ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 20 ถามตนเอง

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 65


       หลินมู่เลิกสนใจหลัวกงฟาน แล้วหันมาสนใจตำราเวทย์กระบี่ที่อยู่บนตักของตน แม้ตัวตำราจะมีอยู่เพียงไม่กี่สิบหน้า

    แต่เขาก็อ่านไม่เข้าใจสักนิด แม้แต่เนื้อแท้ของวิชาเวทย์กระบี่นี้ยังจับต้นชนปลายมิถูก ตามจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันฝึกฝนอย่างไร

     

       ศิษย์พี่หลัวของตนบอกว่าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่สามารถฝึกมันได้ตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่ได้

    หากมีโอกาสเมื่อได้พบหน้าอาจารย์เจ้าก็จงขอคำชี้แนะเสีย แต่ก็ขึ้นว่าเจ้าจะออกไปได้ไหมอ่ะนะ นี่คือสิ่งที่หลัวกงฟานพูดกับหลินมู่ก่อนจะเริ่มใช้ยันต์เหลือง เผาโครงกระดูกของตน

     

       แม้หลินมู่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนปฐพีที่ 1 แล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมากมาย เขาเอื้อมไปจับด้ามของตงหยู

    สัมผัสลวดลายอันวิจิตรบรรจงบนด้ามกระบี่ ภายในหัวขบคิดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตอนนี้เลย

     

       พ่อกับแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง ยัยตัวเล็กนั้นจะร้องไห้ฟูมฟายจนอาการแย่ลงหรือไม่

    คำถามมากมายวนเวียนภายในหัว ก่อนดวงตาสีหมึกที่แฝงไปด้วยความคมกริบเบาบาง จะเหลือบมองไปยังตำราเวทย์กระบี่บนตัก

     

       “ดวงตานั้นเสมือนจิต แต่จิตมิใช่ดวงตา เช่นเดียวกับกระบี่ อนุภาคทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ตัวกระบี่ แต่อยู่ที่ผู้ใช้กระบี่ แต่ผู้ใช้กระบี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด…”

    หลินมู่พึมพำอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนไม่รู้ตัวเลยว่าศิษย์พี่หลัวของตัวถอยกรูดออกห่างจนแผ่นหลังติดกำแพงแล้ว

     

       หลัวกงฟานสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ใช้ดวงตาที่ไม่อยากจะเชื่อนั้นมองร่างที่นั่งนิ่ง พลางใช้มือลูบด้ามกระบี่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่อธิบายไม่ถูก

    เขาจึงทำได้แค่บ่นพึมพำกับตนเอง “นี่ข้ามีศิษย์น้องเป็นสัตว์ประหลาดหรือ? เหตุใดพึ่งกลายเป็นผู้ฝึกตนไม่นาน ก็อยู่ในภวังค์ตรัสรู้อีกแล้วล่ะ….”

     

       แถมกลิ่นอายปณิธานกระบี่กลับหมุนวนอยู่รอบกาย เสมือนตัวเองนั้นคือกระบี่ สรรพสิ่งคือฝักกระบี่

    ในที่สุดหลินมู่ก็หยุดพึมพำก่อนจะหลับตาลง มือที่คอยลูบด้ามกระบี่ก็กลับมาวางบนตัก

     

       ทุกอย่างกลับมาเงียบงันอีกครั้ง แม้แต่สิ่งชั่งร้ายที่อยู่นอกระยะยันต์แสงหยาง ยังทำตัวสงบเจี๋ยมเจี้ยมไม่กล้าเอะอะ

    ผ่านไปไม่นานกลิ่นอายแหลมคมก็ค่อยๆหายไป จนกลับมาเป็นปกติหลินมู่ลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

     

       นอกจากการก่อตัวบางๆของจิตกระบี่เส้นที่ 2 ชายหนุ่มเหมือนเข้าใจบางอย่างอีกเล็กน้อย แต่เหมือนยังขาดจิ๊กซอว์ตัวสำคัญ เขาจึงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ที่แฝงอยู่ในประโยคนั้นได้

    เขาไม่รีบร้อนและไม่อยากดึงต้นกล้าให้โตด้วย “เรื่องเดิมไม่ควรเกินสามครั้ง…” หลินมู่พึมพำแผ่วเบาหากการตรัสรู้ครั้งที่สอง ไม่อาจจะไขคำตอบให้เขาได้ ก็ได้แต่ติดอยู่ด้านล่างนี้อีกสักพัก เพราะไม่อาจฝึกเวทย์กระบี่นี้ได้ 

     

       ต้องทำให้อาจารย์ที่รอตนอยู่ยัง ภูเขาสุดขอบตะวันออกคนนั้นต้องเสียใจแล้ว หลินมู่ปิดตำราสีขาวก่อนจะนั่งนิ่งไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย

    เขาหลับตาลงเสมือนกำลังทำความเข้าใจกับตนเอง ความหมายของประโยคในตำรา มีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า

     

       เขาต้องคิดให้ถี่ถ้วนยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นไป และ มหามรรคาของตนแล้ว เขาจึงต้องคิดให้มากกว่านี้ละเอียดกว่านี้และรอบคอบกว่านี้

    ต้องคิดซ้ำหลายครั้งจนกว่าจะได้คำตอบ จนเมื่อถามตนเองแล้วจะไม่เสียใจทีหลัง หลัวกงฟานแทบอยากกัดลิ้นตาย

     

       'บัดซบ!! เหตุใดศิษย์น้องของข้า ถึงได้ดูเหมือนเซียนกระบี่จากอีกฝากทะเลมากกว่าข้าล่ะ!?' หลัวกงฟานถอดถอนใจ

    เพียงอีกฝ่ายเริ่มเรียนรู้ไม่กี่วัน ก็สามารถแปะคำว่าเซียนกระบี่ไว้บนหน้าผากอย่างภาคภูมิ แต่เขาหล่ะ? เรียนมาหลายปียังพอกระท่อนกระแท่นเรียกตนเองว่า ว่าที่เซียนกระบี่อย่างกระดากปาก 

     

       หลัวกงฟานที่ตัดพ้อกับพรสวรรค์ที่สู้ศิษย์น้องไม่ได้ ก็หวนนึกถึงคำสอนนึงของอาจารย์ “กงฟานเจ้าควรรู้เอาไว้ แค่เจ้าไม่สามารถเข้าใจความในสิ่งที่ข้าจะสื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าโง่งมหรือไร้พรสวรรค์ เจ้าแค่ยังไม่ได้ถามตนเอง…”

    เสียงของอาจารย์ดังอยู่ในห้วงความทรงจำของหลัวกงฟาน ปากเขาขยับแต่ไม่มีเสียงออกมา

     

       เขาพูดคำว่า'ถามตนเอง'ซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็เอามือกุมหัวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ถามตนเอง….ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าควรถามเรื่องอะไร…” หลัวกงฟานพูดอย่างว่างเปล่า

    พร้อมมองไปยังเปลวเพลิงที่แผดเผากระดูกของเขาจนเป็นเถ้า เส้นทางมหามรรคาเปรียบเสมือนแม่น้ำสายใหญ่

     

       ผู้ฝึกตนก็เหมือนปลาที่พยายามว่ายทวนกระแส หากไม่เดินหน้าต่อก็มีแต่ถดถอยนานเข้าเส้นทางมหามรรคาก็ตัดขาด แต่สำหรับหลัวกงฟานที่ตกอยู่ภวังค์กับตนเอง

    กำลังเชื่อมเส้นทางมหามรรคของตนขึ้นมาใหม่ และเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาควรถามเรื่องอะไร

     

       สุดท้ายก็ได้คำตอบ ไม่ใช่ถามเรื่องอะไร สิ่งที่เขาต้องถามคือมหามรรคในตัวเขาเอง “ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างงี้นี่เอง!! ข้าไม่ได้โง่หรือไร้พรสวรรค์ อย่างที่อาจารย์ว่าไว้ข้าแค่ยังไม่ถามตนเอง!!”

    ตลอด 200 ปีภายใต้เหวมืดนี้ ช่วงแรกที่กลายเป็นวิญญาณกระบี่ หลัวกงฟานคิดอยู่ตลอดถ้าหากว่าตน ไม่ได้ไปยังจวนตระกูลเหลียนฮวาเพื่อค้าขาย ตนจะจบที่ก้นเหวนี้ไหม เขาไม่เคยให้คำตอบตัวเองกับคำถามนี้

     

       เลยทำให้เขาในเส้นทางมหามรรคหยุดทวนกระแส จนทำให้เส้นทางมหามรรคถูกตัดขาด

    แต่ตอนนี้เขาถามตนเองแล้ว และ คำตอบคือถึงยังไงเขาก็จะจบอยู่ที่ก้นเหว ไม่มีอะไรให้เสียใจไม่มีอะไรให้โกรธเคือง

     

       มหามรรคคาที่ถูกตัดขาดของเขา ถูกแก้ไขด้วยหลินมู่ และ หลินมู่รอดชีวิตเพราะหลัวกงฟานอยู่ที่ก้นเหว

    พูดได้แค่ว่าพวกเขาคือกุญแจของกันและกัน เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนเล็กๆในมหามรรคาของกันและกัน มหามรรคไม่ได้ไร้ปราณีมันแค่ไม่สนใจสรรพสิ่ง รวมถึงพวกเขาที่กำลังทวนกระแสอันยาวไกลไร้สิ้นสุดนี้

     

       จะสามารถไปถึงปลายสายน้ำได้หรือไม่ เจ้าก็ต้องพึ่งพาสรรพสิ่งถามตนเองถามใจตนเอง 

    คิดได้เช่นนั้นความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่แฝงเป็นเงามืดในใจลึกๆของหลัวกงฟาน ก็สลายหายไปมันไม่ใช่จิตมารและอุปสรรคของเขาอีกต่อไปแล้ว

     

       เขาจะไม่แพ้ให้มหามรรคา แม้จะตายแล้วกลายเป็นวิญญาณแล้วอย่างไร? เขากลายเป็นวิญญาณกระบี่แล้วอย่างไร?

