ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #148 : ตอนที่ 148 ตอบรับ

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 66


       ชายหนุ่มทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออก สีหน้าของหลินมู่บ่งบอกสุดๆว่าตอนนี้เขากำลังงุนงงอย่างมาก ต่างจากเป่ยจี่ที่แม้สีหน้าจะงุนงงคล้ายกับหลินมู่ แต่กลับแฝงไปด้วยความโกรธเคืองบางส่วน

    เพียงสบสายตาก็สามารถเข้าใจถ้อยคำนับหมื่นในนั้นได้ทันที ยังไม่ทันให้เจ้าตัวกล่าวประท้วงกวนจิวก็ยกอีกฝ่ายมามองชัดๆ ขนของเป่ยจี่ลุกชูชันสันหลังเย็บวาบ ทั้งตัวเกร็งแน่นเพียงไม่นานเขาก็เหงื่อท่วมตัว

     

       เสมือนเขาได้เผชิญหน้ากับศัตรูตามธรรมชาติ ที่ตนไม่มีวันเอาชนะได้แม้จะทุ่มสุดชีวิตก็ตาม ถึงแม้หลินมู่จะเคยให้ความรู้สึกเช่นนี้ แต่ชายวัยกลางคนปริศนาผู้นี้กลับมีแรงกดดันมากกว่านั้นหลายเท่า

    กวนจิวแสดงสีหน้าขบคิดบางอย่าง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและถามหลินมู่อย่างกระทันหัน “มู่น้อยเจ้าทราบหรือไม่ ว่าเซียนกระบี่อย่างเราๆเวลาอยากลองเคล็ดกระบี่ สิ่งใดคือสิ่งแรกที่เซียนกระบี่อย่างพวกเราจะนึกถึงเป็นสิ่งแรก” ชายหนุ่มส่ายหน้าบ่งบอกว่าตนไม่รู้ 

     

       พร้อมกล่าวเสริมเล็กน้อย “ข้าไม่ทราบ อาจารย์ลุงได้โปรดไขข้อสงสัยด้วย” กวนจิวยิ้มแย้มพูดด้วยความเชื่องช้าอย่างไม่รีบร้อน “เมื่อเซียนกระบี่ที่สัมฤทธิ์ผลเคล็ดวิชาเวทย์ สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือการลองเคล็ดกระบี่ สิ่งที่ใช้ลองกระบี่ได้ดีที่สุดคือสิ่งใด ง่ายดายเซียนกระบี่อย่างเราๆ กำเนิดขึ้นมาเพราะเหล่าเซียนขาดอนุภาพการสังหาร พวกเรากำเนิดขึ้นมาเพื่อสังหาร ฉะนั้นคำตอบแสนง่ายดาย ก็ลองกระบี่กับสิ่งมีชีวิต…”

    เจ้านิกายพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมเอื้อมมือไปดึงฮู้ดดำของอีกฝ่ายลง ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเกล็ดบางส่วนกระทบกับแสงจันทร์ เขาเสมือนหยกขาวเล็กๆคู่หนึ่งใต้เส้นผมสีดำเงางาม ดวงตาสีเหลืองอำพันแนวตั้งแสนดุร้าย 

     

       “และสิ่งมีชีวิตใดเล่าจะเหมาะแก่การลองกระบี่ ก็แสนง่ายนั้นคือมังกร อสูรฟ้าดินที่เกิดมาพร้อมร่างกายแกร่งกล้าถึงขีดสุด และ พลังอำนาจบงการลมฝนตามใจนึก เพียงอย่างแรกมังกรก็เป็นเป้าซ้อมกระบี่ที่ดีที่สุดได้ในทันที แต่มังกรจริงๆนั้นแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว พวกเราจึงเลือกลองลงมาเช่น เจียวหลง แต่มันไม่ได้มีประโยชน์แค่นั้น…”

    สิ้นเสียงดวงตาของกวนจิวก็เปล่งแสงสีทอง ระเบิดออกมาด้วยออร่าที่คมกริบบนมือคล้ายมีภาพมายา ของกระบี่สีทองธรรมดาๆเล่มหนึ่ง เขาวางมันพาดบนบ่าของเป่ยจี่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสะกดข่ม

     

        “ตอบมาเจ้าจะเลือกเช่นไร จะเลือกเป็นสัตว์ขี่ให้ศิษย์หลานของข้าหรือ จะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ แม้เจ้าจะเป็นเพียงเจียวหลงที่มีสายเลือดมังกรเล็กน้อย แต่ข้าก็มีวิธีทำให้เจ้าหวนคืนสู่บรรพบุรุษ ปลุกมรดกของเผ่าพันธุ์มังกร”

