ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 25 ฆ่าปีศาจปราบมาร มันเรื่องของข้า

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 65


       หลินมู่กับเจ้าของบ้านร่วมโต๊ะอาหารเย็น กันอย่างชื่นมื่นหลังจากพวกเขาสวาปามอาหารบนโต๊ะจนหมดแล้ว

    ก็แยกย้ายไปห้องใครห้องมัน หลินมู่ถูกจัดให้อยู่ในห้องรับแขกที่ไม่ค่อนมีคนมาใช้ ซึ่งตัวเขาก็ไม่ว่าอะไรถึงจะมีฝุ่นบ้างปะปลาย จางหยูเด็กน้อยผู้หลงไหลยุทธจักร

     

       ก็ช่วยเขาปัดฝุ่นเล็กน้อยก่อนจะจากกันไป “ขอผ้าหรือเศษผ้าอย่างน้อย 2 ผืน และ น้ำได้หรือไม่?” จางหยูพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันให้หลินมู่พูดถึงค่าเหนื่อยเลย

    ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น จางหยูก็กลับมาพร้อมกับขันไม้ไผ่ที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม พร้อมกับผ้าป่านหยาบ 2 ผืน

     

       หลินมู่พูดขอบคุณเด็กน้อยก่อนจะหยิบ 3 อิแปะเป็นค่าตอบแทน เด็กน้อยแสดงท่าทางดีใจ 

    พร้อมพูดว่านี่คือต้นทุนของตนตอนท่องยุทธจักรภายภาคหน้า หลินมู่อดยิ้มไม่ได้ หลังจากจางหยูจาก

     

       หลินมู่ก็กลับเข้ามาภายในห้องนอนรับแขก เขานั่งสมาธิสักพักก่อนจะหยิบตงหยู และ เฮ่ยซาน ออกมาเช็ดทำความสะอาด

    ชายหนุ่มใช้ผ้าป่าหยาบๆ ที่จางหยูเอามาให้ชุบน้ำ และ ค่อยๆเช็ดไปตามใบกระบี่อย่างเชื่องช้า

     

       การทำความสะอาดอาวุธประจำตัวถือเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง บางคนถือว่าเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของ และ ตัวอาวุธให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

    บางคนทำไปเพื่อความสบายใจ บางคนอาจจะทำทำไปเพราะคนอื่นบอกให้ทำมาอีกที

     

       แต่สำหรับหลินมู่คือข้อหนึ่งและสอง จะก่อนหรือหลังจากเป็นผู้ฝึกตนปฐพีที่ 1 เขาสัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อที่แปลกประหลาดระหว่างตนกับกระบี่ขาวเล่มนี้

    เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งหลัวกงฟานก็อธิบายไว้คร่าวๆว่า ทุกคนมักจะมีชะตากับอาวุธคู่ชีวิตตั้งแต่เกิด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ได้เจอกับอาวุธคู่ชีวิตกลับมีน้อยถึงน้อยมาก

     

       และใช่ว่าอาวุธคู่ชีวิตกับเจ้าของพวกมันจะได้เจอคู่กันทุกครั้ง บางคนก็ไม่เคยเจออาวุธคู่ชีวิตทั้งชีวิต บางคนก็เจอแล้วแต่เป็นตอนบั้นปลายของชีวิต บางคนเลือกจะละทิ้งอาวุธคู่ชีวิต บางกรณียังไม่เจอกันเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ชิงแตกหักหรือสิ้นชีพไปก่อนแล้ว

    จริงแท้แค่ไหนหลินมู่ต้องไปฟังจากปากอาจารย์ เพราะศิษย์พี่หลัวของตนก็ฟังมาจากอาจารย์อีกที หรือก็คือ ตนกับกระบี่ตงหยูเล่มนี้ มีชะตากันตั้งแต่เกิด

     

       จึงไม่แปลกที่ระหว่างหลินมู่กับกระบี่เล่มนี้ จะมีการเชื่อมต่อผูกสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเห็น ในเมื่อกระบี่เล่มนี้เลือกเขาเป็นนาย เขาก็จะทำหน้าที่ของนายมัน

    กวักแกว่งกระบี่ไปตามเจตนารมณ์ของตนเอง เขาคือคนที่จะกวัดแกว่งกระบี่เพื่อตนเอง ขอเพียงไม่ผิดใจกับฟ้าดิน ล้วนแล้วทำได้หมด

     