    มหามรรคาก็ตอบเขาแล้ว ถามตนเองแล้วไม่เสียใจ นั้นคือคำตอบ เขาได้คำตอบแล้ว

     

       เขาไม่ได้ฝึกจิตใจมาเปล่าๆ หากเสียเปล่าก็ได้แต่โทษตนเองที่ทำให้ความรู้ ตอนอาจารย์สอนปากเปียกปากแฉะและตนฟังไม่เข้าหูก็แค่นั้น

    หลินมู่ที่รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอยู่ ก็ลืมตาขึ้นหันไปมองยังศิษย์พี่หลัวของตน

     

       อีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตนเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ว่าไฟนั้นดับไปแล้ว “เมื่อท่านถามใจตนเองแล้วไม่เสียใจ นั้นคือคำตอบ…” หลินมู่พึมพำก่อนจะหันกลับไปขบคิด หาคำตอบของตนเองต่อ

    หลัวกงฟานเกิดสัญญาณการเปลี่ยนแปลง ร่างวิญญาณสั่นสะท้านราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ฟ้าดินภายในถ้ำเปลี่ยนสี

     

       ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง คราวนี้หลัวกงฟานให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป แม้แต่ร่างวิญญาณที่คราแรกยังพร่ามัวก็ชัดเจนขึ้นหลายส่วน เขาลืมตาขึ้นหันไปมองทางหลินมู่พร้อมกับพูดขึ้น

    “ขอบคุณศิษย์น้อง…” หลินมู่ที่ได้ยินคำขอบคุณก็พูดกลับ “ข้าก็ขอบคุณท่านเช่นกัน…” หลัวกงฟานยิ้มแก้มปริ หลินมู่เองก็ยกยิ้มน้อยๆเช่นกัน นี้เป็นคำขอบคุณแรกที่เขาพูดขึ้น

     

       ยังมีอีกหลายคนที่เขาติดค้างคำขอบคุณ ไป๋หยุนเฉิน ไป๋หยงซุน ไป๋เหลียง ซูตง เหลียนฮวาเม่ยลี่ และ อาจารย์ของเขา กวนเจี้ยนโป กับ ตาเฒ่าที่หลอมกระบี่ตงหยู

    เขาติดค้างคำขอบคุณมากมายจริงๆ แม้แต่กรรมเองยังผูกไว้เยอะเช่นกัน เขาต้องค่อยๆทำไปทีละนิด หากรีบร้อนก็ได้แต่ทำเสียเรื่องต้องค่อยเป็นค่อยไป

     

       แต่ก่อนอื่นต้องออกไปจากก้นเหวนี้ให้ได้ ศิษย์พี่หลัวเคยพูดไว้ว่าสิ่งที่จะช่วยเขาออกจากที่นี่ได้คือ เวทย์กระบี่ในตำราสีขาว อย่างอื่นเขาลองมาหมดแล้ว 

    ไม่สามารถตัดม่านสีดำที่ปิดกั้นก้นเหวกับด้านบนได้แม้แต่น้อย กลายเป็นว่าเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้ ที่เวทย์กระบี่สายอาจารย์ของตน หากไร้ทางออกมหามรรคของเขากับหลินมู่ คงไม่อยู่ที่ก้นเหวดำมืดนี้หรอก

     

       หลินมู่จำต้องเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคง เพราะความกดดันวางอยู่บนไหล่ของเขา หากสำเร็จสักวันก็จะได้ออกไปด้านนอกเอง คิดได้สักพักเขาก็เปิดตำราสีขาวอ่านอีกครั้ง ครานี้เขาอ่านพลางสลับหลับตาครุ่นคิด

    ภายในตำราไม่มีอะไรที่เป็นการสอนสั่งเลย มีเพียงประโยคเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งหมายความว่าวิธีการเรียนเวทย์กระบี่แฝงอยู่ในประโยคเหล่านี้

     

       หลินมู่ขบคิดไปมา ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนสักพักก็หลับตาตกอยู่ในภวังค์การขบคิด เขาเข้าภวังค์ตรัสรู้อีกครั้ง

    หากครั้งนี้ไม่อาจทำความเข้าใจ แม้อนาคตจะสามารถเรียนได้สำเร็จและออกไปได้ เขาก็ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของเวทย์กระบี่นี้ได้อีกแล้ว

       

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×