ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #149 : ตอนที่ 149 ทิ้งรอยเท้า

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 66


       ชั่วพริบตาเดียวรุ้งสีทองก็พุ่งมาถึงจวนสกุลหลัว เหนือห้องโถงบรรพชนกวนจิวก้มลงไปมองเบื้องล่าง พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหมือนความวุ่นวายเมื่อก่อนหน้านี้ ตระกูลของศิษย์พี่เจ้าคงลำบากมิน้อย”

    ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “ถูกของอาจารย์ลุง แม้ศิษย์พี่จะเตรียมตัวไว้สักพักใหญ่ แต่เหมือนความเสียหายยากจะควบคุม” ชายหนุ่มมองสภาพอันวุ่นวายเบื้องล่างอย่างเศร้าใจ

     

       คนสกุลหลัววิ่งไปมาเป็นบ้าเป็นหลัง คนบาดเจ็บนอนเกลื่อนกลาดที่ลานบ้าน หมอยาสมุนไพรทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อต้มยาบรรเทาอาการบาดเจ็บของผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเด็กคนแก่ผู้ใหญ่ชายหญิง ต่างได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้

    ไม่เพียงมีผู้บาดเจ็บคนที่ตายไปก็มีไม่น้อย ตลอดทางที่กวนจิวผ่านมาเขาเห็นภาพน่าเศร้ามากมาย ใจหนึ่งก็อยากต่อว่าจ้าวหยูที่โหดเหี้ยมใช้ชีวิตมนุษย์เป็นรากฐานมรรคายุทธ์

     

       แต่การจะเปิดทางสายใหม่และไม่ให้มันถูกกลืนโดยมรรคาเซียน จำต้องบ่มเพาะรากฐานที่สูงพอสมควร ไม่ต่ำหรือสูงไป หากต่ำไปก็จะถูกกลืนหากสูงไปก็ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้สูง 

    ที่ต้องรับลมฝนกลายเป็นจุดสนใจ มรรคายุทธ์พึ่งตั้งไข่จึงจำต้องใช้เวลาในการเติบโต และการสั่งสมรากฐานเป็นเวลานาน การเสียสละของบุคคลบางส่วนเพื่ออนาคตจึงเป็นสิ่งที่ควร แต่จะว่าอย่างงั้นก็ไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ที่ได้รับความเดือดร้อน 

     

       แต่ต้นจนจบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนกำลังเป็นหมากของใครบางคน จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมที่ถูกยัดเยียดมาจากผู้แข็งแกร่ง “เอาหล่ะไปเถอะ” กวนจิวค่อยๆร่อนลงไปยังลานกว้างสกุลหลัว เหล่าคนสกุลหลัวที่เห็นบางสิ่งกำลังร่อนลงมาจากฟ้า ก็เริ่มตื่นตระหนกส่งสัญญาณเตรียมรับมือศัตรูที่บุกมา

    แต่ก่อนจะได้ทำอะไรมากกว่านี้หลัวกงฟาน ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหันพร้อมตะโกนด้วยเสียงดังสนั่น “เงียบ!!! และหยุดเดี๋ยวนี้!!” ทุกคนนิ่งงันตัวสั่นสะท้าน ไม่กล้าทำอะไรได้แต่ปิดปากตามที่ท่านบรรพบุรุษบอก

     

       หลัวกงฟานยิ้มกว้างแหงนหน้ามอง ยิ้มให้หลินมู่ที่ถูกกวนจิวหิ้วอยู่อย่างสนิทสนม หลินมู่พยักหน้าให้อีกฝ่ายเมื่อถึงพื้น ในที่สุดชายหนุ่มก็เป็นอิสระ เขาบิดตัวไปมาเล็กน้อยแต่ก่อนจะได้กล่าวอะไร ร่างเล็กหนึ่งก็โผกอดเขาแน่น

    ชายหนุ่มแสดงสีหน้าอ่อนโยนลูบหัวดรุณีน้อยเบาๆ “ผิงฮวาใครรังแกเจ้าหรือ…” ชายหนุ่มถามพร้อมใช้มือปาดน้ำตาของนางอย่างเบามือ ผิงฮวาน้อยส่ายหน้ารัวเร็ว “ไม่มี ผิงผิงแค่ดีใจที่ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว”

     

       นางพูดไปพร้อมสะอื้นไปพลางใช้หลังมือน้อยๆ เช็ดน้ำตาของตนอย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มลูบหัวของศิษย์ตนอย่างนุ่มนวล พร้อมมองสำรวจเด็กสาวอย่างละเอียด มือค่อนข้างด้านตัวมอมแมม คาดว่าที่ผ่านมานางก็ฝึกแกว่งกระบี่มาตลอด

