ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #24 : ตอนที่ 24 หิมะแรกกำลังมา

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 65


       ในคืนที่ธรรมดาวันหนึ่ง หมู่บ้านตระกูลเสี่ยวที่ตั้งอยู่ในป่าลึก เพื่อไม่ให้สัตว์ฟันแทะ หรือ สัตว์ป่าตัวไหนมากัดแทะพืชผล หรือ มากินปศุสัตว์ของพวกเขา

    ทางหมู่บ้านจึงได้มีการจัดยามให้เฝ้าในกะกลางคืน เสี่ยวเหมาคือคนโชคร้ายในเดือนนี้

     

        เดิมทีเขาอยากจะไปสังสรรค์กับเพื่อนภายในหมู่บ้าน แต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หัวหน้าหมู่บ้านดันมือทอง

    จับแผ่นไม้ที่สลักชื่อของเขาไว้ เขาจึงกลายเป็นคนโชคร้ายที่ต้องมาเฝ้ายามตอนกลางคืนในเดือนนี้

     

        แม้หมู่บ้านนี้จะชื่อหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว แต่ทุกคนภายในหมู่บ้านก็ไม่ได้ใช้แซ่เสี่ยวทุกคน

    แม้เขาจะชื่อเสี่ยวเหมาแต่นั้นคือชื่อที่ทุกคนมักจะเรียกกัน เพราะตอนเด็กๆเขาตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมาก

     

        แม้แต่เด็กหญิงในรุ่นเดียวกันกับเขายังสูงกว่าเลย กลายเป็นว่าชื่อเสี่ยวเหมากลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักกว้างขวางกว่าชื่อจริงๆ ของเขาเสียอีก

    ตอนแรกเขาก็รู้สึกไม่ชินอยู่่บ้างแต่หลังๆเขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว จะชื่อ กวนเหมา หรือ เสี่ยวเหมา ก็ไม่ต่างกัน

     

        เสี่ยวเหมาคาบรากพืชตากแห้งกินได้บางชนิดไว้ในปาก พร้อมถือโคมไฟเดินลาดตระเวนไปตามเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน ในระหว่างที่เขากำลังชะโงกหน้ามองไปในไร่นาข้างทางนั้น

    “ท่านอาข้าขอรบกวนหน่อยได้หรือไม่?” เสียงชายหนุ่มไม่คุ้นหูดังขึ้นมา ทำเอาเสี่ยวเหมาที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็กระโดดโหยงพร้อมแหกปากเสียงดัง

     

       “ผีหลอก!!” เขาลงไปดิ้นบนพื้นเหมือนโดนผีอำ ตัวชายหนุ่มที่ถือไม้เดินเขาชุดขาดรุ่งริ่ง สะพายกระบี่ก็ทำสีหน้าไม่ถูก ด้วยเสียงร้องจะเป็นจะตายของเสี่ยวเหมา ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลเสี่ยวแห่เฮโล

    มาทางพวกเขาทั้งสองคนด้วยความรวดเร็ว แต่ละคนถือจอบเสียมหรือพลั่วเป็นอาวุธติดไม้ติดมือ

     

        หลินมู่ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ยืนยิ้มแห้งๆ ‘เกิดอะไรขึ้น???’ ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม

    ใช้เวลาไม่นานเหล่าชาวบ้านพร้อมอาวุธครบมือ ก็กรูกันมาพร้อมโคมไฟเห็นภาพที่เสี่ยวเหมาลงไปดิ้นบนพื้น

     

        ร้องแหกปากดังสนั่นว่าผีหลอก ด้านข้างก็มีชายหนุ่ม…ขอทานหนุ่มสะพายกระบี่ ยืนทำสีหน้าไม่ถูกเหมือนยังไม่เข้าใจสถานการณ์

    หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายวัยกลางคน ที่จอนผมเป็นสีขาวบางส่วนทำสีหน้าจริงจัง จ้องมองไปยังเสี่ยวเหมาที่ยังคงดิ้นเป็นหนอนบนพื้นไม่หยุด

     

       เขาใช้เท้าเตะอีกฝ่ายพร้อมตะโกนขึ้น “ผี!? ไหนผีของเจ้า!? ข้าเห็นแค่หนุ่มน้อยคนนี้เท่านั้น!?” เสี่ยวเหมาที่โดนเท้าหัวหน้าหมู่บ้านสะกิด 

    ก็รู้สึกตัวเขาลุกขึ้นนั่งมองกลับไปทางหลินมู่อีกครั้ง ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มผมค่อนค้างสั้นสีดำ ชุดขาดรุ่งริ่งสะพายกระบี่สองเล่ม ร่างกายค่อนข้างผอม ถือไม้เท้าเดินเขาหยาบๆหลับตายืนนิ่งอยู่ 

