ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #23 : ตอนที่ 23 หมู่บ้านในป่าเขา

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 65


       อีก 3 เดือนให้หลัง บริเวณปากเหวภายในหุบเขาสำเร็จมาร ปราณกระบี่ไร้รูปพุ่งขึ้นเสียดฟ้า สะบั้นความมืดที่กั้นระหว่างก้นเหว และ ปากเหวออกจากกัน 

    ร่างในชุดคลุมสีเทาขาดรุ่งริ่งกระโดดไต่ขึ้นมาจากก้นเหว แม้เขาจะดูผอมแห้งขาดสารอาหารเล็กน้อย แต่ทั่วทั้งร่างกลับปลดปล่อยกลิ่นอายแหลมคม เสมือนกับกระบี่ที่พร้อมออกจากฝักทุกเมื่อ

     

       ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินมู่ เขาใช้เวลาอีก 3 เดือนเพื่อฝึกฝนตนเอง และ ขัดเกลาเวทย์กระบี่ พร้อมทั้งเป็นการขัดเกลาจิตใจตนเองด้วยเช่นกัน

    ด้านหลังสะพายตงหยูที่ปลดปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือก แม้จะอยู่ภายในดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ตาม

     

       ที่เอวซ้ายสะพายกระบี่เฮ่ยซานของศิษย์พี่หลัว ที่เอวขวาผูกถุงเฉียนคุน และ ถุงใส่เงินเอาไว้ด้วยกัน

    แม้ทวีปหลิวซูจะไม่รู้ว่าถุงเฉียนคุนคืออะไร ถึงอย่างไรถุงเฉียนคุนก็เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง เขาจึงเลือกจะนำถุงเงินมาผูกไว้ข้างตัวแทนที่จะเก็บไว้ภายใน เพราะการให้เอาถุงเงินเข้าออกถุงเฉียนคุนก็ไม่ใช่เรื่องดี

     

       ชายหนุ่มที่สกปรกมอมแมม ยืนหลับตาสูดอากาศนอกเหวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

    “ศิษย์พี่ ท่านไม่ออกมาหน่อยหรือ?” สิ้นเสียงหลัวกงฟานก็ออกมาจากกระบี่เฮ่ยซาน เขามองไปรอบตัวก่อนจะหัวเราะจากนั้นเปลี่ยนเป็นร้องไห้เพราะความตื้นตัน

     

       เขาออกมาได้แล้ว 200 ปี กว่า 200 ปี เขาต้องติดอยู่ที่ก้นเหว ต้องตายกลายเป็นวิญญาณกระบี่ แม้จะแค้นเคืองเหล่าผู้แกร่งกล้าในยามนั้น

    แต่ตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะตายไปเกือบหมดแล้ว หรือไม่ก็อาจกำลังใช้ชีวิตโค้งสุดท้ายอยู่ก็ได้ หลัวกงฟานจึงเลือกจะปล่อยวางความแค้น 

     

        จะดีกว่าหากจะเอาเวลาแก้แค้นนั้น มาใช้แก้ไขเรื่องของตนเอง “ขอบคุณมากศิษย์น้อง ข้าคิดว่า…ข้าคิดว่าเราจะต้องติดอยู่ด้านล่างนั้นตลอดไปเสียอีก”

    หลัวกงฟานพูดด้วยเสียงสะอื้น ในที่สุดเขาก็ได้ออกมาแล้ว “ศิษย์น้องเจ้าจะช่วยข้าอีกสักเรื่องได้หรือไม่?” หลัวกงฟานหันมาถามหลินมู่ด้วยสีหน้าจริงจัง

     

        หลินมู่ที่ตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่เคยเปิดเปลือกตาเลย ก็ยกยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดขึ้น “ข้าแค่ต้องเอาอัฐิและของท่าน ไปส่งที่ตระกูลหลัวมณฑลซ่งหลุย ข้ามีเวลาอีกเหลือเฟือในการเดินทางไปในมาไหน แค่เดินทางไกลอีกหน่อยก็ลำบากเพิ่มอีกนิด”

    หลัวกงฟานที่ได้ยินถึงกับหุบยิ้มไม่หุบ “ขอบคุณมากศิษย์น้อง ขอบคุณมาก” พูดคุยกันอีกสักพักหลัวกงฟาน ก็กลับเข้าไปภายในกระบี่เฮ่ยซาน

     

        พวกเขาตกลงว่าหลัวกงฟานตลอดการเดินทาง เขาต้องพักอยู่ภายในกระบี่เฮ่ยซานจนกว่าจะถึงตระกูลหลัว

    เพราะสภาพวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ค่อยดีนัก แม้จะข้ามหลุมลึกในใจพ้นเคราะห์ใหญ่ไปได้ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขได้ทั้งหมด เห็นได้จากตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เวลาส่วนใหญ่ของหลัวกงฟานคือการนอนอยู่ในกระบี่เฮ่ยซาน เพื่อฟื้นฟูวิญญาณตนเอง

