ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #151 : ตอนที่ 151 บอกลาสหายเฒ่า

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 66


       ยามเที่ยงวันของวันถัดมาหนึ่งบุรุษและดรุณีน้อย กำลังยืนนิ่งงันหน้าจวนขนาดมหึมา “อาจารย์ท่านรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นนี้ด้วยหรือ?” ผิงฮวาน้อยถามอาจารย์ของนางอย่างไม่แน่ใจ

    หลินมู่ใช้มือลูบคางพร้อมตอบกลับ “อืม ข้ารู้จักสหายเฒ่าท่านนี้ หลังจากถามผู้คนมากมายตามหัวเมืองสำคัญ ว่าบ้านของปรมาจารย์เจียงซวีอยู่ที่ใด พวกเขาก็บอกว่าที่นี่กันหมด” 

     

       พูดจบก็มีชายชรายิ้มแย้มผู้หนึ่งเดินมาจากซุ้มประตู พร้อมป้องหมัดให้ทั้งสองและถามถึงจุดประสงค์ หลินมู่กล่าวไปตามตรงว่ามาเยี่ยมสหาย ได้โปรดนำข่าวไปแจ้งปรมาจารย์เจียงซวีว่า สหายน้อยหลินมู่มาเยี่ยมเยียน

    ชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูจวนสกุลเจียง มองหลินมู่อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็นำคำพูดของชายหนุ่ม ไปแจ้งให้ผู้นำสกุลทราบแล้วค่อยให้ผู้นำสกุล ไปแจ้งให้ท่านปรมาจารย์อีกที

     

      หลังจากแจ้งจุดประสงค์เสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ยืนเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อรอให้คนออกมาต้อนรับ ผิงฮวาน้อยกระพริบตาปริบๆ พยายามขบคิดว่าอาจารย์ของนางเอาเวลาไหน ไปทำความรู้จักกับสหายเช่นนี้จากทางเหนือ

    สักพักชายชราเฝ้าซุ้มประตูก็กลับมา เขาบอกหลินมู่ว่าหากเป็นเรื่องจริง จะมีพ่อบ้านมาพาเข้าไปในจวนหากไม่ได้โปรดจากไปแต่โดยดี หลินมู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่ได้มาสร้างปัญหาอยู่แล้ว หากอีกฝ่ายไม่ว่างคงไว้โอกาสหน้าในอนาคต

     

        ผ่านไปอีก 1 ถ้วยชาพ่อบ้านในชุดคลุมหรูหรา ก็เดินออกมาจากจวนผ่านซุ้มประตูทักทายชายชราเฝ้าซุ้มประตู ก่อนจะเดินเข้าหาหลินมู่ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ท่านคงเป็นสหายของท่านปรมาจารย์ เชิญคุณชายท่านปรมาจารย์รอพบท่านอยู่”

    ทั้งสองเดินตามพ่อบ้านเข้าไปในจวนอันใหญ่โต ผ่านทางเดินและสวนดอกไม้หลายแห่ง จนมาถึงเรือนแยกแห่งหนึ่งภายในสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่ง พ่อบ้านที่นำทางเสร็จก็ขอตัวจากไป

     

       หลินมู่ป้องมือขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะ พาผิงฮวาเดินไปอยู่หน้าประตูของเรือนหลังนั้น เขายื่นมือไปเคาะประตูสองครั้ง คนด้านในก็ตอบกลับมา “เข้ามาสิสหายน้อย” 

    น้ำเสียงโผงผางดังขึ้นเชิญให้หลินมู่เข้าไปด้านใน ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปด้านในพร้อมดรุณีน้อย ก็พบกับโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่งอยู่ใจกลางเรือน สหายเฒ่าเจียงซวีกำลังนั่งส่งยิ้มมาให้ตน อีกฝ่ายสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงินตัวหลวมโครก หนวดเครายาวขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ดวงตาดุจพญาอินทรียังคงไว้ซึ่งความดุดันเช่นเคย

