ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #150 : ตอนที่ 150 ก่อนจะจากไป

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 66


       เพียงดวงตะวันลอยขึ้นจากขอบฟ้าชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้า เต็มไปด้วยร่องรอยคมดาบและรอยไฟแผดเผา เดินคู่กับเด็กสาวผ่านหุบเขาสีดำ เพียงเดินเข้าหมู่บ้านศิลานิล ทั้งสองก็เป็นจุดสนใจของชาวบ้านในทันที

    เหล่าชาวบ้านมองสองผู้มาเยือนอย่างสนใจ สักพักพวกเขาก็นึกออกก่อนจะร้องเรียกใครบางคน จูหยงอันที่ร่างสูงขึ้นเล็กน้อย เข้าวิ่งมายังหน้าหมู่บ้านสายตาของชายหนุ่ม ก็สะดุดบนร่างที่ตนคุ้นเคยทันที

     

       “อาวุโสเราพบกันอีกแล้ว” จูหยงอันทักทายหลินมู่อย่างสนิทสนม เขาพยักหน้าพร้อมยื่นน้ำเต้าให้อีกฝ่าย จูหยงอันรับน้ำเต้าพร้อมเปิดจุก ดื่มสุราสองสามอึกก่อนจะยื่นคืนให้หลินมู่

    หลินมู่เทสุราเข้าปากก่อนจะกล่าวจุดประสงค์ของตนเอง “ข้ามาครั้งนี้ เพื่อบอกว่าอีกไม่นานข้าจะไปจากทวีปหลิวซู อาจจะเป็นเรื่องยากที่เจ้ากับข้าจะได้เจอกันอีก เพื่อให้การประลองระหว่างข้ากับเจ้า ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้….”

     

        หลินมู่ค่อยๆอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของทวีปหลิวซูพอสังเขป ระหว่างนั้นจูหยงอันก็เปลี่ยนสีหน้ามากมาย เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มบอกกับอีกฝ่ายว่าจะติดต่อกับตนเช่นไร

    พร้อมตบบ่าอีกฝ่ายแล้วจากไป แม้หลินมู่จะพาผิงฮวาจากไปได้สักพักแล้ว แต่จูหยงอันยังคงยืนนิ่งพยายามทำความเข้าใจ มุมมองใหม่ของโลกนี้อย่างเชื่องช้า

     

        บนท้องฟ้าเหนือหมู่เมฆารุ้งขาวเส้นหนึ่ง กำลังพุ่งตรงไปยังเมืองหลิวบรรพต ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวชายหนุ่มและดรุณีน้อยนางหนึ่ง ก็ร่อนลงมาห่างจากเมืองหลิวเพียงไม่กี่ลี้

    “ท่านอาจารย์! ในอนาคตผิงผิงจะขี่กระบี่บินเฉกเช่นอาจารย์ได้หรือไม่!?” นางถามออกมาอย่างกระตือรือร้น ระหว่างทั้งสองเดินตามถนนไปยังเมืองหลิว หลินมู่หัวเราะเล็กก่อนจะเริ่มอธิบาย

     

       เขาเริ่มสั่งสอนศิษย์ของตน ว่าควรบ่มเพาะเช่นไร ฝึกฝนเช่นไรสิ่งที่ควรรู้ และ สิ่งที่ไม่ควรทำ เรื่องเหล่านี้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง และ จากการตั้งคำถามกับอาจารย์ของตน

    สมองน้อยๆของผิงฮวา เริ่มซึมซับความรู้มากมายอย่างช้าๆ ค่อยๆแกะเอาส่วนสำคัญ ในคำพูดของหลินมู่ออกมาทีละเล็กทีละน้อย ชายหนุ่มที่เห็นลูกศิษย์ของตนเดินไปขมวดคิ้วไป ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเอื้อมมือไปลูบหัวของนางเบาๆ

     

       พร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้าไม่ต้องรีบทำความเข้าใจตอนนี้ ในอนาคตยังมีโอกาสอีกมากมาย ตอนนี้เพียงฟังและจดจำ เมื่อถึงคราวที่เจ้าฝึกฝนจริงๆ ความรู้เล็กน้อยที่ข้ากล่าวไปจะเป็นสิ่งต่อยอด ให้เจ้าศึกษาความรู้ที่สูงไปกว่านี้”

    เด็กสาวพยักหน้าเลิกขบคิดเรื่องพวกนั้นไปก่อน แต่จริงๆแล้วลึกๆนางยังคง พยายามทำความเข้าใจคำพูดเหล่านั้นอยู่ เห็นเช่นนั้นผู้เป็นอาจารย์เช่นหลินมู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า ให้กับความพยายามและความดึงดันของศิษย์ตนเอง