    จนถึงเมื่อตะกี้นี้นางยังคงฝึกฝนอยู่ จนหลินมู่ถูกกวนจิวพอมาถึงที่นี่ เป่ยจี่และเหล่าเด็กน้อยมองภาพศิษย์อาจารย์อย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะเป่ยจี่มองเด็กสาวอย่างสงสัย ไม่คิดเลยว่าไอ้มือกระบี่นั้นมีลูกศิษย์ลูกหากับเขาด้วย

     

       หลินมู่ปลอบประโลมผิงฮวาสักพักจนนางกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง ผมสีดำเงางามของนางยาวจนปะบ่า ดวงตาสีดำเปล่งประกายด้วยอารมณ์ สวมใส่ชุดคลุมสีเขียวที่ออกแบบมาอย่างดี ไม่ขัดแข้งขัดขาเวลาฝึกกระบี่แน่นอน ขับเน้นออร่าของนางอย่างมาก

    “ขอบคุณศิษย์พี่ท่านดูแลนางดีจริงๆ” ชายหนุ่มหันไปพูดขอบคุณหลัวกงฟานศิษย์พี่ของตนอย่างสุภาพ หลัวกงฟานโบกมือพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม “ไม่เป็นไร อย่าทำเหมือนเป็นคนอื่นไกล”

     

       หลินมู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ “ว่าแต่ศิษย์น้องอาวุโสผู้นี้คือ?” หลัวกงฟานที่สังเกตเห็นกวนจิว ในชุดคลุมสีฟ้ามีวงแหวนสองชั้นที่หลังศีรษะ ก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัยเขายังเห็นกระบี่เล่มหนึ่ง ที่หลินมู่กำลังสะพายไว้อยู่

    เป็นกระบี่ที่ตนค่อนข้างคุ้นเคยไม่น้อยเลยด้วย เมื่อได้เห็นความสงสัยของอีกฝ่าย หลินมู่เริ่มแนะนำกวนจิวแบบรวบรัดทันที “นี้คือเจ้านิกายเจี้ยนเสินเฟิง แถมยังเป็นศิษย์พี่ของอาจารย์เรา หรือ อาจารย์ลุงของท่านกับข้า” หลัวกงฟานคล้ายมีฟ้าผ่าลงกลางห้วงจิต

     

       โค้งตัวป้องมือให้กวนจิวอย่างรีบร้อน “คารวะเจ้านิกาย” กวนจิวที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะร่วน ตอบปัดพร้อมบอกให้เรียกเขาว่าอาจารย์ลุงเถิด กวนจิวมองร่างมายาของหลัวกงฟานขึ้นลง

    พร้อมถอนหายใจยาวเหยียด “ทองขาวน้อยเหตุใด ศิษย์คนโตของเจ้า และ ตัวเจ้าก็เป็นวิญญาณไปหมดแล้ว” สิ้นเสียงของกวนจิว กวนเจี้ยนโปที่สิงอยู่ในกระบี่สีฟ้าสดใส สั่นพ้องพร้อมเปล่งเสียงของเขาออกมา

     

       “ท่านถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร? แรกเริ่มเดิมทีข้าและกงฟาน ก็มิได้อยากเป็นร่างวิญญาณ….จะว่างั้นก็ไม่ได้ตอนนี้ข้าคือต้นเลี้ยงตะวัน หนึ่งในมหาพฤษภา หากท่านว่างหรือไม่มีอะไรทำช่วยหาโสมมนุษย์ สร้างร่างใหม่ให้แก่เขาหน่อยละกัน" กวนจิวยิ้มน้อยๆพร้อมกล่าวแหน็บแนม

    “หืม…เช่นนี้นี่เอง ต้นไม้แปลกๆนั้นคือต้นเลี้ยงตะวันนี้เอง ไม่น่าละขอบเขตเจ้าจึงดูเหมือนหยุดนิ่ง วงจรการเติบโตของต้นเลี้ยงตะวัน รวดเร็วที่สุดก็หลักหลายล้านปี ไม่แปลกใจจริงๆศิษย์น้องข้าช่างโชคดีจริงๆ แถมขยับไปไหนไม่ได้อีก จุจุ”

     

        แม้จะเหมือนคำชมแต่กลับสัมผัสได้ถึงการเยาะเย้ยเล็กน้อย กวนเจี้ยนโปที่อยู่ในกระบี่สีฟ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ใช่ข้าโชคดีจริงๆ ไม่ต้องขวนขวายอายุขัยก็ยืนยาว แถมขอบเขตยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โชคดีจริงๆ”