       หลินมู่ที่นั่งนิ่งใช้ผ้าชุ่มน้ำเช็ดกระบี่โดยไร้ซึ่งแสงเทียน กลับสามารถทำกิจของตนจนเสร็จลุล่วงได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มหยิบผ้าอีกผืนมาเช็ดใบกระบี่สีขาวของตงหยูให้แห้ง

    ก่อนจะเก็บมันกลับเข้าฝักที่สะพานอยู่บนหลัง ต่อมาก็เริ่มเช็ดกระบี่ดำเฮ่ยซานของศิษย์พี่หลัว

     

       จัดการเรื่องจุกจิกเสร็จแทนที่หลินมู่จะปลดกระบี่ ทิ้งตัวลงนอน และ หลับจนถึงรุ่งเช้า เขากลับนั่งนิ่งขัดเกลาจิตกระบี่ของตนตลอดคืน

    ไม่ใช่เพราะเขาไม่ไว้ใจพ่อลูกสกุลจาง เขาแค่คิดว่าตนในเส้นทางมหามรรคานั้นเชื่องช้าเกินไป เขาต้องขยันมากกว่านี้ หากระหว่างเดินทางมีศัตรูที่ยากจะต่อกรโผล่มา และ เขาไม่อาจต่อสู้กับอีกฝ่ายได้เลย ก็ได้แต่โทษว่าตนฝึกฝนน้อยเกินไป

     

       ก่อนจะออกจากเหวศิษย์พี่หลัวสอนกระบวนท่ากระบี่ ให้อีกสองสามอย่างแม้จะเป็นเพียง กระบวนท่าพื้นฐานของพื้นฐานอีกที

    ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะสิ่งที่ตนขาดตอนนี้คือเพลงกระบี่ เป็นอย่างมาก

     

       ภายในห้วงจิตของหลินมู่ มีเส้นสีฟ้าราวกับริบบิ้นบินร่อนไปมาอย่างฉวัดเฉวียน นับคร่าวๆราว 7 เส้น

    พวกมันทั้งเจ็ดกำลังพร้อมใจกัน ขัดเกลาลับคมกันเองไปในเวลาเดียวกัน ตรงจุดศูนย์กลางคืนภาพอันเลือนลางของเส้นที่ 8 ด้วยอิทธิพลของจากจิตกระบี่ 7 เส้นที่กำลังขัดเกลาและลับคมกันเอง

     

       ด้วยการควบคุมจากเคล็ดกำหนดจิตกระบี่ การต่อตัวของเส้นที่ 8 จึงราบรื่นเป็นอย่างมาก หลินมู่ขัดเกลาจิตของตนเองจนถึงรุ่งสาง

    เมื่อดึงสติออกมาจางห้วงจิต หลินมู่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลประหลาด ราวกับมีกลุ่มก้อนของปราณหยินมาเยือนหมู่บ้าน แต่ในปราณหยินที่หนาแน่นนั้นกลับมีปราณหยางที่กำลังอ่อนแอ เหมือนเปลวไฟที่กำลังจะมอดดับ

     

        ทำให้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายเสียทีเดียว แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังโดนปราณหยินกัดกร่อนร่างกาย หากปล่อยไว้โดยไม่คิดจะแก้ไข อีกไม่นานเขาหรือเธอคนนั้นหากไม่ตายก็กลายเป็นผีดิบแน่นอน

    หลินมู่ลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องนอน ก็พบกับจางหยูที่เตรียมออกจากบ้านอย่างกระตือค หลินมู่ที่สงสัยจึงเดินไปแตะไหล่เด็กน้อยก่อนจะถามอย่างสงสัย “จางหยูเจ้าจะไปไหนหรือ?” 

     

       จางหยูที่ได้ยินคำถามของหลินมู่ก็หันมาตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าจะออกไปปราบคนชั่ว!!” สิ้นเสียงเขาก็วิ่งเตลิดออกไปพร้อมตวัดดาบไม้ไผ่ไปมา

    หลินมู่มีลางสังหรณ์ว่าเด็กน้อยคนนี้ อาจจะสะดุดล้มหน้าคว่ำเป็นแน่ ซึ่งก็หลังเพียงหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ จางหยูก็สะดุดก้อนหินและล้มหน้าคว่ำ แม้จะเจ็บแต่เด็กน้อยผู้มีปณิธานเต็มอกก็ลุกขึ้น พร้อมกับตวัดดาบไม้ไผ่ในมือตนต่อไป