     

        เพียงไม่นานสองศิษย์อาจารย์ก็มาถึงเมืองหลิว เจรจากับยามเฝ้าประตูอยู่สักพัก ทั้งคู่ก็เข้าเมืองไปโดยไร้ปัญหา ในระหว่างที่ทั้งสองเดินอยู่ในถนนการค้า ผิงฮวาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วย กลิ่นอาหารเย้ายวนชวนน้ำลายสอ 

    เพียงไม่นานท้องน้อยๆของนางก็ร้องโครกออกมา ชายหนุ่มหัวเราะพร้อมกล่าวอย่างใจดี “เจ้าคงหิวแล้วกระมัง” เด็กสาวใบหน้าแดงเล็กน้อย นางรีบปฎิเสธอย่างทันท่วงที “ไม่!! ไม่ใช่เสียงท้องของผิงผิง เสียงท้องของอาจารย์นั้นแหละ”

     

       ชายหนุ่มยิ้มแย้มพร้อมพูดออกมา “ใช่ๆ เสียงท้องข้าเองเอาหล่ะ หาอะไรกินกันเถอะจากความวุ่นวายเมื่อคืน เจ้าเองคงยังไม่ได้กินอะไรเลย” เด็กสาวก้มหน้าเล็กน้อยเพราะความเอียงอาย 

    นางไม่อยากให้อาจารย์รู้ว่าตนฝึกเหวี่ยงกระบี่ จนลืมกินข้าวปลาอาหารพอหมดแรงก็ลำบาก เหล่าพี่สาวคนรับใช้แบกกลับไปยังห้องและหาข้าวปลามาให้ กลับกันผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้สนใจเลย

     

       เขาเลือกร้านอาหารที่ค่อนข้างมีราคา เดินเข้าไปนั่งก่อนจะสั่งอาหารไปหลายอย่าง คราแรกเหมือนเสี่ยวเอ้อร์จะไม่ตอบรับเขาเท่าไหร่นัก แต่หลังจากหลินมู่โยนตำลึงทองลงบนโต๊ะ เสี่ยวเอ้อร์ก็รีบวิ่งเข้ามาบริการด้วยรอยยิ้มเบิกกว้าง เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    พริบตาเดียวอาหารเลิศรสมากมายก็วางอยู่จนเต็มโต๊ะ ผิงฮวาน้อยที่ท้องร้องโครกครากมาแต่เมื่อกี้ ก็ไม่รออะไรอีกรีบจับตะเกียบจ้วงข้าว และ คีบกับเข้าปากอย่างมูมมาม

     

       กลับกันหลินมู่ค่อยๆกินอย่างเชื่องช้า หันไปคีบชิ้นเนื้อให้ดรุณีน้อยเป็นระยะ เด็กสาวยิ้มแย้มคีบเนื้อในจานให้อาจารย์ของนางเช่นกัน ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังกินข้าวอยู่นั้น

    บริเวณถนนการค้ากลุ่มคนของตระกูลหยินหยาง หรือ ตระกูลเหลียนก็เดินทางเตรียมกลับหุบเขาดอกบัวของพวกนาง หลินหลงที่อยู่ในหมู่หญิงสาวของตระกูลเหลียนฮวา บังเอิญมองเข้าไปในร้านอาหาร ก็สะดุดเข้ากับหลินมู่ที่กำลังกินข้าวอยู่กับเด็กสาวผู้หนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้า เวลาเช่นนี้แทนที่จะฝึกฝน

     

       กลับมาเลี้ยงเด็กสาวผู้หนึ่งช่างใช้เวลาได้สิ้นเปลื้องนัก เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับนาง คิดได้เช่นนั้นหลินหลงก็รีบพากลุ่มคนตระกูลเหลียนฮวาออกจากเมืองหลิว ไม่หันกลับมามองอีก 

    หลินมู่ที่นั่งอยู่ในร้านอาหารก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายเช่นกัน เขาส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจก่อนจะเริ่มกินต่อ ผิงฮวาที่เห็นว่าอาจารย์ของตนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ จึงถามออกมาอย่างสงสัย หลินมู่เคี้ยวข้าวอยู่สักพักก็ตอบกลับสั่นๆว่า 

     

       ตนเห็นคนรู้จักเก่าโดยบังเอิญ หลังจากทั้งคู่จัดการกับอาหารบนโต๊ะเสร็จ ทั้งคู่ก็กลับมาเดินไปตามถนนการค้าอีกครั้ง ผิงฮวาที่ยังไม่รู้จุดหมายจึงถามหลินมู่ว่า เขาจะพานางไปที่ไหน 