     

       หลินมู่ที่เดินออกมาจากหุบเขาสำเร็จมาร ก็หันหน้ามองไปรอบข้างอย่างสงสัย “มณฑลซ่งหลุย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นอาณาเขตของตระกูลกู่ แต่ระหว่างทางก็ไปเฉียดอาณาเขตตระกูลไป๋เหมือนกัน คงต้องระวังหน่อยไม่อยากให้เอะอะโวยวายเพราะพวกเขาเห็นคนที่คิดว่าตายไปแล้ว ออกมาเดินกลางวันแสกๆหรอก…”

    คิดได้เช่นนั้นหลินมู่ก็ออกเดินหน้าไปตะวันตก หากเลือกทางดีๆอาจจะเจอกับภูเขาท้าสวรรค์ก็ได้

     

       นั้นเป็นหนึ่งในเบาะแสชิ้นโตที่อาจจะส่งเขากลับบ้านได้ ระหว่างทางเมื่อเป็นทางผ่านก็ต้องแวะสักหน่อย

    ชายหนุ่มมอมแมมในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่งราวกับขอทาน เดินไปตะวันตกอย่างผ่อนคลายแม้เขาจะหลับตาเดินก็ตาม

     

        การก้าวเดินทุกก้าวค่อนข้างมั่นคง และ สม่ำเสมอ เขาไม่รีบร้อนเพราะอย่างไรเสียร่างนี้ก็ขาดสารอาหารมานาน

    ค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าจะเจอหมู่บ้านสักแห่ง แล้วค่อยเร่งความเร็วในการเดินทางก็ไม่สาย ทุกก้าวต้องเดินอย่างมั่นคงไม่อาจเหลวแหลก เพราะเขายังต้องไปพบอาจารย์ที่ภูเขาสุดขอบตะวันออก และ ไปยังเมืองหลิวบรรพต เพื่อทำตามคำสัญญาของหลัวกงฟาน กับ ตาเฒ่าหลอมกระบี่ในปีนั้น

     

        คิดไปคิดมารู้ตัวอีกทีก็เดินเข้ามาในป่าเสียแล้ว “หาไม้มาเขี่ยทางหน่อยละกัน มีคนเดินไปเดินมาทั้งๆปิดตาอย่างงี้แปลกเกินไป…” หลินมู่พึมพำก่อนจะเลือกกิ่งไม้ยาวๆจากต้นไม้สักต้น และ ใช้ตงหยูตัดมันออกมา

    “ค่อนข้างพอดีมือเลย” ชายหนุ่มแย้มยิ้มแม้วิสัยทัศน์การมอง ของหลินมู่จะไม่ค่อยต่างจากคนทั่วไป แต่การจะมองสิ่งที่มองไม่เห็นหรือสิ่งที่มนุษย์ปกติมองไม่เห็น ก็สามารถมองเห็นได้อย่างเป็นเรื่องปกติ

     

       รวมถึงการมองกระแสการไหลของปราณฟ้าดิน หรือ ทิศทางของสายลมเขาก็สามารถมองเห็นได้

    เรียกได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ค่อนข้างใหญ่หลวงภายในทวีปหลิวซู หลินมู่เหลาเปลือกไม้ออกเล็กน้อยก่อนจะออกหน้าเดินทางต่อโดยที่ในมือมีกิ่งไม้เดินเขาเพิ่มมาอันหนึ่ง

     

       แม้ป่านี้จะไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนความเงียบสงบจนกลายเป็นความวังเวง หลินมู่ก็ยังเดินผ่านป่าเขาหน้าตาเฉย

    ในหัวเขาคิดอยู่หลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ เติมโภชนาการสารอาหารให้ตัวเอง ร่างผอมแห้งแบบนี้จะออกกระบี่สู้ใครได้ ต้องรีบฟื้นฟูสภาพหลังจากใช้ลูกกลอนดับหิวเป็นเวลาให้เร็วที่สุด

     

        ด้านนอกนี้มีอันตรายแทบทุกรูปแบบ ไม่ว่่าจากคนด้วยกันสัตว์อสูรหรือภูติผี ถึงแม้อันหลังจะไม่ค่อยได้เห็นภายในทวีปหลิวซูก็เถอะ

    ชายหนุ่มในชุดคลุมเทาขาดรุ่งริ่ง เดินในป่าที่เงียบจนวังเวงนี้อย่างช้าๆ แม้จะมีร่องรอยของมนุษย์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นของเมื่อนานมาแล้ว

     

       เขาไม่อาจเชื่อและตามร่องรอยเก่าๆเล่านี้ได้ หากร่องรอยนั้นดันพาเขาหลงป่านั้นและเขางานงอกแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าหลินมู่มีสกิลเอาตามรอดในป่าแทบเป็นศูนย์

