ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 16 ผู้บ่มเพาะอมตะ

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 65


       ที่ก้นเหว ร่างของหลินมู่นอนสลบไม่ได้สติภายในถ้ำสักแห่ง ด้านนอกหยาดพิรุณยังคงโปรยปราย

    ไม่มีทีท่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย สักพักใหญ่หลินมู่ก็ตอบสนองเขาลืมตาขึ้นก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว

     

       สภาพแวดล้อมดำมืดไม่สามารถมองเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตนเอง “ฉันยังไม่ตาย….” หลินมู่พึมพำเสียงแผ่ว

    ใช้เวลาไม่นานดวงตาของเขาก็ปรับสภาพกับความมืด แม้มันจะไม่ช่วยสักเท่าไหร่แต่ก็ดีกว่ามองอะไรไม่เห็นเลย

     

       “เจ้าตื่นแล้วหรือ….” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนค่อนข้างมีอายุดังขึ้น หลินมู่ที่ได้ก็รีบกวาดสายตามองไปยังความมืด

    “ใครกัน!? ท่านเป็นใคร!?” หลินมู่ยืนขึ้นมองไปรอบตัวที่มืดมิด ด้วยความหวาดระแวงตอนนี้เขาอยู่ในหุบเหว

     

       บางทีอาจมีสัตว์ปีศาจหรืออะไรเทือกนั้นอยู่ก็ได้ “ข้าคือใครงั้นหรือ? ข้าคือหลัวกงฟาน ศิษย์ของเซียนกระบี่นิกายเจี้ยนเสินเฟิง…”

    น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูภูมิใจเป็นอย่างมาก แตกต่างจากหลินมู่ที่ตกตะลึงไปแล้วเซียน!!? โลกนี้มีเทพเซียนบนเขาด้วยหรือ!?

     

       หากเป็นความจริงเซียนอาจจะมีพลังมากพอจะส่ง เขากลับไปยังโลกฝั่งนั้นได้หากเขาสามารถ…

    แต่เขาไม่ผลีผลามเขายังไม่แน่ใจว่าใช่เซียนอย่างที่ตนคิดหรือเปล่า คล้ายกับหลัวกงฟานจะรับรู้ได้ว่าหลินมู่คิดอะไรอยู่เขาจึงพูดขึ้นอย่างติดตลก

     

       “เซียนในความหมายของข้า คือเหล่าผู้เป็นอมตะ โบกมือเปิดทะเล นึกคิดควบคุมฟ้าดิน”

    หลินมู่ที่ได้ยินถึงกับดวงตาเบิกโพลง สีหน้าหลินมู่ตกใจเป็นอย่างมาก เป็นขณะเดียวกันที่หลัวกงฟานหัวเราะออกมา

     

       “ตอนข้าเจอกับอาจารย์ครั้งแรก ข้าก็มีท่าทีเช่นเจ้า ตอนนั้นข้าไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ”

    น้ำเสียงของเขาราวกับลำลึกอดีตที่น่าคิดถึงของตน “โอ้แล้วเจ้ามีนามว่าอะไร?” คล้ายกับหลัวกงฟานพึ่งนึกออก จึงถามชื่อของหลินมู่ทันที

     

       “ข้ามีนามว่าหลินมู่ ผู้อาวุโส” หลินมู่พูดขึ้นอย่างถ่อมตน หากเป็นไปได้เขาอยากจะกราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์

    การเดินบนเส้นทางอมตะดูมีความหวังกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์เห็นๆ หากวันใดเขาแข็งแกร่งพอเขาก็อาจจะสามารถย้อนกลับไปได้

     

       “หลินมู่ หรือ? ไม่เลวไม่เลว……” คล้ายกับหลัวกงฟานนึกอะไรขึ้นได้อีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าผู้มีวาสนากับอาจารย์ ก็แซ่หลินหรือ?…”

    หลัวกงฟานพึมพำเสียงเบายากจะได้ยิน เขาเงียบไปนานราวกับกำลังตัดสินใจบางเรื่องอยู่ “หลินมู่เจ้าจะว่าอะไรหรือไม่ ถ้าข้าจะตรวจสอบบางอย่าง”

     

       เสียงของหลัวกงฟานดังขึ้นมาอีกครั้ง หลินมู่ลดความระวังไปหลายส่วนและกำลังนั่งรออย่างสงบ ก็พูดขึ้นอย่างสงสัย “ท่านอาวุโสจะตรวจสอบอะไรหรือ?”