     

       หลินมู่ได้แต่ยิ้มแห้ง เขาก็อยากรู้เช่นกันว่าใครมาที่หมู่บ้าน ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่งสะพายกระบี่ สวมเกี๋ยะไม้ไผ่เดินไปยังบริเวณหลังหมู่บ้านอย่างเอื่อยๆ

    เมื่อมาถึงเขาก็ยืนดูห่างๆไม่คิดจะเข้าไปวาดงูเติมหาง ตอนนี้ด้านหลังหมู่บ้านมีชาวบ้านชายฉกรรจ์รวมตัวกันแสดงสีหน้าตรึงเครียด

     

       เหล่าสตรีก็หลบอยู่ภายในบ้านคอยคุมเหล่าลูกหลานของตน ด้านหน้าสุดคือหัวหน้าหมู่บ้านที่หลินมู่เจอเมื่อคืน

    กำลังยืนเผชิญหน้ากับชายร่างสูงใหญ่เปลือยท่อนผิวดำอมม่วง ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลเป็นเล็กใหญ่ ใบหน้าบึ้งตึงไม่รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายอยู่

     

       ดวงตาและสีผมสีคิ้วแดงก่ำไม่ต่างจากโลหิต “อูเชิน ข้าจำได้ว่าเดือนนี้หมู่บ้านของเราให้สัตว์เจ้าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงลงเขามาอีก” หัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาใช้สายตาคมกริบมองไปยังอีกฝ่าย

    ชายร่างใหญ่ที่น่าจะชื่ออูเชินแค่นเสียงตอบกลับ “หมายถึงไอ้ตัวผอมแห้ง ที่แทบจะคั้นเลือดไม่ออกนะหรือ? มันจะพอได้อย่างไร? อย่าให้ข้าต้องพูดอีกครั้งจะส่งมาหรือไม่ส่ง!?”

     

       คลื่นออร่าสีแดงปลดปล่อยออกมาไปทั่วบริเวณ หลินมู่ที่ยืนมองอยู่ไกลๆก็ได้กลิ่นเลือดลอยมาตามลมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น 

    เขาไม่อาจรู้เลยว่าคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคนนี้ มีกลิ่นเลือดที่เข้มข้นมากขนาดนี้ได้อย่างไร และ เขาก็ไม่อยากรู้เช่นกัน 

     

       เขาภาวนาให้เรื่องนี้จบลงโดยไม่เกิดเรื่องขึ้น แต่เหมือนการจบโดยไร้เรื่องจะเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนคุมเชิงกันอยู่นั้นเอง

    ก็ได้มีร่างเล็กโดดออกมาจากฝูงชน ถือดาบไม้ไผ่สีหน้าขึงขังร้องแผดเสียงกราดกร้าว กระโดดฟันดาบไม้ไผ่ใส่อูเชิน

     

       “ตายซะไอ้คนชั่ว!!!” หลินมู่และคนอื่นๆมองภาพนี้อย่างตะลึง กว่าจะกลับมาตอบสนองได้อูเชินก็คว้าตัวจางหยูไว้กลางอากาศ เด็กน้อยที่เตะขาสะบัดดาบไปมาอย่างฟึดฟัด 

    “ปล่อยตัวเขา!!!!” หัวหน้าหมู่บ้านพุ่งเข้าใส่อูเชินด้วยความโกรธเกรี้ยว ปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณเข้าใส่ร่างอีกฝ่าย หวังชกให้อีกฝ่ายแด้ดิ้นไป

     

       อูเชินที่เห็นก็อดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้ “ดี!!! ในเมื่อเลือดสัตว์มันเริ่มไร้ประโยชน์ ข้าจะใช้เลือดของไอ้เด็กนี่แทน!!” สิ้นเสียงอูเชินก็ใช้มืออีกข้างคว้ากำปั้นของหัวหน้าหมู่บ้าน

    ก่อนจะผลักกับไปด้วยออร่าสีแดงเลือด ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านลอยกลับหลัง เลือดลมตีกลับจนเลือดไหลออกจากปาก เขามองไปยังอูเชินด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว…

     

       ก่อนจะจากไปอูเชินก็พูดขึ้นหนึ่งประโยค “เอาสัตว์ไปให้ข้าบนเขา ไม่งั้นไอ้เด็กนี่จะกลายเป็นถุงเลือดแทน!” สิ้นประโยคอูเชินก็กระทืบพื้นสร้างฝุ่นควันบดบังวิสัยทัศน์

