คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 พิภพสุสานเทพเจ้า
สถานการณ์น่าอึดอัดเข้าปกคลุมกลุ่มนักเรียนมัธยมปลาย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น
รู้เพียงว่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน พวกเขายังรวมกลุ่มจ้องมองสุริยุปราคาอยู่เลย
แม้ในกลุ่มสามร้อยกว่าชีวิต จะมีรุ่นน้องและรุ่นพี่บางส่วนปะปนมาอยู่บ้าง
กลับกันไม่แม้แต่จะเห็นเงาของอาจารย์หรือผู้ใหญ่หน้าไหนเลย
มันแปลกประหลาดและพิศวงเกินสามัญสำนึกของพวกเขามากเกินไป “มู่มู่ ฉันไปถามมาแล้วละ!”
หัวหน้าห้องของหลินมู่เดินกลับมาตบบ่าของชายหนุ่มด้วยความร่าเริง “ว่า..”
หลินมู่พูดขึ้นแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องร่างทั้งห้านั้นไม่วางตา “ทั้งห้อง..ไม่สิ…ทั้งสายชั้นมัธยมปลาย ปี 1 อยู่ที่นี้หมดเลย”
หัวหน้าห้องสาวพูดขึ้นอยู่ฉงนงุนงงกับสถานการณ์ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจู่ๆพวกเขาก็มาที่ไหนก็ไม่รู้
ชายหนุ่มใช้มือปิดปากพลางไตร่ตรอง สถานการณ์ตอนนี้ทั้งแปลกประหลาดและซับซ้อน
มันเป็นไปไม่ได้ที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะสงบนิ่งเช่นนี้ ใจจริงตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นๆ
เพียงแค่เขาเก็บกลั้นความรู้สึกเก่งก็เท่านั้น เมื่อไตร่ตรองเสร็จเขาก็หันไปพูดกับหัวหน้าห้องสาวด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความกังวล
“หงหง รวมคนในห้องเราเข้าด้วยกันและยืนเป็นกลุ่มเข้าไว้ ฉันหวังว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้นอีก” หัวหน้าห้องสาวที่หลินมู่
เรียกนางว่าหงหงพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ “สมกับเป็นรองหัวหน้าห้อง หัวไวไว้ใจได้จริงๆ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะหมุนตัวกลับไปและรวบรวมคนภายในห้องของตน เมื่อหลินมู่หันหน้ากลับไปมองยังห้าคนนั้น
เขาต้องขนลุกซู่เพราะทั้งห้ากำลังจ้องมองเขาอยู่ ‘ทำไม? เกิดไรขึ้น?’ ความรู้สึกที่ทั้งห้าจ้องมองมาทางเขา
ทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงตอนยังเด็ก ที่เผชิญหน้ากับอาวุโสในครอบครัวในครั้งแรก
มันทั้งหวาดกลัวแม้แต่จะหายใจก็ยังยาก บางที…ไม่คนทั้งห้านั้นความกดดันมากกว่าครั้งนั้นเสียอีก
ไม่นานคนทั้งห้าก็ละสายตาก่อนจะมองสำรวจไปยังคนอื่นๆ เมื่อได้โอกาสหลินมู่จึงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำให้จิตใจของตนสงบลง
คลื่นกระเพื่อมภายในจิตใจยิ่งสาดซัดหนักขึ้นไปอีก พวกเขากำลังเจออยู่กับอะไรกันแน่?
