล่าอยู่ในประวัติศาสตร์การก่อตั้ง ถิ่นฐานของมนุษย์ในทวีปหลิวซูเมื่อ 2,000 ปีก่อน เมื่อยามนั้นยังมีผีดิบเดินเร่ร่อนไปทั่วทวีป

     

       มนุษย์ใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ในปีหนึ่งมีผู้กล้าแล่นเรือเข้าสู่ทะเลไพศาล

    ก่อนจะกลับมาในอีกสามสิบปีให้หลัง พร้อมแผ่นยันต์วิเศษที่สามารถใช้ปราบผีดิบได้อย่างอยู่หมัด

     

       จนทุกวันนี้แผ่นยันต์วิเศษก็หายไปตามกาลเวลา ปัจจุบันทวีปหลิวซูไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแผ่นยันต์วิเศษแม้แต่แผ่นเดียว

    แล้วชายหนุ่มคนนี้มีมันได้อย่างไร อูเชินมองไปยังหลินมู่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะขยับปากเปล่งเสียงอ่อนแรง “หรือว่า!?…”

     

       ทุกอึดใจอูเชินก็จะถูกไฟหยางปราบปรามพลังในร่างกาย จนแม้จะขยับตัวก็ยังยากทำได้เพียงมองหลินมู่เดินตรงไปยังบ่อโลติที่อยู่ตรงกลางพื้นที่โล่งเตียน

    กลิ่นเลือดคาวจมูกลอยมาตามสายลม จนหลินมู่ต้องขมวดคิ้วแน่น แม้จิตกระบี่จะมีอนุภาคสะกดข่มสิ่งชั่งร้ายพวกนี้อยู่หลายส่วน แต่จะให้จัดการจนเรียบร้อย และ ไม่ทิ้งต้นตอไว้คงอยากอย่างมาก

     

       จะใช้ยันต์ไฟหยางก็ไม่ได้เพราะอาณาเขตไม่กว้างขนาดนั้น ในระหว่างขบคิดอย่างสะเปะสะปะ อูเชินที่ไม่รู้ใช้วิธีใดรวมกำลังจะโกนขึ้นมา

    “ท่านผู้มาจากฝากทะเล ได้โปรด!! ได้โปรดช่วยภรรยาและบุตรสาวของข้าด้วย!! จะให้ข้าเป็นวัวเป็นม้าข้าก็ยอม! ขอร้องหล่ะให้ท่านเมตตาช่วยพวกเราด้วย!!” หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นสูง นี้เขาเลี้ยงวิญญาณภรรยาและบุตรสาวของตนเองเป็นวัตถุหยิน?

     

        ไม่อ่ะ จากสภาพการณ์คงพูดได้แค่ว่าเขาหมดทางเลือก ครอบครัวนี้น่าจะเจอเรื่องบางอย่างทำให้ผู้เป็นแม่และลูกสาว ต้องจบชีวิตผู้เป็นพ่อที่บังเอิญพบกับตำราเคล็ดวิชาปีศาจเข้า

    ก็ลองใช้วิธีนี้เพื่อคืนชีพจรภรรยาและบุตรสาว แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันเป็นเคล็ดวิชาปีศาจ การจะตกในสภาพนี้ก็ไม่แปลกใจอะไร หลินมู่ที่สรุปเหตุการณ์เป็นฉากออกมาคร่าวๆ ตามความเข้าใจต่อตนเอง และ สถานการณ์

     

        โดยมีเสียงตะโกนขอร้องของอูเชินดังไม่หยุด หลินมู่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหมือนตนขาดทุนยับยู่ยี้แล้วสิ

    ไม่เป็นไรช่วยคนได้บุญมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น “ในเมื่อเจ้ายังมีสำนึกความเป็นคนอยู่บ้าง ข้าก็จะลงมือช่วยเท่าที่ข้าทำได้ เรื่องอื่นไว้ว่าทีหลัง…” หลินมู่หยิบยันต์อีกสองแผ่นออกมาจากถุงเฉียนคุน

     

        ก่อนจะใช้จิตกระบี่ 6 เส้นเหนี่ยวนำปราณฟ้าดิน ถ่ายเทลงไปภายในแผ่นยันต์เหลือง

    แต่เหมือนวิญญาณหยินชั่วร้ายที่จะเกิดจากวิญญาณของ ภรรยาอูเชิน และ บุตรสาวของอูเชิน จะไม่ยอมง่ายๆ

     

       พวกมันฟาดแส้โลหิตเข้าใส่ร่างของหลินมู่ ที่ยืนอยู่บริเวณขอบบ่อโลหิต แต่ทันใดนั้นเองราวกับมีกระบี่อันแหลมคมที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็น ฟาดฟันจนแส้โลหิตขาดสะบั้น

    วิญญาณหยินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ปล่อยลูกศรโลหิตราวกับห่าฝนเข้าใส่ร่างของชายหนุ่ม แต่มีหรือที่จิตกระบี่ที่หลินมู่เหลือไว้เป็นเกราะกำบังกาย จะอยู่เฉยมันพุ่งตัวไปราวกับสายฟ้าฟาด