    กวนจิวสีหน้าเขียวปัดไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกจุกกลางอก หลินมู่ที่ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับต้นเลี้ยงตะวัน จึงถามอาจารย์ของตนทันที กวนเจี้ยนโปก็ตอบไขข้อสงสัยให้ศิษย์ของตนทันทีเช่นกัน เป็นการเปลี่ยนสถานการณ์ไปในตัว

     

       หลังจากจบคำอธิบายชายหนุ่มก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจให้กับต้นไม้ที่ชื่อว่าต้นเลี้ยงตะวัน มันคือหนึ่งในมหาพฤกษา ร่วมกับ ต้นไม้พิภพ ต้นกำเนิดดวงเดือน 

    สามมหาพฤษามีอายุขัยยืนยาวไร้ขีดสิ้นสุด แทบเป็นอมตะร่วมกับฟ้าดินและจักรวาล เพียงพวกมันโตเต็มทีี่ผลที่พวกมันออกดอกออกผล ก็คือ พิภพ ตะวัน จันทรา ดวงดาว แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

     

       มหาพฤกษาทั้งสาม จะมีเพียงอย่างละต้นเพื่อให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างไร้สิ้นสุด หากเกิดเหตุการณ์บางอย่างให้หนึ่งในมหาพฤกษาหายไป กระบวนการก่อกำเนิดของดวงดาว และ สรรพสิ่งก็จะหยุดลงจนกว่า มหาพฤกษาที่หายไปจะกลับมา แถมขอบเขตเมื่อโตเต็มที่ของ มหาพฤกษายังเหนือกว่า ขอบเขตนภาอย่างสิ้นเชิง

    แต่ระยะเวลาในการเติบโตช่างยาวนาน เพียงโตขึ้นหนึ่งหมี่ก็ใช้เวลานับพันปี กวนเจี้ยนโปยังกล่าวเสริมอีกว่า ต้นเลี้ยงตะวันต้นก่อนหน้านี้ สูงใหญ่จนไม่อาจเห็นยอด ขนาดของมันใหญ่โตกว่าพิภพสุสานเทพเจ้าหลายต่อหลายเท่า

     

       บนกิ่งไม้เต็มไปด้วยดวงดาวและดวงตะวันจำนวนนับไม่ถ้วน แม้ไม่อาจบอกแน่ชัดว่าในความทรงจำที่ส่งต่อมา ว่าต้นเลี้ยงตะวันต้นก่อนหน้าอยู่ขอบเขตไหน แต่ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าต้องอยู่เหนือขอบเขตนภา

    หลังจากฟังเรื่องเล่าของกวนเจี้ยนโปจบ ทุกคนก็ได้แต่ถอนหายใจกับความห่างชั้นอย่างสิ้นเชิง แม้แต่คนโดยรอบที่ไม่รู้ขอบเขตฝึกฝนของสายเซียน ยังต้องส่ายหน้าให้กับความเหนือจินตนาการของต้นเลี้ยงตะวัน กว่าว่ามันเป็นพระเจ้าก็ไม่เกินจริงนัก

     

       หากหนึ่งในนั้นโจมตีขึ้นมา ก็ไม่อาจต่อต้านได้เลยเพราะแค่หนึ่งในดวงตะวัน จันทรา หรือ ดวงดาวหล่นจากกิ่งไม้พวกเขาก็ต้านทานไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นเองกวนจิวก็เกิดความคิดสุดบรรเจิด “ทองขาวน้อยในเมื่อเจ้าเป็นต้นเลี้ยงตะวันแล้ว ข้าขอเด็ดใบไม้ของเจ้าสักใบสองใบได้หรือไม่?”

    กวนเจี้ยนโปสงสัยเล็กน้อย คล้ายรับรู้ความสงสัยของอีกฝ่าย กวนจิวก็เริ่มอธิบายว่าตนไหว้วานให้อาวุโส เขาหลอมสร้างหลอมกระบี่ประจำตัวให้ใหม่ นี้ก็ผ่านมานานเป็น 100 ปีแล้ว เขาจึงคิดว่าไฟที่จุดบนเส้นนภา อาจจะร้อนไม่พอเขาจึงจะขอใบของต้นเลี้ยงตะวัน

     

        กวนเจี้ยนโปไม่ปฎิเสธไว้กลับถึงนิกาย เขาจะผลัดใบให้สักสองสามใบ พูดคุยนอกเรื่องอยู่นานกวนจิวก็ถูกกวนเจี้ยนโปกล่าวเตือน ว่าพวกตนมาทำอะไร กวนจิวไอกลบเกลื่อนกันไปกล่าวกับหลัวกงฟาน ด้วยรอยยิ้ม