    คมกระบี่สีทองที่ถูกขัดเกลาจนแหลมคมถึงขีดสุด วางผาดไว้บนบ่าของเป่ยจี่เพียงสัมผัสราวกับผิวหนังถูกกรีดเฉือน อีกฝ่ายเม้มปากแม้จะหวาดกลัว แต่เขาต้องสู้เพื่อชีวิตของตนเอง

     

       “เรียนอาวุโส ข้าไม่ทราบว่าท่านพูดถึงอะไร ทำไมหรืออะไร….แต่ข้าคือมนุษย์ไม่ใช่เจียวหลงอย่างที่ท่านกล่าว” น้ำเสียงกล้าๆกลัวๆของชายหนุ่ม พยายามทวงถามความยุติธรรมให้ตนเอง

    กวนจิวเลิกคิ้วขึ้นสูงสีหน้าปรากฏความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้ตาทิพย์ ตรวจสอบร่างกายของอีกฝ่ายอีกครั้ง สักพักเขาก็จุปาก “ไม่น่าหล่ะ เจ้าเสียกายหยาบดั้งเดิมไปแล้ว แถมวิญญาณยังเสียหายจนความจำเสื่อม หากไม่ใช่เพราะวิญญาณของเจ้าทรงพลัง จนเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก ปลดปล่อยกลิ่นอายของเผ่ามังกรออกมา แม้แต่ข้าอาจจะหาไม่พบหากไม่สังเกตดีๆ”

     

        เป่ยจี่ใบหน้ากระตุกสายตาประมาณว่าท่านกำลังอำข้าใช่หรือไม่? แต่เกิดจนโตเขาก็เป็นมนุษย์ จะเอาอะไรมาเป็นมังกงมังกรเจียวลงเจียวหลงได้อีก!! แต่ยังไม่ทันกล่าวประท้วงอีกฝ่ายก็เน้นเสียงถามอีกครั้ง

    “เอาหล่ะเลือก จะยอมมาเป็นสัตว์ขี่ของศิษย์หลานข้าหรือไม่?” กวนจิวเพิ่มแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน กดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถาม เป่ยจี่เม้มปากสีหน้าบ่งบอกว่าตนได้รับความอยุติธรรมสุดขีด

     

       สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก จู่ๆก็นึกถึงทางออกหนึ่งได้อย่างกระทันหัน “แต่อาวุโส ข้าจะกลายเป็นสัตว์ขี่ให้เขาได้อย่างไร? ข้าเป็นเพียงมนุษย์หรือว่าท่านจะบอกให้ข้าเป็นไม้ป่าเดียวกันกับศิษย์หลานของท่าน?” คิ้วของหลินมู่กระตุกถี่ยิบจิตใจบังเกิด อยากฟันเจ้านักขายข่าวนี้สักสองสามแผล 

    แม้แต่กวนจิวเองยังคิ้วกระตุก ตอนนี้รู้แล้วว่าเจ้าเจียวหลงในร่างมนุษย์ผู้นี้ต้องการอะไร เขาจึงรีบแก้ไขสถานการณ์ทันที “ก็ต้องไม่….หากเจ้าตอบรับข้าจะย้ายวิญญาณของเจ้าสู่ร่างใหม่ เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ข้าบังเอิญเจองูน้ำตัวหนึ่งที่กำลังลอกคราบกลายเป็นเจียวหลง แต่น่าเสียดายมันไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ วิญญาณแตกดับตายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เหลือไว้เพียงร่างอันว่างเปล่าหากเจ้าตอบตกลง ข้าจะเอาร่างนี้ให้เจ้า”

     

        พูดจบกวนจิวก็นำหลักฐานออกมาพิสูจน์ หัวของงูน้ำขนาดใหญ่ถูกนำออกมา จากแขนเสื้ออย่างน่าประหลาด บนหน้าผากของมันมีเขาคล้ายเขากวาง คู่หนึ่งกำลังงอกออกมาเกล็ดสีขาวอมฟ้า สะท้อนแสงจันทร์สุดงดงาม ดวงตาของมันปิดสนิทไร้สัญญาณชีวิตโดยสิ้นเชิง

    เป่ยจี่จ้องมองหัวงูมีเขาขนาดเท่ารถม้านั้นอย่างว่างเปล่า ไม่รู้เหตุใดส่วนลึกภายในร่างกาย กลับรู้สึกว่าต้องได้ร่างของงูตัวนั้นมาให้ได้ แต่เขาก็สงบจิตสงบใจสีหน้าบ่งบอกว่ากำลังขบคิดบางอย่าง

     

       ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีคงมีแต่ต้องยอมจำนน “ก็ได้ข้าตอบรับ…แต่อาวุโสสามารถตอบรับคำขอข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่?” กวนจิวที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบรับ ก็เก็บแรงกดดันสลายกระบี่มายาในมือ พร้อมพูดออกมาราวกับอาวุโสที่ใจกว้างดุจมหาสมุทรกว้างใหญ่