     

       หลินมู่ที่ทำความเข้าใจสถานการณ์แทบไม่ทัน ก็ยืนสีหน้าอ้ำอึ้งประมาณว่าข้าไม่ผิด จู่ๆท่านอาท่านนี้ก็ลงไปดิ้น ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย

    หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปมองทางหลินมู่ พร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายของยุทธจักรออกมาบางๆ เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย

     

       “ผู้ผ่านทางตัวน้อย ท่านมาทำอะไรที่แห่งนี้ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้?” แม้ไม่ได้จงใจข่มขู่แต่ลมปราณที่ปลดปล่อยออกมา  ราวกับหัวหน้าหมู่บ้านพยายามแสดงจุดยืนของตน

    ว่าเขาไม่อ่อนแออย่าได้คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจ หลินมู่กระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์พเนจร พอดีหลงทางกว่าจะออกจากป่ามาได้ ก็สภาพย่ำแย่พอเห็นหมู่บ้านของพวกท่านอยู่บริเวณนี้ จึงจะขอพักค้างคืนสักคืน พร้อมกับซื้อของใช้จุกจิกเล็กน้อย ท่านไม่ต้องสนใจตาของข้าพอดีข้าเป็นคนตาตี่…"

     

       หัวหน้าหมู่บ้านหรี่ตาลงเหมือนจะประเมินชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ให้ละเอียด เด็กหนุ่มพกกระบี่สองเล่มเดินไปมาในยุทธจักร และ ยังรักษาชีวิตได้จนถึงตอนนี้แสดงว่าไม่ได้ไร้น้ำยา

    แม้จะสงสัยก็เถอะว่าทำไมชายหนุ่มต้องหลับตาตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่คิดจะซักไซ้เอาความ อีกฝ่ายไม่ต้องการจะพูด เขาก็ไม่อยากรู้ เพราะอีกฝ่ายพูดแล้วว่าตนตาตี่เขาก็จะคิดเช่นนั้นละกัน

     

       “ทุกคนแยกย้าย เขาไม่เป็นอันตราย เสี่ยวเหมาเจ้าก็กลับไปเฝ้ายามต่อ ข้าจะพาผู้ฝึกยุทธ์น้อยท่านนี้ไปหาที่พัก” คลี่คลายสถานการณ์เสร็จ หัวหน้าหมู่บ้านก็เดินนำออกไป พร้อมส่งสัญญาณให้หลินมู่ตามเขามา 

    หลินมู่เดินตามหัวหน้ามู่บ้านอย่างว่าง่าย ระหว่างเดินผ่านเหล่าชาวบ้านก็ทักทายเล็กน้อยพอเป็นพิธี

     

       เมื่อเดินเข้ามาภายในหมู่บ้านหลินมู่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงไอเย็นแปลกประหลาดที่ไหลลงมาจากภูเขาหลังหมู่บ้าน

    เหมือนหัวหน้าหมู่บ้านจะรู้สึกเช่นกัน แต่เขาอยู่มาจนชินแล้วพอนึงถึงหลินมู่ที่น่าจะรู้สึกเช่นกัน เขาก็ปากอธิบายเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง แค่ช่วงนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาว ไอเย็นบนเขาเลยมีมากว่าปกติ ทางที่ดีผู้ฝึกยุทธ์น้อยควรพัก และ เมื่อตอนเช้ามาถึงก็รีบออกเดินทางก่อนหิมะแรกจะตก…”

     

       เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านแฝงไปด้วยความกังวล หากไม่ใช่คนช่างสังเกตอาจจะไม่สามารถสัมผัสถึง

    หลินมู่ปิดปากเงียบเขาจะขอดูสถานการณ์ก่อน หากเกิดอันตรายขึ้นมาเขาคงต้องลงฆ่าผีร้ายปราบมาร

     

       ไม่ใช่เรื่องดีที่บางอย่างบนเขาดึงไอหยิน และ ปราณชั่วร้ายไปรวมไว้บนเขา แม้ช่วงแรกชาวบ้านที่ตีนเขาจะไม่เป็นอะไร และ เหมือนบางสิ่งบนเขากับชาวบ้านจะได้รับประโยชน์ 

    ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้เป็นไปได้ว่า ช่วงหลังๆนี้สิ่งที่อยู่บนเขาเริ่มเสียการควบคุม ปลดปล่อยไอหยินลงมาตามตีนเขา ชาวบ้านที่อยู่ตีนเขาจึงรับเคราะห์อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

     