     

        สะกัดกั้นลูกศรโลหิตเหล่านั้นจนแหลกเหลว อูเชินมองการต่อสู้ที่ไม่ได้ยืนอยู่บรรทัดฐานเดียวกันกับพวกตนในทวีปหลิวซู ก็ไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายดังเอื้อก

    “ช่างแตกต่างเหลือเกิน…แตกต่างจนเกินไป” อูเชินมองภาพนี้อย่างคาดหวัง คาดหวังให้ชายหนุ่มผู้มาจากฝากทะเลผู้นั้น สามารถช่วยเหลือครอบครัวตนได้ จะเป็นวัวเป็นม้าเขาก็ยอมแม้อีกฝ่ายไล่เขาไปตาย เขาก็จะทำโดยไม่ปริปากโต้แย้งใดๆ

     

       วิญญาณหยินชั่วร้าย ที่อยู่ภายในบ่อเลือดรู้ตัวแล้วว่ามันไม่สามารถทำอะไรหลินมู่ได้เลย มันจึงหยุดการโจมตีที่ไร้ประโยชน์ลงพร้อมใช้สายตาเกลียดชังมองขึ้นมาจากบ่อโลหิต

    “เซียนจวิน ท่านต้องการแตกหักกับพวกข้าแม่ลูกจริงๆหรือ?” เสียงน่าขนหัวลุกดังออกมาจากบ่อโลหิต แฝงไปด้วยคำถามและความโกรธเคือง

     

       ด้วยที่พวกนางคือวิญญาณหยินชั่วร้าย ไม่แปลกจะมีความรู้ตั้งแต่บรรพบุรุษ และ พอรับรู้ว่าหลินมู่ฝึกตนเป็นเซียน แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ยังไม่เป็นเซียนเต็มตัว ก็มากพอจะสังหารพวกนางแม่ลูกที่ขอบเขตยังไม่ถึงปฐพีที่ 1 ได้อย่างง่ายดายราวกับบี้มด

    หลินมู่เพ่งสมาธิอยู่กับการใช้จิตกระบี่ในการเหนี่ยวนำ ปราณฟ้าดินถ่ายเทลงไปภายในแผ่นยันต์ก็พูดขึ้นมา

     

       “แตกหักกับเจ้าแล้วอย่างไร? ข้ามาเพื่อช่วยคนหากพวกเจ้ายังรู้ผิดชอบชั่วดี และ ยังมีเหตุผลแบบเผ่าปีศาจมารร้าย เมื่อเห็นข้าก็ควรถอย หรือ เราก็ควรถอยกันคนละก้าว พวกเจ้าออกจากร่างพวกนางและไปยังหุบเหว ข้าสาบานว่าจะไม่ฟันพวกเจ้าด้วยกระบี่ หรือ จะดื้อดึงพูดคุยเหตุผลงูๆปลาๆกับข้า จนข้าอดใจไม่ไหวออกกระบี่สังหารพวกเจ้า พวกเจ้าจะเลือกอะไรข้าไม่บังคับ….แต่ต้องรับผิดชอบต่อทางเลือกของตัวเอง”

    หลินมู่ที่จุดเปลวไฟหยางได้สำเร็จ ก็ปล่อยให้มันลอยอยู่บนบ่อโลหิตด้วยสีหน้าเฉยชา พูดคุยเหตุผลกับปีศาจร้ายที่กลืนวิญญาณหยางมนุษย์เพื่อเกิดมา มันจะได้ประโยชน์อย่างไร?

     

       เขาแค่พูดเป็นพิธีไปอย่างงั้น แต่หากอีกฝ่ายถอยคนละก้าวออกจากร่างสองแม่ลูก เขาก็จะทำตามที่พูดไม่คิดจะออกกระบี่ บุรุษต้องรักษาคำพูด หนึ่งวาจาดุจติ่งทองเก้าชั้น

    แต่หลินมู่ไม่มั่นใจสักนิดว่าจะช่วยแม่ลูกคู่นี้ได้ สิ่งที่เขาทำอยู่ไม่ต่างจากการรักษาม้าตายประนึ่งม้าเป็น ลงแรงไปกับความหวังเล็กน้อย เดิมทีนางตายไปแล้วปัจจุบันจึงมีแค่สองทาง อย่างส่งเสริมในพวกนางเป็นเทพหรือภูติภูเขา หรือ ปล่อยให้วิญญาณหยินกลืนวิญญาณหยาง แล้วกลายเป็นภูติผี

     

       วิญญาณหยินชั่วร้ายที่พูดกับหลินมู่ ก็ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดจาใจๆราวกับมันตัดสินใจไม่ได้

    หลินมู่เองก็ใช่จะมีพลังเหลือเฟือ หากยืดการต่อสู้นานไปกว่านี้ต่อให้อยากช่วยเหลือ คงใจมีเหลือแต่ไร้กำลังแล้วหล่ะ เขาเลิกสนใจคำตอบของอีกฝ่าย และ เริ่มทำการช่วยเหลือสองแม่ลูกตามคำขอ ของ อูเชิน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×