     

        ชายหนุ่มกวาดตามองสำรวจอีกฝ่าย เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ “ท่านได้รับบาดเจ็บหนักหนาน่าดู” สหายเฒ่าเจียงซวีหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน 

    เขาใช้มือซ้ายชี้ไปยังแขนขวาที่ถูกดามไว้อยู่ พร้อมฉีกยิ้มกว้าง “แค่แขนข้างเดียว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงถึงอย่างไร แขนข้างนี้ข้าแลกกับโอกาส ได้บดขยี้กะโหลกของราชายุทธ์ จากพรรคมารผู้หนึ่งสะใจยิ่งนัก!”

     

        ชายหนุ่มพาเด็กสาวนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา รับฟังสหายเฒ่าเล่าถึงสถานการณ์สงครามของภาคเหนือ แม้ภายหลังพรรคมารจะถอนทัพไปเสริมกำลังทางตะวันออก แต่ความเสียหายของภาคเหนือก็ใช่ว่าจะเล็กน้อย

    มีสกุลยุทธ์มากมายสูญเสียเสาหลักบรรพจารย์ บางสกุลบุรุษถึงกับตกตายจนสิ้นไม่เหลือผู้สืบทอด หรือแม้แต่ถูกกวางล้าง นี้เป็นเพียงสงครามระยะสั้นๆหากถูกลากยาวออกไป ฝ่ายธรรมะก็จะถูกบดขยี้อย่างช้าๆ

     

       แต่โชคยังดีที่จู่ๆจอมมารก็เรียกผู้ฝึกฝนมารทั้งหมด ถอยกลับไปยังภูเขาร้อยอสูร ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์น้อยใหญ่คาดเดาว่าศึกระหว่างจักรพรรดิยุทธ์ และ จอมมารที่ภาคกลางก่อนหน้า

    อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องถอยร่น แม้จักรพรรดิยุทธ์จะบาดเจ็บไม่แพ้กัน แต่จอมมารก็ไม่ลงมืออะไรอีกคาดว่าสงครามครั้งนี้หยุดลงแล้วชั่วคราว

     

       หลินมู่พยักหน้าพร้อมจิบชาอย่างผ่อนคลาย ใจนึงก็อยากจะบอกว่าสงครามกลียุคจบไปแล้ว แต่ปล่อยไว้เช่นนี้ก็ดีอย่างไรเสียคนที่ตื่นตัวก็มักจะตอบสนองเร็วกว่าเสมอ เป็นการป้องกันไว้ก่อนเผื่อจอมมารจะลงมือทำอะไรกระทันหัน

    ผิงฮวาที่นั่งอยู่ด้านข้างก็รับฟังอย่างสนอกสนใจ แม้ที่ภาคตะวันตกจะเกิดการปะทะอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนยิ่งใหญ่พอจะเรียกว่าสงครามเลย นางจึงสงสัยว่าสงครามที่ว่ามันโหดร้ายและยิ่งใหญ่เพียงใด

     

       สองศิษย์อาจารย์ฟังชายชราเล่าสถานการณ์เกี่ยวกับสงคราม อยู่นานสองนานสุดท้ายก็มาถึงตอนที่สหายเฒ่า แลกแขนขวาเพื่อขยี้กะโหลกของราชายุทธ์ ที่บาดเจ็บสาหัสของพรรคมารมาได้หนึ่งคน

    สำหรับเจ้ายุทธ์ผู้หนึ่งการได้สังหารราชายุทธ์ในสนามรบ ถือเป็นเกียรติยศที่ยากจะได้พบพานสักครั้ง แม้เขาจะไม่อยู่แล้วแต่เกียรติยศและบารมีที่สร้างเอาไว้ จะปกป้องลูกหลานไปอีกนานจนกว่าจะมีเสาหลักคนใหม่โผล่มา

     

