ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #146 : ตอนที่ 146 การเปลี่ยนแปลง

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 66


       หลินมู่แทบถอยหายใจให้กับความเหลื่อมล้ำทางอายุขัย แต่ทันใดนั้นเองเขาก็หยุดกึกถลึงตา ถามคำถามกับอาวุโสหยางอีกครั้ง “อาวุโสท่านบอกว่าปฐพีที่ 2 เซียนกระบี่อย่างเราๆ มีอายุขัยมากสุดเพียง 300 ปีใช่หรือไม่?”

    อาวุโสหยางพยักหน้าบนใบหน้าฉาบไว้ด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องหยุดกึกเช่นกันเขาหันไปมองกวนจิวอย่างพูดอะไรไม่ออก ไม่เพียงอาวุโสหยางแม้แต่อาวุโสหลงซวี ที่ยืนอย่างทรงภูมิมาตลอด

     

        ยังต้องมองไปยังกวนจิว หวังคาดคั้นว่าคำพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดผิดใช่หรือไม่ หลินมู่มุมปากกระตุกถี่ยิบหันไปมองอาจารย์ลุงของตน ที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังยิ้มแย้มราวกับลุงข้างบ้านธรรมดาๆ

    “อาจารย์ลุง….ท่านบอกว่าข้าสามารถขึ้นเป็นปฐพีที่ 3 ภายใน 600 ปีใช่หรือไม่?” กวนจิวพยักหน้าไม่ปฎิเสธพร้อมตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ แม้การพัฒนาของเจ้าค่อนข้างรวดเร็ว แต่เจ้ามีสถานการณ์พิเศษ จิตวิญญาณของเจ้ายังมีช่องโหว่ แม้จะผ่านการเติบโตมาบ้าง แต่ให้ให้เทียบกับเหล่าศิษย์ร่วมนิกาย เจ้ามีจิตวิญญาณทีอ่อนแอมาก หากจิตวิญญาณไม่สัมพันธ์กับร่างกาย ต่อให้รากฐานแน่นหนาสักเพียงใดสักวัน มันก็ต้องล้มครืนลงมา ไม่ใช่จากภายนอกแต่จากภายใน ภายใน 600 ปีนั้นก็หยวนมากพอแล้ว"

     

        หลินมู่รับฟังก่อนจะถอนหายใจ ก่อนสีหน้าจะกลับมามุ่งมั่นอีกครั้ง แสดงว่าตนมีการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรออยู่ แม้จิตวิญญาณจะพัฒนาในเชิงคุณภาพเมื่อไม่นานมานี้ แต่หากให้หาช่องโหว่ช่างแสนง่ายดาย 

    ด้านในไม่ต่างจากรังผึ้งที่กรวงโบ๋ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่ตนต้องทำคืออะไร นั้นคือการฝึกฝนบ่มเพาะจิตวิญญาณ เจ้านิกายที่เห็นชายหนุ่มไม่ได้ย่อท้อลงเลย แต่กลับมุ่งมั่นมากขึ้นก็อดชื่นชมไม่ได้

     

        ‘สมแล้วที่ศิษย์น้องเลือกเขาเป็นศิษย์ บุคลิกเช่นนี้หาได้ยากในโลกหล้าจริงๆ’ กวนจิวสะบัดแขนเสื้อพร้อมพูดขึ้น “เอาหล่ะ ไม่ใช่ไม่มีทางออก จิตวิญญาณที่อ่อนแอของเจ้าสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ เพียงเรากลับไปถึงนิกายมีสมบัติและวิธีการมากมาย ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเจ้า”

    ชายหนุ่มตาลุกวาวเปล่งประกายกว่าครั้งไหนๆ “อาจารย์ลุงท่านพูดจริงใช่หรือไม่ ไม่ได้อำข้าเล่นหรอกนะ?” เพื่อความแน่ใจว่าตนจะไม่โดนแกง ชายหนุ่มจึงถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ ซึ่งกวนจิวพยักหน้าบอกว่าเป็นความจริง

     

        “เราจะเดินทางกลับนิกายในอีก 3 วัน ภายในสามวันนี้เราจะรับคน ที่ดูมีความสามารถมาให้มากที่สุด ต้องแข่งกับนิกายอื่นด้วย แน่นอนข้าเองก็มีเรื่องต้องจัดการ หลินมู่เจ้ามากับข้า” พูดจบกวนจิวก็โบกมือดึงชายหนุ่มลอยขึ้นฟ้า

    พร้อมสั่งให้อาวุโสทั้งสองทำตามหน้าที่ทันที “อาวุโสหยางท่านตั้งค่าย ส่งศิษย์ออกไปค้นหาว่ามีคนพอมีแววหรือไม่ หากเกิดความวุ่นวายหรือใดๆที่อยุติธรรม ที่ผิดต่อหลักกฎเกณฑ์ของนิกายให้ลงโทษอย่างหนัก อาวุโสหลงซวีท่านไปยังหมู่บ้านตระกูลเสี่ยว นำสัญญาทองคำไปด้วย เราจะให้พวกเขาเป็นตัวแทนนิกายเจี้ยนเสินเฟิงในเกาะแห่งนี้”

     

       พูดจบเขาก็หิ้วหลินมู่หายไปบนฟากฟ้า ทิ้งให้อาวุโสทั้งสองยืนอยู่บนดาดฟ้าเรืออาบไล้ไปด้วยแสงจันทรา บนฟ้าเหนือเมฆหลายสิบลี้ หลินมู่ที่ถูกเจ้านิกายลากขึ้นมาราวกับสัมภาระชิ้นหนึ่ง