    หมายความว่าหากหลงในป่านี้จนตกดึกขึ้นมา ก็เหมือนตกนรกดีๆนี้เอง แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนปฐพีที่ 1

     

       แต่การจะหาทางเดินออกจากป่าก็ยากพอสมควร เดินวกวนไปมาอยู่ค่อนข้างนานในที่สุดก็หลุดออกมาจากป่าได้

    แต่ศิษย์เซียนกระบี่ผู้นี้ดีใจเก้อได้ไม่นาน เดินไปอีกสักพักก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว เพราะตรงหน้าคือป่าอีกแห่ง

     

        สวรรค์เถอะสวรรค์ เหมือนทางตรงช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค รู้งี้ใช้ทางอ้อมน่าจะดีกว่า

    แต่จะเปลี่ยนทางตอนนี้ก็สายไปแล้ว ตะวันเลยเที่ยงวันมาแล้วหรือก็คือเขาจะต้องเดินจนกว่าจะออกจะป่า ถึงจะเปลี่ยนแผนเดินทางได้อีกครั้ง

     

        ซวยซ้ำสองคือเขาไม่มีแผนที่ และ ไม่รู้ภูมิประเทศสักนิด นอกจากเดินไปตายดาบหน้าแล้วชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้อีกเลย หรือ จะกลับไปรอขบวนเดินทางที่ผ่านไปแถวหุบเขาสำเร็จมารล่ะ?

    เป็นไปไม่ได้ใหญ่เห็นได้ชัดๆว่า ไอ้หุบเขามืดมิดนั้นนานๆทีถึงจะมีคนแวะไป พูดสั้นๆศิษย์เซียนกระบี่ในคาบขอทานคนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอเมืองสักเมือง

     

        หลินมู่คิดแล้วท้อแท้กับตนเอง รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้ หากตนเลือกจะเดินตามถนนบางทีนะบางที ตอนนี้อาจจะเจอวี่แววคนบ้างแล้ว แต่ทำไงได้เข้าป่าแล้วเจอป่าซ้อนอีกที อย่างว่าโลกนี้ไม่มียาแก้เสียใจขาย

    จะถอยก็ไม่ได้เพราะตะวันเลยเที่ยงวันไปแล้ว แม้จะไม่กลัวการเดินทางกลางค่ำกลางคืน

     

        แต่การมาเดินตัวเปล่าๆ ไม่มีอาหารแม้แต่น้ำก็เหลือไม่มาก อีกไม่นานคงได้ม่องเท่งก่อนจะไปถึงไหนแน่ๆ

    “ช่างเถอะบ่นไปก็ไม่ได้อะไร เอาแรงมาเดินดีกว่า” พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวขาเดินต่อไป โดยใช้ไม้เท้าเดินเขาหยาบๆของตนเขี่ยไปมา ทำเหมือนกำลังคลำหาทาง

     

        เผื่อภูติผีป่าไม้ภูเขาตนไหนเห็นจะได้รู้สึกสงสารตนขึ้นมาบ้าง และ เปิดทางให้เห็นเส้นทางที่คนปกติใช้กัน

    และเหมือนการแสร้งทำตัวหน้าสงสารนี้จะได้ผล เมื่อถึงยามโพล้เพล้ในที่สุดก็เห็นร่องรอยของมนุษย์สักที

     

       เป็นถนนดินเหลืองค่อนข้างกว้าง และ โล่งเตียนบนถนนมีร่องรอยเหมือนเกวียนถูกลากเข้าออกอยู่บ่อยครั้ง

    หลินมู่ไม่ถนัดการคาดเดาจากรอยเท้าสัตว์ด้วยสิ ช่างเถอะไปถึงก็รู้เอง คิดได้เช่นนั้นเขาก็เดินเรียบทางไปเรื่อยๆ

     

       จนเมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงทั้งสามขึ้นจากขอบฟ้า ที่สุดปลายทางก็เห็นกับหมู่บ้านที่มีบ้านไม่กี่ร้อยหลังคาเรือน

    ด้านหลังหมู่บ้านมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง แค่หลินมู่มองก็รู้สึกไม่ดีแล้วกลิ่นอายอึมครึม ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายตลบอบอวล

     

       แม้จะไม่เท่ากับหุบเขาสำเร็จมาร แต่หากอยู่ใกล้หรืออยู่บนเขาเป็นเวลานาน ก็เป็นการง่ายที่จะเรียกสิ่งอัปมงคลเข้าโจมตีคนในหมู่บ้าน 

    แต่นี่ไม่ยักจะเห็นร่องรอยของสิ่งอัปมงคลสักตัว แถมพืชพันธุ์แปลงการเศรษฐก็ดูอุดมสมบูรณ์อย่างมาก

     

      “แปลก….แต่ถ้าไม่เข้าไปก็ไม่รู้” ตัดสินใจเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินตามทางเข้าใกล้หมู่บ้านในป่าเขาอย่างช้าๆ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×