       หัวหน้าหมู่บ้านพาหลินมู่เดินมาถึงบ้านของช่างไม้ไผ่คนหนึ่ง เขาเคาะประตูก่อนจะพูดขึ้น “จางโหยว เจ้าตื่นอยู่ไหม!?” สักพักก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาเปิดประตู

    หัวหน้าหมู่บ้านแสดงสีหน้าตกใจที่ไม่ใช่จางโหยวที่เป็นคนเปิดประตู แต่เป็นเด็กชายอายุประมาณสิบปี “จางหยู ท่านพ่อเจ้าล่ะ?” หัวหน้าหมู่บ้านถามเด็กน้อยนามจางหยูอย่างสงสัย

     

       เด็กน้อยคนนั้นเหลือบไปมองหลินมู่ ที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าหมู่บ้านเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามาตอบ “ท่านพ่อ กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ ท่านไม่มีเวลาข้าเลยมาเปิดประตูแทน”

    หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าเชิงเข้าใจ ก่อนจะหันไปแนะนำหลินมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี้คือผู้ฝึกยุทธ์น้อยที่ผ่านทางมา เขาต้องการที่พักสักคืน ข้าจึงพาเขามาที่นี่เรื่องค่าตอบแทนพวกเจ้าก็พูดคุยกันเอง”

     

       เด็กน้อยนามจางหยูดวงตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำว่าผู้ฝึกยุทธ์ เขาใฝ่ฝันจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งแข็ง ท่องไปทั่วทวีปปราบเหล่าร้ายช่วยสาวงาม เหมือนสมัยหัวหน้าหมู่บ้านยังหนุ่มๆ

    หัวหน้าหมู่บ้านที่จัดการเสร็จแล้ว จึงหันหลังกลับเตรียมยะเดินจากไป ก่อนจะจากไปเขาก็พูดคุยกับหลินมู่เล็กน้อย ว่าเขาต้องการจะซื้ออะไรบ้าง 

     

       หลินมู่พูดสิ่งที่ตนต้องการคร่าวๆ “ข้าต้องการเสื้อผ้าใหม่ อาหารแห้งเล็กน้อย…" เขาเชื่อใจอีกฝ่ายพอสมควร จึงบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านไป หัวหน้าหมู่บ้านผู้ค่อนข้างมีอายุและประสบการณ์พยักหน้า

    “เดี๋ยวตอนเช้าข้าจะเตรียมไว้ให้” ก่อนจะแยกย้ายหัวหน้าหมู่บ้านก็พูดว่า จางหยูเป็นเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น และ เขาอยากเป็นผู้ฝึกฝนเวลาเขาถามก็อย่าได้รำคาญละ เมื่อทั้งสองแยกย้ายหลินมู่ที่เดินเข้ามาภายในบ้านของช่างไม้ไผ่

     

      เมื่อก้าวขาเข้ามา หลินมู่ก็ต้องคอยตอบคำถามอันกระตือรือร้นของเด็กน้อย ถึงแม้ส่วนใหญ่เขาจะมั่วนิ่ม และ หยิบมาจากนิยายบางเรื่องก็เถอะ มีบางครั้งที่เด็กน้อยถามว่าเหตุใดเขาจึงหลับตาตลอดเวลา หลินมู่เลือกจะตอบปัดๆ และ ตัวเด็กน้อยเองก็รู้กาลเทศะ ไม่ถามซักไซ้เรื่องตาเขาอีก

    เด็กน้อยที่ได้ยินเรื่องน่าตกตะลึงภายในยุทธจักรที่ตนใฝ่ฝัน เขาก็ยิ่งอยากให้ตนอายุ 15 เร็วๆ จะได้รีบฝึกยุทธ์ ปราบโจรชั่วผดุงความยุติธรรม 

     

       กว่าเขาจะได้อยู่เงียบๆก็เวลาดึกมากแล้ว หลินมู่ที่เดินมองงานฝีมือทำจากไม้ไผ่ด้วยสีหน้าชื่นชม

    จากงานพวกนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนที่ทำขึ้นมาค่อนข้างมากฝีมือ ก่อนจะมาหยุดมองเกี๋ยะไม้ไผ่อันหนึ่ง “เจ้าสนใจหรือ?”

