คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 26 หลังจากนี้คือของจริง
บนเขาหลังหมู่บ้าน อูเชินที่แบกเด็กน้อยจางหยูขึ้นมาด้วย ก็แสดงสีหน้ากังวลใจออกมาชัดเจน
เขาโยนจางหยูที่แสดงท่าทางหวาดกลัว ต่างจากตอนแรกที่หึกเหิมร้องแต่จะฆ่าแกงคนชั่ว
“เจ้ารอบนเขากับข้า รอให้คนในหมู่บ้านเอาวัวแพะมาแลกตัวเจ้ากลับไป” อูเชินพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า เขานั่งแปะลงบนก้อนหินด้วยอารมณ์อธิบายไม่ถูก
ใจจริงเขาไม่อยากทำอย่างงี้เลย แต่สถานการณ์มันบังคับขอแค่คนในหมู่บ้านเอาวัวแพะมาแลก เขาก็จะปล่อยเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาคนนี้ไป
จางหยูที่แม้จะสั่นกลัวเดินถอยเอาหลังชิดต้นไผ่ แต่เขายังคงกำดาบไม้ไผ่ในมือแน่นจ้องมองไปยังอูเชินด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เจ้าคนชั่ว…เจ้าทำแบบนี้ทำไม?…” เขาถามด้วยเสียงที่สั่นกลัว แม้ดวงตาจะมีหยาดน้ำตาบ้างแล้วแต่ก็ไม่ยอมปล่อยโฮออกมา อูเชินที่ได้ยินคำถามจากเด็กน้อยก็ขบคิด
“ข้า….ก็ไม่รู้เหมือนกัน….” จะตอบว่าไม่รู้ซะทีเดียวก็ไม่ได้ ที่เขาไม่รู้คือพิธีการในตำราโบราณนั้นเป็นจริงไหม
หากจริงทำไมภรรยาและบุตรสาวตน ถึงได้อาการแย่ลงทุกปีทุกปีเขาเหลือบไปมอง เด็กน้อยที่สั่นกลัวก่อนจะพึมพำแผ่วเบา แต่นั้นก็มากพอจะทำให้เด็กน้อยที่ได้ยินหวาดกลัว จนเกือบฉี่ราด
“หรือต้องใช้เลือดมนุษย์จริงๆ…” ความคิดของเขาขัดแย้งกันอย่างหนัก เห็นอยู่ว่าเลือดสัตว์ไม่สามารถใช้ได้แล้ว
นอกจากเลือดมนุษย์ที่ไม่เคยลองก็ไม่มีทางอื่น แต่เขาไม่ต้องการฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เห็นเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดำเนินมาถึงนี้ก็คือกองโจรบัดซบนั้น แม้อูเชินจะฆ่าล้างพวกมันจนหมดแล้ว
ก็ยังไม่อาจแก้ปมแค้นที่ถูกผูกจนเป็นเงื่อนตาย แม้เขาจะยอมสละลมปราณขอบเขตเจ้ายุทธ์ทั้งหมด
เพื่อดึงวิญญาณของภรรยาและบุตรสาวกลับมา ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตของเขากลับสู่คำว่าปกติได้
ทุกเดือนภรรยาและบุตรสาวตน ต้องใช้เลือดจำนวนหนึ่งเพื่อคงอยู่ต่อ
และเขาก็ไม่ได้เอามาเปล่าๆ ภรรยาและบุตรสาวของเขา ที่เชื่อมต่อเหนียวแน่นกับภูเขาลูกนี้ ก็ปรับเปลี่ยนให้โชคลาภเล็กน้อยแก่หมู่บ้าน
แม้ช่วงแรกเหมือนจะดำเนินไปได้ดี เขาคิดว่าคงไม่ต้องพึ่งเลือดมาพยุงสถานการณ์อีก แต่อูเชินคิดผิดมันมีแต่จะแย่ลงและแย่ลงเขาไม่รู้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร…
อูเชินไม่สามารถมองเห็นปราณหยินและปราณชั่วร้าย เขาจึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าบ่อเลือดที่ภรรยาและบุตรสาวตนอยู่
คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายอัปมงคล และ ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ในมุมมองของหลินมู่ มีเปลวไฟคล้ายวิญญาณอยู่สี่จุดบนเขา
แสงที่สว่างสุดก็คือจางหยู รองลงมาคืออูเชิน และ อีกสองจุดแทบจะมอดดับไปแล้ว หากเปลวไฟหยางทั้งสองดับไป สองคนหรือบางอย่าง ที่เป็นเจ้าของเปลวไฟหยางนั้นก็จะเกิดใหม่กลายเป็นผีร้าย หรือ บางสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น
ระดับขั้นน่าจะตึงมือพอสมควร หลินมู่ที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนปฐพีที่ 1 ยังไม่ได้เป็นเซียนกระบี่เต็มตัว