    หลัวกงฟานและคนสกุลหลัวที่รับฟังอยู่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ แสดงสีหน้าตื่นเต้นสุดขีดเพียงได้ยินว่า พวกเขาจะถูกรับเป็นส่วนหนึ่งของนิกาย พวกเขาก็ตื่นเต้นอย่างมาก แม้คราวแรกจะรู้สึกสงสัยและงุนงง แต่พอหลัวกงฟานอธิบายว่าขุมกำลังเช่นนิกาย

     

       ทรงพลังและน่าหวาดกลัวเพียงใด เหล่าคนสกุลหลัวก็เต็มไปด้วยความคาดหวังเหนือคณานับ ส่วนว่าหลัวกงฟานอธิบายอย่างไรจึงทำให้ เหล่าคนสกุลหลัวรับรู้ถึงความทรงพลังของนิกาย

    ง่ายนิดเดียว เพียงกล่าวว่า จักรพรรดิยุทธ์มีมากมายดุจดาวบนฟ้า ตำนานยุทธ์มีมากราวกับขนวัว ใส่สีตีไข่อีกสองสามประโยค เหล่าคนสกุลหลัวก็ถูกหลัวกงฟานบรรพบุรุษของตน เกลี้ยกล่อมอย่างอยู่หมัด

     

       เมื่อพูดคุยกันเสร็จ กวนจิวก็มอบโอสถวิเศษให้คนสกุลหลัว นำมันไปละลายน้ำป้อนคนที่บาดเจ็บ อึดใจเดียวก็หายเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวจนฟ้าเกือบสางจวนสกุลหลัวแสนใหญ่โต ก็ถูกเก็บเข้าในแขนเสื้อของกวนจิว

    บนตัวหลินมู่มีกระบี่สีดำเพิ่มมาอีกเล่ม ที่เล่มสี่ดำคล้ายถูกเล่มสีฟ้าดุด่าว่ากล่าวอยู่ หลินมู่ยืนอยู่กับดรุณีน้อยที่มัดผมหางม้า สะพายกระบี่อ่อนกำลังยิ้มแย้มที่ตนได้กลับมาอยู่กับอาจารย์อีกครั้ง

     

       กวนจิวที่จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็โบกมือยกคนร่วมร้อยขึ้นฟ้าเตรียมกลับไปยังค่ายของนิกาย “อาจารย์ลุงข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” แต่ถูกหลินมู่ขัดไว้ก่อนกวนจิวจึงหยุดมือ รอฟังเรื่องที่ชายหนุ่มจะพูดคุยกับตน

    หลินมู่ไม่สาวความยาวท้าวความยืด บอกจุดประสงค์ของตนไปทันที กวนจิวพยักหน้าอย่างเข้าใจกระดิกนิ้ว นำกระบี่สีฟ้าและกระบี่ดำเฮ่ยซาน มาสะพายเอาไว้ก่อนจะพาคนนับร้อยรวม ถึงเหล่าเด็กๆ เป่ยจี่ และ พี่น้องสกุลหนิงจากไป

     

       ก่อนจะจากไปหลินมู่ได้พูดคุยกับหนิงฟาง เด็กชายที่เขาเคยขอให้หอการค้ารับไว้ทำงาน ว่าตอนนี้เขาต้องตอบแทนชายหนุ่ม โดยการเข้าร่วมนิกายเจี้ยนเสินเฟิง หนิงฟางพยักหน้าตอบรับก่อนเขากับน้องสาว

    และคนอื่นๆ จะถูกกวนจิวพาไปยังตะวันออกจนหมด เหลือไว้เพียงหลินมู่และผิงฮวาที่ยืนอยู่ ในพื้นที่อันว่างเปล่าในเวลารุ่งสาง “ท่านอาจารย์ เหตุใดเราจึงไม่ไปกับพวกเขา”

     

       เด็กสาวเดินตามอาจารย์ของตนต้อยๆ ถามอย่างสงสัยมองเส้นรุ้งสีทองที่พุ่งหายไปบนฟากฟ้า ชายหนุ่มไม่ได้ปิดบังกล่าวอธิบายไปพลาง ดวงตาสีหมึกที่คล้ายจะกักเก็บหมู่มวลดาราคู่นั้น แหงนหน้ามองฟากฟ้าไปพลาง

    “ยังมีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องจัดการ แถมข้ายังอยากใช้เวลาสามวันที่เหลือ สั่งสอนเจ้าในฐานะอาจารย์ใน 3 วันก่อนเดินทางไปยังมหาทวีป ข้าจึงอาศัยโอกาสนี้ มาเดินทางอีกครั้งกับเจ้า” ชายหนุ่มลูบหัวเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ผิงผิงยิ้มแย้มพร้อมตอบตกลง สองศิษย์อาจารย์ค่อยๆก้าวไปช้าๆ เริ่มการเดินทางครั้งสุดท้าย เพื่อทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนทวีปนามหลิวซู

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×