    หลินมู่ถามขึ้นอย่างสงสัย “ข้าจะทดสอบเรื่องเล็กน้อยเจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?” หลินมู่ที่ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าไปมา เขาขบคิดกับตนเอง

     

       เขากลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นคนที่มีรอยยิ้มซ่อนมีดก็ได้ ตบตีกับความคิดตนเองอยู่นานสุดท้ายก็ได้ข้อสรุป “ได้ไม่มีปัญหา”

    เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหากอีกฝ่ายคิดร้ายกับตนจริง ก็โทษที่ตนเชื่อใจคนอื่นง่ายเกินไป

     

       “เจ้าไม่ต้องเครียดทำตัวตามสบาย ใช้เวลาไม่นาน” หลัวกงฟานพูดอย่างเป็นมิตรก่อนจะมีโลหะ เรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆลอยมาทางชายหนุ่ม

    บนป้ายสลักคำว่า 'ปล่อยให้กระบี่นำทาง' หลินมู่กลืนน้ำลายดังเอื้อก ตั้งแต่หลุดมาโลกนี้เขาก็พึ่งเห็นสิ่งเหนือสามัญสำนึกของตนเองเป็นครั้งแรก

     

       ไม่ใช่ลมปราณของผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่มันแหลมคมราวกับคมดาบกระบี่ที่ไร้รูปร่าง “ทำใจให้สบาย มันจะใช้เวลาไม่นาน”

    สิ้นเสียงของหลัวกงฟาน ป้ายโลหะก็ปล่อยแสงออกมาเส้นหนึ่งพึ่งตรงไปจุดหว่างคิ้วของหลินมู่

     

       ถึงตอนนั้นเขาก็ตอบสนองไม่ทันแล้ว ในขณะที่ตกอยู่ในความงุนงงตัวป้ายโลหะก็ราวกับ โดนบางอย่างตีกลับลอยหายไปในความมืด

    หลัวกงฟานที่มองเหตุการณ์นี้อยู่ถึงกับพูดไม่ออก เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นป้ายโลหะของอาจารย์ถูกตีกลับ หมายความว่าเขาคือคนที่อาจารย์พูดถึง!?

     

       กว่าทั้งสองจะตั้งสติได้ก็หลายอึกใจ เหตุการณ์เมื่อกี้มันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เสี้ยวอึดใจเท่านั้น

    พวกเขาทั้งสองจึงตอบสนองอะไรไม่ถูก “หลินมู่…” หลัวกงฟานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

     

       “มีอะไรหรือผู้อาวุโส…” หลินมู่ก็รู้สึกเกร็งๆขึ้นมาเช่นเดียวกัน “เจ้าอยากเป็นศิษย์ของ นิกายเจี้ยนเสินเฟิงหรือไม่?”

    หลินมู่ที่ได้ยินถึงกับแสดงสีหน้าตกตะลึงปนไม่อยากเชื่อออกมา “ท่านจะรับข้าเป็นศิษย์งั้นหรือ?”

     

       หลินมู่ถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ไม่ใช่ข้า แต่ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์แทนอาจารย์ หากเจ้ายอมรับเจ้าก็จะเป็นศิษย์น้องของข้า เจ้ายอมรับหรือไม่?”

    หลัวกงฟานถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากอธิบายเสร็จแล้ว หลินมู่ที่ได้ยินก็ตอบกลับอย่างไม่ลังเลในทันที “ข้าหลินมู่อยากเรียนวิชาเวทย์กระบี่ เพื่อกลายเป็นเซียน!!”

     

       ชายหนุ่มเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว เขายืนขึ้นพร้อมกับกำหมัดแน่นดวงตาฉายชัดถึงความมุ่งมั่น

    “ฮ่าฮ่าฮ่า! ยอดเยี่ยม!!! นับจากนี้เจ้าคือศิษย์น้องของข้า!! หลัวกงฟาน และเป็นศิษย์สืบทอดวิชากระบี่ของท่านอาจารย์!” ในที่สุดเขาก็ทำภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบไว้เสร็จเสียที 

     

       สิ้นเสียงถ้ำที่เคยมืดสนิทก็สว่างไสวขึ้นมาภายในพริบตา ผนังถ้ำมียันต์แผ่นสีเหลืองเปล่งแสงอันนุ่มนวล เผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของหลัวกงฟาน

    คือร่างโครงกระดูกในชุดคลุมสีดำขาดรุ่งริ่ง “ท่าน!?” หลินมู่ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

     

       ดวงตาสั่นระริกจ้องมองไปยังร่างโครงกระดูกนั้น นี้เขาคุยกับผีโครงกระดูกอยู่หรือ? “เจ้าตกตะลึงอะไร? อ๋อเจ้าคงเห็นอดีตร่างกายของข้าแล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า ตกใจละสิ”

    หลินมู่พยักหน้างึกงักก่อนจะรู้สึกตัว “อดีตร่างกาย? แล้วปัจจุบันท่านอยู่ในสภาพไหน?” หลินมู่ถามขึ้นมาอย่างสงสัย