เรียกได้แค่ว่ากำลังเดินเข้าถ้ำเสือด้วยตนเอง จะไงได้เด็กน้อยช่างจ้อคนนั้นโดนเอาตัวไป เขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้อีก
แถมอีกไม่นานเปลวเพลิงสองจุดนั้นก็กำลังจะมอดดับลง หากถึงตอนนั้นหมู่บ้านนี้คงเกิดเหตุนองเลือดไม่มีใครมีชีวิตรอดไปแน่นอน
เขาที่เป็นศิษย์เซียนกระบี่ จึงต้องจำทำหน้าที่ฆ่าปีศาจปราบมาร ถึงจะสู้ไม่ได้แต่เรื่องหนีและช่วยคนเขาค่อนข้างมั่นใจ
หากสู้ไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเปิดตาปลดปล่อยจิตกระบี่ทั้ง 7 เส้น ออกมาฟาดฟันก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ออกกระบี่หนึ่งครั้ง หมายความว่าไร้เรื่องกังวลหนึ่งเรื่อง หลินมู่ก้าวเดินขึ้นไปอย่างเชื่องช้าและมั่นคง
ถามว่าแล้วไม้เท้าเดินเขาด้ามนั้นหล่ะ? หลินมู่เขาลืมมันไปแล้วตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องนอนที่บ้านพ่อลูกสกุลจาง
แม้หมอกไอหยินจะปกคลุมทั้งหุบเขา แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินมู่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ดวงตาปกติในการมอง
อูเชินที่นั่งรอบนหินได้สักพักก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมา เมื่อหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาสักนิด
อีกฝ่ายเดินออกมาจากหมอกหนา ใส่ชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่งสะพายกระบี่สวมเกี๋ยะ คล้ายขอทานที่พบเห็นได้เกือบทั่วๆไปหากไม่นับว่าอีกฝ่ายพกกระบี่สองเล่ม
“เจ้าเป็นใคร?” อูเชินถามอย่างสงสัยพร้อมใช้สายตาพินิจวิเคราะห์มองไปยังหลินมู่ เป็นจังหวะนั้นเองที่จางหยูชะโงกหน้าออกมามอง ก็ร้องอย่างดีใจ
“ท่านน้าหลินท่านมาช่วยข้าหรือ!?” หลินมู่แทบเดินสะดุดหน้าทิ่มดิน นี่เขาดูแก่ขนาดนั้นเลย
อูเชินยกคิ้วขึ้นสูงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อหลินมู่เดินเข้ามาจนระยะห่างของพวกเขาไม่ถึง สองช่วงแขนอูเชินก็ถามอีกครั้ง “เอาหล่ะข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นใคร และ เจ้าต้องการอะไรถึงขึ้นมาถึงนี้?”
อูเชินลุกขึ้นยืนพร้อมปลดปล่อยแรงกดดันออกมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งบรรยากาศรอบตัวลดฮวบฮาบ
หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปิดปาก “อยู่กับวัตถุหยินนาน เลยใช้พลังหยินแทนลมปราณสินะ..” อูเชินหรี่ตาเล็กลงเขาถามด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้ใช้ลมปราณ และ วัตถุหยินที่เจ้าพูดคืออะไรข้าไม่รู้จัก…” อูเชินตั้งท่าเตรียมต่อสู้สีหน้าจริงจัง
ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่ง ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้เคล็ดวิชามารแบบนี้มาจากไหน แต่วัตถุหยินที่ข้าพูดถึงคือสิ่งที่เจ้ากำลังใช้เลือดเลี้ยงอยู่บนเขานี้…”
นัยตาสีแดงก่ำราวกับเลือดของอูเชิน หดเล็กลงอย่างน่าหวาดกลัว เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกเริ่มโจมตีทันที
หลินมู่ที่เห็นปฎิกริยาของอีกฝ่าย ก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องมีตำราหรือเคล็ดวิชามารกับตัว แถมเขายังสามารถยืนยันเรื่องสองเรื่องที่ตนอยากรู้ได้ด้วย
หลินมู่ม้วนตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะเอื้อมมือไปจับด้ามของตงหยู เมื่อชายหนุ่มออกกระบี่ก็เกิดแสงวาบราวกับตะวันขาวดวงน้อย