ทางฝั่งห้าผู้แกร่งกล้า พวกเขากวาดสายตาสำรวจเหล่าเด็กหนุ่มสาวหลังปรึกษาหารือ
น่าประหลาดใจที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งดึงดูดสายตาของพวกเขาทั้งห้าได้ในทันที
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินมู่ที่แสดงท่าที เสมือนจัดการกับเรื่องต่างๆด้วยความสงบ ผิดกับจิตใจจริงๆที่ไม่ต่างจากดินระเบิดที่พร้อมปะทุตอนไหนก็ได้
แสดงให้เห็นถึงความมีระเบียบวินัย และถูกบ่มเพาะฝึกฝนนิสัยบุคลิกมาเป็นอย่างดี
หากพวกเขาไม่อาจมองเห็นหยกดิบที่ยังไม่เจียระไนก้อนนี้ คงโทษได้แค่ว่าพวกเขาตาถั่ว
ควรควักลูกตาโยนให้เป็ดกินเสียเถอะ เมื่อประเมินหลินมู่จนสาแก่ใจก็พากันมองไปยังคนอื่นๆ
น่าเสียดายนอกจากหลินมู่แล้ว มีเพียงอีกห้าคนที่ตรงเป้าหมายและบุคลิกของผู้แกร่งกล้าทั้งห้า
“อะแฮ่ม ข้าว่าเราควรเริ่มจัดสรรได้แล้ว” เป็นกู่ไห่ปาที่พูดขึ้นดึงความสนใจ จากห้าผู้แกร่งกล้าสี่คนที่เหลือ
“ก็ดี รีบลงจากเขากันเถอะ เหล่าลูกหลานของพวกเราคงตื่นเต้นแย่” เป่ยฮัวตู๋พูดพร้อมแสดงรอยยิ้มที่เหี่ยวย่น
“ถือว่าเป็นอันเห็นพ้องสินะ” ไป๋หยุนเฉินพูดตอกฝาโลงในทันที โดยไม่ปล่อยให้ต้าเจียงไท่เซี่ย หรือ เหลียนฮวาเม่ยลี่ ออกความคิดเห็นเพิ่มเติมใดๆอีก
ต้าเจียงไท่เซี่ยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนร้อน เขาเพียงแค่ทำปากขมุบขมิบพึมพำคล้ายกำลังทำนายบางสิ่ง
เหลียนฮวาเม่ยลี่เองก็ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ กลายเป็นว่าการตอกฝาโลงของไป๋หยุนเฉินถือว่าเป็นจุดสิ้นสุด
ไป๋หยุนเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันไปพูดกับกู่ไห่ปาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ไห่ปา เจ้าไปบอกให้เด็กเหล่านั้นตามเรามา เราจะลงจากเขาแล้ว”
พูดจบไป๋หยุนเฉินก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดจากไป ร่างสีครามไต่ลงเขาด้วยความรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาก็หายไปจากสายตา
เป่ยฮัวตู๋เองก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก นอกจากม้วนตัวกลายเป็นหมอกควันสีดำ ลอยหายไปคาดว่าน่าจะลงทางบันไดเกลียว 888 ขั้นนั้น
บันไดแต่ละขั้นสูงประมาณ 20 ฉื่อ หากเป็นคนธรรมดากว่าจะขึ้นมาถึงนี้ได้คงยากมาก
แม้แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพวกตนยังลำบาก ขนาดห้าผู้แกร่งกล้ายังรู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อยเมื่อเดินขึ้นลงทางนั้น
ชายชราไท่เซี่ยหันไปมองเหล่าเด็กหนุ่มสาวอีกครั้ง ก็พบว่าสีหน้าของพวกเขาเริ่มบิดเบี้ยวและแสดงถึงอาการหายใจไม่ออก
ก็ทำไงได้แท่นพิธีกรรมนี้อยู่ซะบนยอดเขา ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนบ้าที่ไหนไม่รู้ที่มาสร้างแท่นค่ายกลไว้บนนี้
ทางเดินบันใดค่อนข้างกว้าง มากพอจะให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆเดินพร้อมกันได้ หกถึงเจ็ดคนหากแออัดหน่อยน่าจะถึงสิบคนได้
ชายชราไท่เซี่ยเลิกสนใจรายละเอียดยิบย่อย ก่อนจะผิวปากเรียกบางสิ่ง
สิ้นเสียงผิวปากของชายชราก็มีบางสิ่งส่งเสียงตอบรับกลับมา ร่างสง่างามสีขาวร่อนลงมาจากกรีบเมฆ
ก่อนจะลงจอดอย่างนิ่มนวลต่อหน้าขายชรา มันคือนกกระเรียนขาวตัวใหญ่ขนมันฟูฟ่องราวกับปุยเมฆ
ตอนมันโผบินเหมือนก้อนเมฆน้อยก็มิปาน เหล่านักเรียนที่เห็นภาพนี้ถึงกับถลึงตา นี้มันอะไร!? นั้นเทพเซียนใช่ไหม!?
พวกเขาทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น ภาพที่ว่าชายชราชุดคลุมสีครามกระโดดลงเขา ว่าตกตะลึงแล้ว
ภาพที่หญิงชรากลายเป็นหมอกดำลอยหายไปนั้นน่าตกตะลึงกว่า แต่พอมาถึงชายชราคล้ายเทพเซียน
ผิวปากเรียกนกกระเรียนขาว เสมือนปุยเมฆน้อยลงมาทำให้พวกเขาสมองรัดวงจร
บางคนหายใจถี่รัวใช้อากาศไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานบางส่วนก็เริ่มหน้ามืดล้มพับลงไป
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลง เหลียนฮวาเม่ยลี่ก็โบกแขนเสื้อปล่อยกดอกบัวออกมา ทำให้บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ชายชราไท่เซี่ยไม่อยู่ต่อนานนัก เขากระโดดขึ้นไปยืนบนนกกระเรียนขาวของตน ก่อนจะร่อนลงหายไปจากยอดเขา
“เอาหละ พวกเจ้าก็รีบลงไปเถอะ ยิ่งอยู่บนนี้นานก็ยิ่งอันตราย โดยเฉพาะพวกเจ้ายังไม่ฝึกฝนวรยุทธ์แล้วยิ่งแล้วใหญ่”
กู่ไห่ปาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก่อนจะเดินนำเหล่านักเรียนมัธยมปลาย ที่ยังคงไม่ตื่นตัวดีเดินลงบันไดวนลงไปเบื้องล่าง
ด้านหลังสุดประกบด้วยเหลียนฮวาเม่ยลี่ แม้เธอจะผิดหวังกับการคว้าโชควาสนา แต่ไม่ได้ว่าเธอจงเกลียดจงชังเด็กเหล่านี้ เธอแค่ถอดถอนใจที่โชควาสนาไม่อาจใช่ของตน
พวกเขาเดินลงบันไดวนอยู่นานสุดท้ายก็ลงมาถึงตีนเขา ระหว่างทางลงเหล่านักเรียนจากโลกปกติ ได้เห็นความมหัศจรรย์มากมาย
ทั้งต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ไม่แพ้เขาลูกนี้ หรือกลุ่มสัตว์ประหลาดที่แปลกตา
ล้วนทำให้จิตใจของเหล่านักเรียนมัธยมปลายตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาเริ่มหวังกับชีวิตใหม่ในที่แห่งนี้
แต่ส่วนใหญ่ยังหวนนึกถึงบ้านของตน หากเป็นไปได้ก็อยากจะหาทางกลับไป
ระหว่างทางลงกู่ไห่ปาอธิบายคล้าวๆเกี่ยวกับโลกใบนี้ โลกนี้ถูกเรียกว่าพิภพสุสานเทพเจ้า
และที่ที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันคือภูเขาท้าสวรรค์ ที่ใจกลางทวีปหลิวซู และต้นไม้ขนาดมหึมานั้นก็คือต้นหลิวบรรพต
มันตั้งอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้วก็ไม่อาจทราบได้ แม้แต่บรรพบุรุษของห้าตระกูลยังไม่อาจรู้
นอกจากทวีปหลิวซูยังมีอีกหนึ่งทวีปใกล้เคียงอย่าง ทวีปปาซวน นอกจากนั้นก็ไม่อาจรู้
เพราะมีทะเลไพศาลขวางกั้นพวกเขาไม่มีอำนาจจะต่อกร ขนาดตำนานยุทธ์หากไม่อับจนหรือใกล้สิ้นอายุขัย ก็จะไม่คิดออกสำรวจทะเลไพศาลเด็ดขาด
นอกจากรอเรือข้ามทวีปจากทวีปปาซวน ทวีปหลิวซูก็เหมือนเกราะโดดเดี่ยวดีๆนี้เอง
แต่ที่น่าตกตะลึงกว่านั้นคือ ขนาดของทวีปหลิวซู เพียงเหล่าคนหนุ่มสาวได้ยินยังกลืนน้ำลายดังเอื้อก
เพราะมันมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของโลกพวกเขา พระเจ้า!!! จากคำเล่าจากปากของตาเฒ่าไห่ปา
ทวีปปาซวนใหญ่กว่าทวีปหลิวซูเกือบสองเท่า แม่เจ้า! นั้นไม่ได้เท่าโลกพวกเขาเลยรึไง!?