    “เงื่อนไขคือสิ่งใด หากไม่เกินกว่าขอบเขตของข้า ข้าสามารถทำให้ได้ทุกอย่าง” เป่ยจี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากขบคิดและไตร่ตรองคำพูดสักพัก ชายหนุ่มก็พูดคำขอของตนออกไป “อาวุโสอย่างน้อย ก็ช่วยเมตตาเด็กๆเหล่านั้นที่อยู่กับข้าได้หรือไม่?" กวนจิวเลิกคิ้วพร้อมมองลงไปอย่างสงสัย

     

        ในเมืองที่บ้านหลังเก่าหลังนั้น เหล่าเด็กน้อยร่วมสี่คนที่เห็นพี่ใหญ่ ถูกกระชากออกไปอย่างกระทันหัน กำลังตื่นตระหนกบางคนกำลังร้องไห้ บางคนคล้ายสูญเสียที่ยึดเหนี่ยว สาวน้อยนางหนึ่งที่ดูจะโตสุดในกลุ่ม กำลังกล่อมน้องๆพลางภาวนาให้เป่ยจี่กลับมาเร็วๆ

    “เด็กพวกนั้นหรือ ย่อมได้ข้าสามารถพาพวกเขาไปยัง ที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่าได้ด้วยซ้ำ” เป่ยจี่ที่ได้ยินก็แสดงสีหน้ามีความสุขออกมา “อาวุโสพูดจริงหรือไม่!? ไม่โปปดแน่นะ?” กวนจิวที่ได้ยินคำถามอย่างเคลือบแคลงของอีกฝ่าย ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คำพูดของบุรุษมีค่ายิ่งกว่าทอง ข้าไม่ผิดคำพูดแน่นอนเพียงเจ้าตอบรับ ข้าก็พร้อมทำตาม”

     

       เป่ยจี่ที่ได้ยินก็หลับตาลงพยายามต่อสู้กับจิตใจของตน สักพักเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาอำพันแนวตั้งคู่นั้นสาดประกายความแน่วแน่ “ตกลงผู้อาวุโส ข้าจะเป็นสัตว์ขี่ให้เขา” กวนจิวยิ้มแย้มแม้จะใช้วิธีการที่รุนแรงไปบ้าง

    แต่เขาก็ไม่คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายจริงๆ เพียงข่มขู่ไปเท่านั้นหากอีกฝ่ายยืนกรานว่าไม่เขาคงได้แต่ปล่อยไป หากเป่ยจี่รู้เข้าคงกระอักเลือดพร้อม พูดว่าท่านแค่ขู่!? ไม่บอกเลยว่าจะเอาเลือดออกจะหัวข้า!! ถึงจะรู้ความจริงสุดท้ายเป่ยจี่ก็จะเลือกเป็นสัตว์ขี่ของหลินมู่อยู่ดี เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้สำหรับเด็กเหล่านั้น

     

       เขาไตร่ตรองมาดีแล้วก็ได้บทสรุปว่า ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องมาหลอกลวงตน เพราะเพียงอีกฝ่ายต้องการเขาสามารถใช้กำลังบังคับได้อย่างง่ายดาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำแม้จะใช้วิธีการรุนแรง 

    แต่กลับเปิดโอกาสให้เจรจาหลายต่อหลายครั้ง เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เป่ยจี่ตอบรับไป หลินมู่ที่มองการเจรจาจากรอบนอก ก็ได้แต่ถอนหายใจจะขัดก็ไม่ได้ จะแทรกกลางคันก็ยิ่งไม่ได้ เขาจึงได้แต่เงียบปล่อยให้เรื่องไหลไปจนสุดทาง

     

       กวนจิวกระดิกนิ้วอีกครั้งดึงเหล่าเด็กๆ ทั้งสี่คนขึ้นมาบนฟ้า ก่อนจะกลายเป็นรุ้งสีทองพุ่งหายไปยังตะวันตก ระหว่างนั้นเองหลินมู่ก็นึกอะไรออก เขาจึงพูดกับกวนจิวว่าที่มณฑลซวี่อัน เมืองแรกสุดมีคู่พี่น้องคู่หนึ่งผู้พี่ มีพรสวรรค์จะฝึกฝน กวนจิวพยักหน้าบอกว่าตนเข้าใจแล้ว 

    หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจพวกเขาก็มาถึง หลินมู่ชี้ตัวสองพี่น้องคู่นั้นก่อนจะถูกกวนจิวดึงขึ้นมา แล้วบินตรงไปยังจวนสกุลหลัว กลุ่มเด็กมากมายมองหน้ากันและกันอย่างงุนงง แฝงไปด้วยความตื่นเต้น

     

       ขณะเดียวกันหลินมู่กำลังแข่งจ้องตากับเป่ยจี่ ราวกับทั้งสองสื่อสารผ่านโทรจิต สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดไม่หย่อน คล้ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ…

     

     

     

      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×