    ชายหนุ่มตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ว่ามาหาเพื่อนเก่าบางคน ทั้งคู่เดินไปอีกไม่นานก็มาหยุดอยู่บริเวณหน้าจวนเจ้าเมือง ทหารเกราะทองที่สังเกตเห็นก็รีบเข้ามาถามอย่างสงสัย เมื่อได้ความหนึ่งในนั้นก็รีบนำเรื่อง 

     

       ไปแจ้งให้เจ้านายของตนได้รับรู้ ไม่นานนักเจ้าเมืองหลิวก็ออกมาหาชายหนุ่ม พร้อมบอกให้ทหารเกราะทองไปทำหน้าที่ของตน ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลามากนัก จึงรีบถามว่าตอนนี้เจ้าลาเทาอยู่ที่ไหนแล้ว

    เจ้าเมืองหลิวเองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อรับรู้ว่าเจ้าซุยโก๋ยังอยู่ที่คอกม้าเช่นเดิม เขาก็เดินไปพร้อมบอกเจ้าเมืองหลิวไม่ต้องตามมา เจ้าเมืองหลิวทำตามกลับไปทำหน้าที่ของตน ปล่อยให้หลินมู่เดินผ่านจวนเจ้าเมือง

     

        เข้าถึงสวนหย่อมโดยไม่มีใครเข้าขัดขวาง เดินไปไม่นานเขาก็พบกับคอกม้าแสนคุ้นเคย และ ในนั้นก็มีเจ้าลาเทาตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่อย่างเกียจคร้าน ผิงฮวาที่เห็นเจ้าลาเทาลายด่างที่ตนคุ้นเคย

    ก็วิ่งเข้าหามันอย่างร่าเริง “ซุยโก๋!!” สิ้นเสียงร่างเล็กของนางก็กระโดดทับเจ้าลาเข้าให้ เจ้าซุยโก๋สะดุ้งโหยงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พอเห็นว่าใครที่เป็นคนกระโดดทับมัน มันก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมา

     

        มันเล่นกับเด็กสาวอย่างสนิทสนม ไม่นานมันก็สังเกตเห็นร่างเงาที่คุ้นเคย หลินมู่ยิ้มให้เจ้าลาพร้อมกล่าวอย่างติดตลก “ช่วงนี้น่าจะใช้ชีวิตสบายมิน้อย” เจ้าลาที่ได้ยินก็หายใจฟึดฟัด เดินเข้ามาเอาหัวดันร่างของอีกฝ่าย

    หลินมู่ยิ้มน้อยๆพร้อมยื่นมือไปดันหัวเจ้าลาเอาไว้ “เอาหล่ะๆ ข้าไม่ค่อยมีเวลานัก” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เล่าสถานการณ์คร่าวๆให้เจ้าซุยโก๋ฟัง เจ้าซุยโก๋ที่เป็นสัตว์ที่เปิดภูมิปัญญาไว้ครึ่งนึง

     

       ก็สามารถทำความเข้าใจคำพูดของชายหนุ่มได้ไม่ยาก มันขมวดคิ้วแน่นมองชายหนุ่มขึ้นลง ก่อนจะสะบัดกีบเท้าหน้าประมาณว่า หากเจ้าจะไปแล้วยังจะมาหาลาแก่ๆอย่างมันทำไมอีก

    มันม้วนตัวกลับไปนอนอุตุไม่ฟังเสียงเรียกของหลินมู่อีก ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงส่ายหน้า ก่อนจะจากไปเขาหันไปป้องหมัดให้ต้นหลิวบรรพต ก่อนจะพาผิงฮวาที่ยังคงไม่อยากไปขึ้นขี่กระบี่ กลายเป็นรุ้งสีขาวหายไปบนฟากฟ้า

     

        เจ้าซุยโก๋ที่นอนขดตัวอยู่ร่างมันสั่นเบาๆ น้ำตาของมันค่อยๆไหลออกมา มันคับแค้นใจที่ตนเองไม่แข็งแกร่งพอจะเดินทางไปกับทั้งสองได้ ต่อให้ไปได้มันก็เป็นตัวถ่วง มันไม่เอาอีกแล้วมันจะต้องแข็งแกร่งขึ้น 

    เพื่อในสักวันมันจะได้เดินทางร่วมกับอีกฝ่ายอีกครั้ง ขณะเดียวกันเอง หลินมู่ก็กำลังพูดคุยกับผิงฮวาอย่างถอดถอนใจ ถึงเหตุผลที่เจ้าลาเปลี่ยนท่าทีกระทันหัน รับรู้ความจริงเด็กสาวก็ทำได้แต่ถอนหายใจ ไม่นานรุ้งขาวก็พุ่งออกจากตะวันตก ค่อยๆไปทางเหนือเพื่อไปหาสหายเก่าบางคน 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×