นี่คือหนึ่งในกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานนิกายเจี้ยนเสินเฟิง ตวัดจรัสแสง เป็นการออกกระบี่ที่อัดแน่นด้วยจิตกระบี่ มันทั้งรวดเร็วและเด็ดขาด
กระบวนท่านี้มักจะได้ใช้เพียงครั้งสองครั้งในการต่อสู้ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้เป็นท่าเปิดการโจมตี หรือ ท่าป้องกันในการป้องกันการโจมตีครั้งแรกของศัตรู
จิตกระบี่อันแหลมคมแผ่กระจายไปรอบตัว สะบั้นหมอกหยินราวกับหิมะกำลังเจอกับเปลวเพลิง
อูเชินที่โจมตีครั้งแรกพลาดก็ม้วนตัวกลับมา พร้อมกับออกหมัดที่สอง ใบกระบี่สีขาวดุจหิมะปะทะกับกำปั้นของอีกฝ่าย สร้างแรงกระแทกจนทั้งคู่ลอยกลับหลัง
หลินมู่ต้องถอยไปเกือบสิบก้าวจึงจะหยุดได้ แต่อูเชินเพียงสองถึงสามก้าวก็หยุดนิ่งได้แล้ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วจนแทบผูกกันเป็นปม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตนสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ หากยืดเยื้อมีแต่เสียกับเสีย แถมผิวหนังที่ปะทะกับคมของตงหยูก็มีเพียงรอยถากขาวๆเท่านั้น
อีกฝ่ายคงแทบจะกลายเป็นผีดิบไปครึ่งตัวอยู่แล้ว จึงทำให้ผิวแข็งราวกับทองแดงแบบนี้
ไม่ปล่อยให้หลินมู่คิดนานนักอูเชินก็พุ่งเข้าหาเขาด้วยความรวดเร็ว ออกหมัดอันหนักหน่วงหวังชกให้ชายหนุ่มในชุดขาดรุ่งริงนี้หมดสภาพ
หลินมู่ไม่คิดพิรี้พิไรต่อหมุนตัวหลบหมัดอีกฝ่ายได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในถุงเฉียนคุนดึงยันต์แผ่นเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง
ตอนแรกก็หนักใจว่าจะใช้ดีไหม เพราะเป็นของประเภทใช้แล้วหมดไป ทั้งเขาและหลัวกงฟานไม่มีใครรู้วิธีสร้างหรือเขียนยันต์เลย แต่หากไม่ใช้ตนก็มีโอกาสชนะน้อยถึงน้อยมาก
ตัดสินใจฉับไวหลินมู่ดึงจิตกระบี่หนึ่งเส้น เหนี่ยวนำปราณฟ้าดินถ่ายเทลงไป ภายในแผ่นยันต์ที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้ว
ระหว่างนั้นก็หลบการโจมตีของอูเชิน แม้จะสามารถสวนไปได้หลายต่อหลายครั้ง แต่คมของตงหยูไม่สามารถฟันผ่านผิวทองแดงของอีกฝ่ายได้เลย ทิ้งไว้เพียงรอยถากสีขาว
จะโทษตงหยูก็ไม่ได้เพราะหลินมู่ตบะต่ำตมเกินไป ไม่อาจดึงศักยภาพสูงสุดของมันออกมาได้
การสับประยุทธ์กันระหว่าง หลินมู่ และ อูเชิน เป็นไปอย่างรวดเร็วดุดันแม้ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายอูเชินโจมตีก็ตาม
จางหยูน้อยที่ยืนมองภาพนี้จากระยะไกล ก็ได้แต่เชียร์หลินมู่เขาเสียใจที่ไร้พลังไม่อาจช่วยน้าหลินคนนั้นได้
ประกายกระบี่แปลบปลาบแหลมคมสาดกระจาย ราวกับคลื่นสมุทรโถมใส่ร่างของอูเชินอย่างไร้ปราณี
คราวนี้หลินมู่สามารถฝากรอยแผลตื้นๆไว้บนตัวอีกฝ่ายได้เล็กน้อย อูเชินขมวดคิ้วแน่นหากวัดกันแล้วอูเชินสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ภายในหมัดสองหมัด
แต่เพราะเขาไม่อยากสังหารคนทำกรรมชั่ว จึงออมแรงหวังต่อยให้อีกฝ่ายหมดสภาพก็เท่านั้น แต่เหมือนนั้นจะเป็นเรื่องยากมากกว่าฆ่าอีกฝ่ายเสียอีก
ตลอดการต่อสู้เขารู้สึกหวาดกลัวแผ่นกระดาษสีเหลือง ที่ถูกคีบอยู่หว่างนิ้วอีกฝ่ายอย่างมาก สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือตั้งแต่พวกเขาต่อสู้กันมา
เขายังไม่เคยเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเปิดเปลือกตาสักนิด ‘หรือนี้จะเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์ตาบอด ที่สัมผัสดีกว่าคนทั่วไปกัน?’