        สหายเฒ่าจิบชาดับกระหายก่อนจะถามชายหนุ่มอย่างสงสัย “สหายน้อยเด็กสาวผู้นี้คือใครหรือ?" สหายเฒ่าถามอย่างสงสัย พร้อมลูบเคราตนเองไปพลาง ชายหนุ่มรินชาให้ตนเองพร้อมแนะนำเด็กสาว

    “นางมีนามว่าผิงฮวา นางเป็นลูกศิษย์ที่เจอกันด้วยวาสนาอย่างบังเอิญ ข้ารับนางเป็นศิษย์เมื่อไม่นานมานี้ แต่พึ่งได้สั่งสอนอะไรจริงจังเมื่อไม่กี่วันก่อน” ชายชราพยักหน้าอย่างเข้าใจ

     

        พร้อมถามเด็กสาวว่าช่วยแสดงกระบี่ให้ดูได้หรือไม่ เด็กสาวแสดงท่าทีลังเลหันไปหาชายหนุ่มเพื่อขอความเห็น หลินมู่พยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้นางแสดงกระบี่ เขาก็อยากรู้เช่นกันว่าเด็กสาวพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว จึงใช้โอกาสนี้เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของเด็กสาว

    “ผิงผิงจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง!!” พูดจบนางก็ลุกขึ้นชักกระบี่อ่อนออกจากฝัก เริ่มแสดงกระบวนท่าในตำรากระบี่ ชายหนุ่มนั่งมองจากด้านข้างก็พยักหน้าเล็กน้อย ผิดกับชายชราเขาถลึงตาอ้าปากพะงาบพะงาบ

     

       เมื่อเด็กสาวแสดงเสร็จนางก็เดินมาหาชายหนุ่มอย่างยิ้มแย้ม “เก่งมาก” เขาลูบหัวของเด็กสาวอย่างเอ็นดู แต่อนิจจา ผิงฮวาน้อยกลับถอยหลังหลบฝ่ามือของชายหนุ่ม “อาจารย์อย่าลูบหัวผิงผิงนะ เดี๋ยวก็ตัวไม่โตขึ้นหรอก”

    ชายหนุ่มนิ่งงันก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นหรอ สหายเฒ่าคิดเช่นไรบ้าง ข้าคิดว่านางยังขยับบางท่าแข็งทื่อไปบ้าง ท่าที่ 3 ในชุดที่ 2 ก็ออกแรงไม่พอ อย่างท่าทางสุดท้ายนางยังช้าอยู่เล็กน้อย” สหายเฒ่าจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม

     

       พร้อมเข็ญเสียงรอดไรฟัน “ข้าคิดเช่นไรหรือ? คิดว่ามาตรฐานของเจ้ามันสูงไปแล้วไงละ!! นางอายุเท่าใดกัน!? ทำได้ขนาดนี้แม้แต่มือกระบี่บางคน ยังต้องอายุหลักร้อยปีที่หมกหมุ่นอยู่กับกระบี่ กว่าจะแสดงอารมณ์และท่าทางได้เช่นนาง! แต่นางล่ะยังไม่ถึง 20 ปีเลยกระมังนี้มันอัจฉริยะ แม่หนูน้อยเจ้าสนใจมาเป็นสะใภ้ของจวนข้าหรือไม่!!?”

    ผิงฮวาที่ถูกถามอย่างกระทันหันก็อ้ำอึ้ง ไปไม่เป็นแต่หลินมู่กลับกล่าวขัดขึ้นมาก่อน “เฮ้ยๆ ท่านจะแย่งลูกศิษย์ช้าหรืออย่างไร!? นางยังไม่ถึงวัยตกแต่งเข้าบ้านใคร ในฐานะอาจารย์ของนางข้าก็ถือเป็นบิดานางครึ่งตัว จะให้ข้านั่งเฉยๆดู ท่านเล็งลูกศิษย์ข้าให้กับหลานชายท่านเรอะ!?”