     

       ด้านหลังของหลินมู่มีชายวัยกลางคน ผิวค่อนข้างคล้ำใบหน้ายิ้มแย้ม “อืม ท่านก็ดูรองเท้าข้าสิ แทบจะเรียกว่าเศษผ้าได้แล้ว ราคาเท่าไหร่ละ?” หลินมู่ชี้ให้เห็นสภาพรองเท้าขาดรุ่งริ่งของตน ก่อนจะถามราคาอย่างไม่อ้อมค้อม

    ช่างไม้ไผ่ไม่คิดว่าชายหนุ่มปริศนาตรงหน้า ที่ลูกชายมาเล่าให้ฟังว่าอีกฝ่ายจะมาพักค้างคืนที่บ้านของพวกเขา จะเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้

     

       “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาสินะ 65 อิแปะ เจ้าไม่ต้องคิดเลยว่ามันแพงเกินไป ช่วงนี้ไผ่ที่ใช้ได้บนเขาหายากมาก เลยทำให้ราคาขึ้นไปด้วย แถมไผ่ที่ใช้ทำเกี๋ยะอันนี้ก็เป็นไผ่ที่เปลี่ยนอุณภูมิตามฤดู ที่ค่อนข้างหายาก เจ้าจะซื้อไหม?”

    หลินมู่พยักหน้าหงึกๆก่อนจะ เปิดถุงเงินนำเหรียญเงินออกมา 2 เหรียญ แทนที่จะเป็นเหรียญทองแดงอิแปะ “นี้ค่าเกี๋ยะไม้ไผ่คู่นี้ รวมกับค่าพักค้างคืนที่ข้ามารบกวนอย่างกระทันหัน” 

     

       จางโหยวที่มีเหรียญเงินในมือสองเหรียญก็ถึงกับไปไม่ถูก “นี่…” เขาพูดไม่ออกจริงๆ จู่ๆก็มีเหรียญเงินสองเหรียญเข้ากระเป๋า บนโลกมีโชคแบบนี้ด้วยหรือ?

    “ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลยละ หรือท่านไม่พอใจในราคา?” เสียงของหลินมู่ดึงสติของเขากลับมาอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะแห้ง “พอแล้ว พอแล้ว เกินพอด้วยซ้ำ”

     

       จางโหยวตอบกลับตัวสั่นไม่คิดเลยว่า ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนขอทานสะพายกระบี่คนนี้ จะเป็นพวกกระเป๋าหนักตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้จริงๆ

    “เช่นนั้น” จางโหยวพยักหน้า หลินมู่ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ก็หยิบเกี๋ยะลงจากชั้นวาง เอามาเปลี่ยนแทนรองเท้าขาดรุ่งริ่งของตน แม้จะไม่ชินอยู่บ้างแต่ถือว่าใส่สบาย และ พอดีกับขนาดเท้าของเขาอย่างไม่น่าเชื่อ

     

       “ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านถูกใจละสิ” หลินมู่พยักหน้า แม้จะสวมเป็นครั้งแรกแต่ไม่รู้สึกไม่สบายเท้าเลย แถมยังรู้สึกถึงความเย็นบางๆจากฝ่าเท้า คาดว่าเมื่อเข้าหน้าหนาวมันจะเป็นความอบอุ่นแทน

    “เอาหล่ะ ข้ายังไม่กินข้าวเย็นเลย ถ้าไม่รังเกียจ…” คุยกันมาตั้งนานจางโหยวพึ่งนึกออกว่า เขายังไม่รู้จักชื่อของชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เลย

     

        “ข้าชื่อ หลินมู่ ข้ารู้จักชื่อของท่านจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว” จางโหยวยิ้มพยักหน้าเบาๆ “หลินมู่ถ้าไม่รังเกียจ เจ้าอยากกินข้าวเย็นกับพวกข้าพ่อลูกไหม?” หลินมู่ยิ้มกว้าง

    “ท่านลุงโหยว ข้าต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” จางโหยวหัวเราะชอบใจก่อนจะลากหลินมู่ไปยังโต๊ะกินข้าว พร้อมเสวนากันด้วยความสนุกสนาน

     

       บนเขาด้านหลังหมู่บ้าน เสียงโหยหวนของสตรีหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ดังระงม ราวกับเสียงกรีดร้องของพวกนางจะสามารถกรีดวิญญาณคนเป็น 

    ร่างกำยำเปลือยท่อนบนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเป็น ฟังเสียงร้องโหยหวนนี้อย่างเศร้าใจ หิมะแรกกำลังจะมาถึงแต่อาการของภรรยา และ ลูกสาว กลับแย่ลงกระทันหัน “ข้าจะต้องลงเขาไปเอาสัตว์เป็นๆจากหมู่บ้านเพิ่ม…”

     

        ชายวัยกลางคนที่บนตัวเต็มไปด้วยแผลเป็น กัดฝันพร้อมเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา

    มันไม่มีทางเลือก หากไม่ได้เลือดจากสัตว์เป็นๆมา คาดว่าไม่ถึงหิมะแรกของปี ภรรยา และ ลูกสาว ของเขาจะเสียสติไปเสียก่อน เขาต้องหาเลือดของสิ่งมีชีวิตมามากกว่านี้ ก่อนหิมะแรกจะมาถึง….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×