    เมื่อควันหายไปอีกฝ่ายก็ไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่น่าอึดอัด ฟุบ!! ร่างหนึ่งทรุดลงบนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบิดาของจางหยู จางโหยวแขนขาอ่อนแรงทำอะไรไม่ถูก บุตรชายเขาถูกอีกฝ่ายเอาตัวไปแล้ว

     

       ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน เสียงเกี๋ยะที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้น เป็นชายหนุ่มที่เข้ามาภายพักค้างคืนในหมู่บ้านเมื่อคืนนี้

    ที่เดินมาหาพวกเขา “เจ้ามาที่นี่ทำไม?” หัวหน้าหมู่บ้านเช็ดเลือดจากมุมปาก พร้อมถามหลินมู่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “เขาเป็นใคร?”

     

       หลินมู่ไม่ได้บอกจุดประสงค์ แต่ถามถึงตัวตนของอูเชินแทน หัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าลังเลก่อนถอนหายใจยาว

    “เขาคืออูเชิน เขามาถึงหมู่บ้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อ 6 ปีก่อน พร้อมกับสะพายโลงศพขนาดใหญ่ เขาอาศัยบนเขาหลังหมู่บ้านได้ 2 ปี ก็เริ่มเกิดเหตุประหลาด หลังๆหมู่บ้านก็เริ่มเจอเรื่องแปลกๆ พวกชาวบ้านที่ประทังชีวิตด้วยการเก็บของบนเขาแทบทุกราย ถูกโจมตีด้วยบางอย่างแม้แต่ไม้ไผ่บนเขาก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แม้จะเห็นว่าบนเขายังมีไผ่อยู่เต็มไปหมด แต่พวกมันใช้ไม่ได้เพราะแปดเปื้อนบางอย่างบนเขา หากดึงดันจะใช้ก็รอพบเง็กเซียนฮ่องเต้ไปเลย”

     

       หลินมู่ที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดคำที่ตนคุ้นเคย ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นสูง 'ที่นี้มีเง็กเซียนฮ่องเต้ด้วยหรือ?'

    หลินมู่ที่ยืนฟังต้นสายปลายเหตุจนเข้าใจ ก็พึมพำกับตนเองเงียบๆ อูเชินน่าจะใช่เคล็ดวิชามารบางอย่างเลี้ยงผีร้ายวัตถุหยิน ไว้บนเขา การที่อูเชินได้ครอบครองเคล็ดชั่วร้ายแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

     

       บางทีเขาอาจจะค้นพบซากโบราณสถาน และ ได้รับเคล็ดวิชาที่ว่า เพราะที่นี้คือจุดที่เคยเกิดมหาสงครามในอดีตกาล

    หากไม่มีของจากยุคนั้นเหลือมาเลยสิแปลก เพราะฟังจากที่หลัวกงฟานเล่ามาทั้งสองฝ่าย มีพลังเทียบเคียงกันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะลบอีกฝ่ายหายไปอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคงเป็นแท่นพิธีที่เรียกหลินมู่และคนอื่นๆมายังโลกนี้

     

       มันไม่มีทางที่คนในปัจจุบันของทวีปนี้จะสร้างขึ้นมาได้ ต้องเป็นของจากยุคมหาสงครามแน่นอน

    เรื่องที่อีกฝ่ายได้รับเคล็ดวิชาปีศาจจากบรรพกาลช่างไปก่อน ตอนนี้ต้องช่วยชีวิตคน 

     

       หลินมู่ก้าวเดินไปทางหุบเขาด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว หัวหน้าหมู่บ้านจ้องตาถลนนี้ไม่ฟังคำเตือนของตนเลยใช่ไหม?

    “เรื่องฆ่าปีศาจปราบมาร มันเป็นเรื่องของข้า พวกท่านรออยู่ข้างล่างนี้แหละ” หลินมู่หันหน้ามามองหัวหน้าหมู่บ้านด้วยรอยยิ้ม

     

       หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกสันหลังเย็นวาบ แม้หลินมู่จะหลับตาอยู่แต่เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่

    ร่างของชายหนุ่มสะพายกระบี่สวมเกี๋ยะ เดินหายไปภายในหมอกหุบเขา ภายใต้สายตาที่แปลกใจของแต่ละคน 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×