     

       สหายเฒ่าตอบกลับฉับไวด้วยใบหน้าจริงจัง “แน่นอน! นางคืออัจฉริยะเมื่อถึงเวลาที่จะฝึกฝน เพียงรากฐานของนางในตอนนี้ก็เพียงพอจะไปถึงราชันย์ยุทธ์ไม่ยาก ดีไม่ดีอาจจะไปถึงจักรพรรดิยุทธ์!! จักรพรรดิยุทธ์เลยนะ!! จวนสกุลฝึกยุทธ์ใดจะไม่อยากตกแต่งนางเข้าเรือน!!?”

    หลินมู่ยิ้มแห้งก่อนจะถอนหายใจ “เอาเถอะเรื่องอนาคตไว้วันหลัง ข้าจะให้นางกับหลานท่านได้ลองพบกันดูในอนาคต แต่ที่ข้ามาวันนี้ข้ามาบอกลาท่าน…” ผิงฮวากระพริบตาปริบๆ เหตุใดบทสนทนาจึงเปลี่ยนไปมารวดเร็วเช่นนี้ ตอนแรกก็คุยเรื่องอนาคตนาง แต่จู่ๆก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องเฉยเลย ชายหนุ่มเริ่มเล่าสถานการณ์คร่าวๆให้กับสหายเฒ่าฟัง

     

       สหายเฒ่าขบคิดย่อยข้อมูลสักพักก่อนจะกล่าวออกมา “หลังจากเจ้าบอกลาข้าเสร็จ คงไปบอกลาเจ้าหัวล้านเฒ่านั้นต่อสินะ” หลินมู่พยักหน้าเป็นการยอมรับ สหายเฒ่าเจียงซวีหยิบม้วนจดหมายอันหนึ่งออกมา

    พร้อมอธิบายว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ที่หลินมู่จะมาถึงเจ้าหัวล้านชุดขาว หรือ ภิกษุเฒ่าได้ส่งจดหมายมาให้เขา บอกว่าตอนนี้วัดไม่เปิดรับแขกเป็นเวลา 1 ปี ภิกษุเฒ่าจึงแจ้งข่าวให้สหายอย่างเจียงซวีรู้

     

        ภิกษุเฒ่าเองก็อยากแจ้งเรื่องนี้ให้หลินมู่รู้เช่นกัน แต่เขาไม่รู้ว่าหลินมู่อยู่ไหนจึงได้แต่แจ้งมาในจดหมาย ว่าหากสหายเจียงซวีพบหลินมู่ก็บอกเรื่องนี้กับเขาด้วย 

    ชายหนุ่มวางจดหมายลงก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งในรอบวัน ไม่คิดเลยว่าทางมหาทวีปไคหมิงจะเข้ามาในทวีปหลิวซูแล้ว หลังจากบอกลาและเขียนจดหมายไว้ให้ภิกษุเฒ่า

     

       ชายหนุ่มก็เตรียมจากไปยังมีอีกที่สองที่ ที่เขาต้องไปให้ได้ก่อนจะเริ่มเดินทางออกจากทวีป ก่อนจะจากไปเขาก็บอกสหายเฒ่าเจียงซวีว่าจะติดต่อตนได้เช่นไร ขอเพียงส่งจดหมายไปยังหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว ให้พวกเขาส่งไปยังนิกายเจี้ยนเสินเฟิงอีกที

    สหายเฒ่าพยักหน้าบอกว่าตนรับรู้แล้ว เขาเดินออกมาส่งหลินมู่กับผิงฮวาหน้าประตู มองสองศิษย์อาจารย์กลายเป็นรุ้งขาวหายไปบนฟากฟ้า เขาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเสร็จ ชายชราก็ม้วนตัวกลับไปนั่งอยู่ภายในเรือนเงียบๆ เฝ้ารอวันเดินทางของอีกฝ่าย 

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×