     

       “เจ้าลองเข้าไปมองใกล้ๆข้างร่างเก่าข้าสิ” ด้วยความสงสัยหลินมู่ก็เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบกับกระบี่เหล็กสีดำเล่มหนึ่ง

    “ข้าเห็นแค่กระบี่ดำธรรมดาๆ สรุปแล้วท่านอยู่…ตรง…..ไหน” หลินมู่ปิดปากเงียบมองไปยังกระบี่ดำเล่มนั้น โดยไม่ละสายตา

     

       “ศิษย์น้องเจ้าพูดไม่ออกเลยรึ?” น้ำเสียงขบขันดังออกมาจากกระบี่ดำ หลินมู่ที่พูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ

    “ฮ่าฮ่าฮ่า เอาหล่ะๆข้าจะไม่แกล้งเจ้าแล้ว” สิ้นเสียงกลุ่มควันสีขาวก็ลอยออกมาจากกระบี่ดำ

     

       ประกอบร่างกลายเป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง “แนะนำตัวอีกครั้ง ข้าคือหลัวกงฟาน เป็นศิษย์พี่ของเจ้า” 

    หลัวกงฟานโบกสะบัดแขนเสื้อคลุมที่สร้างจากพลังวิญญาณ แนะนำตัวเองอย่างภาคภูมิ

     

       หลินมู่ที่เห็นถึงกลับถลึงตามองไปยังศิษย์พี่ของตน นี้ตนมีศิษย์พี่เป็นผีงั้นหรือ???

    ในขณะที่หลินมู่ยืนนิ่งสมองล้มเหลวอยู่นั้น หลัวกงฟานก็เดินวนรอบตัวชายหนุ่มราวกับพยายามมองหาบางอย่าง

     

       “สภาพข้ากับอาจารย์ไม่ต่างกันนัก แต่ข้าย่ำแย่กว่าอาจารย์หลายขุม ไม่เพียงเพราะขอบเขตข้าต่ำ แต่เพราะจุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือเส้นเลือดปฐพี ที่แปดเปื้อนโดยวิญญาณปีศาจเป็นจำนวนมาก ข้ายังแปลกใจในช่วง 200 ปีนี้ ข้าสามารถเอาตัวรอดมาได้"

    หลัวกงฟานพูดอธิบายสถานการณ์ของตนคร่าวๆ หลินมู่มุมปากกระตุก นี้ตนมีอาจารย์กับศิษย์พี่เป็นผีหรือนี้?

     

       “แล้วตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ไหน?” หลินมู่ถามออกมาตามจิตสำนึก “อาจารย์อยู่บนยอดเขาที่สุดขอบตะวันออก ตอนนี้ท่านน่าจะจำศีลอยู่”

    หลัวกงฟานพูดขึ้นพร้อมกับเดินเอาร่างวิญญาณของตน หยิบกระบี่ดำและเขี่ยโครงกระดูกของตนอย่างไม่ทุกร้อน เขากำลังค้นหาบางสิ่ง

     

       หลินมู่มองการกระทำที่ไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีกครั้ง

    “แล้วเซียนทุกคนที่ตายจะเป็นแบบนี้ทุกคนรึเปล่า?” หลัวกงฟานที่เขี่ยกายหยาบเก่าของตนอยู่ ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

     

       “ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เท่าที่ข้าได้ยินท่านอาจารย์เล่ามา พวกเราเซียนกระบี่ฝึกฝนคนละสาย จุดเด่นของพวกเราไม่ได้อยู่ที่อายุขัยอันยืนยาว แต่เป็นเวทย์กระบี่ที่มีอนุภาพสังหารน่าครั่นคร้าม และ อีกอย่างหนึ่ง วิญญาณของเซียนกระบี่อย่างเราๆแข็งแกร่งอย่างมาก”

    หลัวกงฟานคล้ายค้นเจอในสิ่งที่ตนต้องการ ก็นั่งลงคว้าบางสิ่งที่คล้ายกับถุงใส่เงินสภาพเก่าๆ 

     

       “แล้วขอบเขตฝึกฝนเราแบ่งกันอย่างไร?” หลินมู่ถามขึ้นมาอีกครั้ง หลัวกงฟานก็ตอบกลับโดยไม่แสดงท่าทีรำคาญใดๆ กลับกันเขาอยากให้หลินมู่ถามคำถามอีกเยอะๆ เขาไม่ได้คุยกับคนมา200ปีแล้ว

    ปากก็คันมานาน นานๆทีก็จะมีพวกวิญญาณร้ายเกิดจากเส้นเลือดปฐพี ขึ้นมานั่งจ้องหน้ากับตนบ้างแต่นานๆที