แต่ประชากรกลับไม่มากเท่าบนโลก ทวีปหลิวซูมีเพียงไม่กี่สิบล้านเท่านั้น เพราะการรุกรานของสัตว์อสูร และ การต่อสู้กันของผู้ฝึกวรยุทธ์
ทำให้ชีวิตมนุษย์ไม่ต่างอะไรจากกระดาษ ที่จะโดนอะไรมาฉีกกระชากตอนไหนก็ไม่รู้
นอกจากการปะหัตถ์ประหารกันของผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว ยังมีปรากฏการณ์ฟ้าดินที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ธรรมดาจำนวนมาก
เรียกได้ว่าหากมนุษย์ธรรมดาอยู่รอดไปจนแก่ตาย ถือว่ามีวาสนาใหญ่ยิ่งแล้ว
นอกจากนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรอีก เนื่องจากประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่อยู่ในบันทึกโบราณ
แม้แต่ชื่อพิภพสุสานเทพเจ้า ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เรียก หรือต้นตระกูลของห้าตระกูลมาจากทวีปไหนก็ยังไม่มีใครรู้
แต่แค่นี้ก็มากพอจะทำลายสามัญสำนึกเดิมๆของเหล่านักเรียนได้แล้ว โลกที่จอมยุทธ์เดินขวักไขว่ไปมา
ผู้ชายเลือดร้อนคนไหนจะไม่ตื่นเต้น บางส่วนก็ตื่นเต้นจะได้ผงาดเป็นคนใหญ่คนโตกับเขาเสียที
“ข้าพูดมามากแล้ว เอาหล่ะเรามาถึงแล้ว” ตาเฒ่าไห่ปาพูดพร้อมหยุดเดิน
ด้านหน้ามีกลุ่มห้าตระกูลยืนรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาหันมามองเหล่านักเรียนร่วมสามร้อยชีวิต
สายตาของแต่ละคนจ้องมองเด็กเหล่านั้นราวกับทรัพสมบัติ ทำเอาคนจิตใจอ่อนแอบางส่วนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
หลินมู่มองสภาพแวดล้อมด้วยสายตาสงบนิ่ง แต่ภายในหัวเริ่มขบคิดอย่างหนัก
เขาจะทำอย่างไรชีวิตที่เหลือต้องอยู่กับโลกใบนี้หรอ? มันพอมีทางจะได้กลับไปหรือป่าว?
คำถามล้านแปดผุดขึ้นมาไม่หยุด เป็นเวลาเดียวกันที่พระอาทิตย์ดวงโตเริ่มลับขอบฟ้า
ปล่อยให้ฟ้องฟ้าปกคลุมด้วยม่านราตรีสีดำ ที่เต็มไปด้วยดวงดาวละลานตา
ความคิดเห็น