อูเชินคบคิดก่อนจะออกหมัดอีกครั้ง ครั้งนี้เอาออกแรงเพิ่มขึ้นอีกสองส่วนส่งผลให้มันรวดเร็วกว่าหมัดที่แล้วอยู่หลายขุม หลินมู่ที่เจอหมัดที่เร็วขึ้นดระทันหันก็ยากจะเบี่ยงตัวหลบได้อีก
ด้วยการตัดสินใจฉับไวตงหยูก็ถูกขยับมารับหมัดนั้นไว้แทน ปัง!! ร่างในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่ง
ถูกต่อยลอยขึ้นเขาราวกับว่าวสายป่านขาด หลินมู่หน้าเปลี่ยนสีรู้สึกราวกับเลือดตีขึ้นมาอยู่ในหลอดอาหาร
เขากลั่นใจกลืนเลือดกลับไปก่อนจะม้วนตัวลดแรงกระแทก เมื่อลงมายืนบนพื้นก็ไม่มีเวลาให้เขาพักหายใจแม้แต่อึดใจเดียว
ตัวของอูเชินก็กระโดดตามขึ้นมาติดๆ เขาปล่อยหมัดที่อนุภาพไม่ต่างจากเมื่อกี้มากนักออกมาอีกครั้ง ปัง!! แม้จะยกตงหยูขึ้นมาป้องกันไว้ทัน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่หลินมู่ถูกต่อยลอยไม่ต้องจากตุ๊กตายัดนุ่น
ระหว่างลอยอยู่กลางอากาศ หลินมู่ก็ม้วนตัวผืนกลั้นความเจ็บปวด ตวัดกระบี่แนวดิ่งด้วยความรวดเร็ว
อูเชินที่กระโดดตามขึ้นมาหวังปิดฉาก ก็ต้องเก็บหมัดกลับมายกแขนขึ้นเพื่อป้องกันกระบี่
ปัง! อูเชิงถูกหลินมู่ฟาดลงพื้นราวกับลูกปิงปอง เศษดินเศษหินระเบิดออกจากจุดที่ร่างใหญ่ของอูเชินตกลงไป เขาลุกขึ้นจากหลุมด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
ต่างจากหลินมู่ที่เหมือนพึ่งเล่นเครื่องเล่นผาดโผนมาหมาดๆ ใบหน้าของเขาซีดเผือดเลือดไหลออกจากมุมปาก สภาพดูน่าอดสูยิ่งนัก
ไม่รู้ด้วยซะตาหรือบังเอิญ จุดต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้คือบนยอดเขาที่โล่งเตียน
ตรงกลางคืนบ่อเลือดขนาดใหญ่ ที่ปลดปล่อยกลิ่นคาวแสนสะอิดสะเอียน “เจ้าควรยอมเสีย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าสู้กำลังข้ามิได้”
อูเชินเปิดปากพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พร้อมใช้สายตาจับจองไปยังชายหนุ่มในสภาพสะบักสะบอม
หลินมู่ที่ได้ยินก็ยกยิ้มมุมปาก มันก็จริงที่เขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แทบจะฝากรอยแผลรีดเลือดอีกฝ่ายยังทำไม่ได้เลย
แต่ยังมีบางสิ่งที่เขายังไม่ลองมันคือยันต์แผ่นเหลือง ที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง
เขาต้องการเวลาอีกเล็กน้อยในการเหนี่ยวนำปราณฟ้าดิน ถ่ายเทลงไปภายในแผ่นยันต์เหลืองอันนี้
“หากเจ้าไม่ตอบข้าก็จะชัดเจ้าให้สลบ และ ค่อยให้คนในหมู่บ้านแบกเจ้าลงเขาทีหลัง” สิ้นเสียงอูเชินก็พุ่งมาอีกครั้ง
หวังทุบชายหนุ่มดื้อด้านคนนี้ให้สลบเหมือด ในขณะที่ร่างใหญ่โตสีดำอมม่วงของอูเชินพุ่งมาได้ครึ่งทาง
จู่ๆก็เสียวสันหลังวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหยุดตนเองกลางอากาศอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ขาทั้งสองข้างจมอยู่ในพื้น
หลินมู่ที่คีบแผ่นยันต์เปล่งประกายไปด้วยเปลวไฟแปลกประหลาด ก็ยกยิ้มขึ้นสูงพร้อมพูดขึ้น “เอาหล่ะ มาต่อกันเถอะ….” เขามันใจแล้วว่ามันใช้ได้ผล
กว่าจะเปิดใช้งานมันได้ เขาแทบลงไปจูบพื้นอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เป็นไรเพราะหลังจากนี้คือของจริง!!
ความคิดเห็น