     

     “ขอบเขตฝึกฝนของเซียนอย่างเราๆ จะเรียกรวมๆว่า ปฐพีที่ 1 2 3 นภาที่ 1 2 3 ชื่อเรียกแต่ละภพและแต่ละเผ่าก็ต่างกันไป หากวันใดเจ้าสามารถออกจากเกาะแห่งนี้ และไปสู่มหาทวีป ก็จงจำสิ่งที่ข้าพูดไว้”

    หลัวกงฟานอธิบายไปพลางหยิบของออกมาจากถุงเก่าไปพลาง “โดยชื่อเรียกในสายเซียนกระบี่ ที่ภพสุสานเทพเจ้าเรียกกันคือ ปฐพีที่ 1 ขัดเกลาจิตใจ ปฐพีที่ 2 แสวงมรรค ปฐพีที่ 3 แม่น้ำมหามรรคา ตั้งแต่ นภาที่ 1 ขึ้นไปข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ไม่ได้บอกข้าเอาไว้”

     

       พูดจบหลัวกงฟานก็โยนตำราเล่มหนึ่งให้หลินมู่ เมื่อหลินมู่รับมาดูก็เห็นบนปกเขียนไว้ว่า ทักษะขัดเกลาจิตใจ

    สั้นๆงี้เลย? หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะเปิดอ่าน และพบกับความจริงว่าเขาอ่านไม่ออกสักตัว ที่เขียนอยู่บนปกน่าจะเป็นฝีมือของหลัวกงฟานแน่นอน

     

       “จริงสิข้าลืมไป ตำราเขียนด้วยภาษาทางการของมหาทวีปเจี้ยน ข้าต้องสอนภาษามหาทวีปเจี้ยน กับ ภาษากลางของพิภพสุสานเทพเจ้าให้เจ้าด้วย”

    หลัวกงฟานพูดด้วยสีหน้าเขินๆ ตนลืมไปสนิทเลยว่าศิษย์น้องของตนอ่านภาษาทางการมหาทวีปเจี้ยนไม่ออก

     

       “ข้าจะสอนเจ้าอ่านภาษาทางการของทวีปและภาษากลางของภพ ทักษะในมือของเจ้า เจ้าต้องใช้มันฝึกฝนจนถึง ปฐพีที่ 2 ส่วนอันนี้คือวิชาเวทย์กระบี่สายของอาจารย์ เท่าที่ข้าจำได้อาจารย์ได้สืบทอดมาจากอาจารย์ปู่อีกที”

    หลินมู่รับตำราสีขาวมาอ่านแต่ก็โดนความจริงตีหน้าอีกครั้ง เขาอ่านไม่ออกหลัวกงฟานที่เห็นศิษย์น้องใบหน้าเขียวคล้ำ ก็รีบพูดขึ้นมาทันที

     

       “บนปกเขียนว่า เวทย์กระบี่ดวงตาแห่งกระบี่ เป็นวิชาสายสืบทอดของอาจารย์ ข้ามันไร้พรสวรรค์เลยฝึกไม่สำเร็จ คงต้องฝากความหวังไว้กับเจ้าแล้วหล่ะศิษย์น้อง”

    หลินมู่ยิ้มแห้งก่อนจะฝึกตน เขาคงต้องเรียนภาษากับศิษย์พี่คนนี้ก่อนแล้วหล่ะ “ขอบเขตบ่มเพาะของศิษย์พี่ สูงเท่าไหร่หรือ?”

     

       หลัวกงฟานนิ่งสนิทก่อนจะเบือนหน้าหนีตอบเสียงแผ่ว “ข้าอยู่ปฐพีที่ 1 มีจิตกระบี่ 67 เส้น ถ้าจะให้พูดเป็นของที่แห่งนี้ ข้าอยู่ขอบเขต 6 ราชายุทธ์….”

    หลินมู่ปิดปากเงียบแต่จู่ๆเขาก็นึกอะไรได้ ไม่ใช่ว่ามารกระบี่เมื่อ 200 ปีก่อน ก็อยู่ขอบเขตราชายุทธ์เหมือนกันหรือ?

     

       “200 ปีก่อนข้าตกลงมาในเหวนี้ ทำให้ขอบเขตข้าไม่พัฒนาอีกเลย….” เป็นหลัวกงฟานที่ตอบกลับมา ชัดเจนไม่ต้องสืบเพิ่มเติมมารกระบี่ที่ว่ามาคือศิษย์พี่ของตน

    เกิดอะไรขึ้นทำไมศิษย์เซียนกระบี่ ถึงกลายเป็นมารในเรื่องเล่าได้ล่ะ ศิษย์พี่คนนี้ของตนทำอะไรไว้กับแน่??

       

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×