    กำลังกระพริบตาปริบๆ รู้ตัวอีกทีตนก็มาโผล่บนนี้เสียแล้ว “อาจารย์ลุงท่านรู้เรื่องหมู่บ้านตระกูลเสี่ยวด้วยหรือ?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ตั้งแต่มาถึงอาจารย์ลุงผู้นี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามใดๆ แต่กับรู้เรื่องเขามากมายเช่นนี้

     

        กวนจิวไม่ปิดบังเขาเผยว่ากวนเจี้ยนโป หรือ ทองขาวน้อยในคำเรียกของอีกฝ่าย ได้แจ้งมาผ่านการส่งข้อความ และ รายละเอียดยิบย่อยบางส่วน ส่วนสาเหตุที่จะให้หมู่บ้านตระกูลเสี่ยวเป็นตัวแทนนิกาย

    เพราะหลินมู่ดันไปแต่งตั้งเทพภูเขาเข้า แม้จะเป็นเพียงเทพที่ไม่สมบูรณ์ แต่หากไม่จัดการตามพิธีอย่างที่ควรเป็น เทพภูเขาและภูติภูเขาสองแม่ลูก ต้องถูกเหล่าเซียนที่หิวกระหายร่างเทพ ตราหน้าว่าเป็นเทพชั่วร้าย เพื่อหวังเข้าสังหารเก็บเกี่ยวเศษร่างเทพ มายกระดับการฝึกฝนหรือมาหลอมสร้างเป็นศาสตราวุธเป็นแน่

     

        แถมที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดมรรคายุทธ์ เก็งกำไรไว้แต่ตอนนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อนาคตที่แห่งนี้คงยากจะยื่นมือเข้ามายุ่งแน่นอน อาศัยที่รากฐานยังอ่อนแอเข้ามาขยายอำนาจดีกว่า

    เฉกเช่นเดียวกับนิกายเจี้ยนเสินเฟิง พระอรหันต์ร่างทองผู้หนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิในวัดซอมซ่อแห่งหนึ่งในภาคตะวันตกเฉียงใต้ พระชราจีวรขาวที่กลับมาจากการธุดงค์

     

        ก็ถูกเหล่าเณรน้อยที่ตนรับมาเป็นลูกศิษย์ มาปฎิบัติธรรมเคียงข้างตนแจ้งว่ามีคนเข้ามาในวัด พระชราที่ได้ยินว่ามีคนแต่งตัวคล้ายตนอยู่ในอุโบสถ เขาจึงรีบร้อนวิ่งเข้าตรวจสอบ ก็พบกับพระชราผู้หนึ่งที่กำลังท่องบทสวด

    ออร่าพุทธศาสนากระจายครอบคลุมทั่วบริเวณวัดแห่งนี้ พระชราจีวรขาวพนมมือรับฟังอภิธรรมมากมายอย่างไม่รู้ตัว คำสอนมากมายค่อยๆพรั่งพรู จากริมฝีปากพระอรหันต์ร่างทอง ขณะเดียวกันทางเหนือที่ตั้งตระกูลต้าเจียง

     

        เรือบินสีทองแสนยิ่งใหญ่ค่อยๆลงจอด โดยมีคนของต้าเจียงต้อนรับขับสู้อย่างดี เซียนฟ้าผู้มีหน้าตาเจ้าเล่ห์ยืนอยู่ต่อหน้าต้าเจียงไท่เซี่ย ด้วยบรรยากาศสูงส่งเหนือคณานับ

    “คารวะเซียนบนเขา ผู้น้อยชนรุ่นหลังต้าเจียงไท่เซี่ย ยินดีอย่างยิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านมายังสถานที่เล็กจ้อยเช่นนี้” เซียนฟ้าผู้นั้นโบกมือบอกว่ามิใช่เรื่องใหญ่ เขาเอามือไพล่หลังเก็บแส้หางม้า

     

       ดวงตานุ่มลึกพรางจ้องมองหาบางสิ่ง ก่อนจะไปสะดุดอยู่บนร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเดินเข้าหาอีกฝ่ายก่อนจะป้องมือโค้งตัวให้ “คารวะบุตรแห่งสวรรค์” ทหารเกราะทองด้านหลังเองก็คุกเข่าลงพร้อม ตะโกนจนฟ้าดินสั่นสะเทือน

     “คารวะบุตรแห่งสวรรค์!!!” บุตรแห่งสวรรค์หรือจุนเทียนหลาง แสดงท่าทีตกตะลึงไม่คาดคิดเลยว่าบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้จะเคารพคารวะตน ‘ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหมเทียนน้อยเจ้าไม่เชื่ออาจารย์ พวกเรานิกายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าเองเกิดมาพร้อมชะตาที่จะต้องยิ่งใหญ่'

     

        จุนเทียนหลางแสดงสีหน้าบ่งบอกนี้ฝันใช่หรือไม่ เมื่อไม่ถึงปีก่อนเขายังเป็นเด็กชนบทธรรมดาๆ ใช้ชีวิตขุดไร่ไถนาได้แต่ฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ จนบังเอิญไปเจอะเข้ากับแหวนวงหนึ่ง มันเปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง

    ทั้งหมู่บ้านถูกกวาดล้าง การตายของพ่อแม่ และ การที่ตระกูลต้าเจียงที่เขาไม่กล้าเอ่ยถึง ยื่นมือให้ความช่วยเหลือพร้อมสนับสนุนเขาอย่างสุดความสามารถ หลังจากนั้นบางสิ่งในแหวนก็ตื่นขึ้น เขาแนะนำตนเองว่าเป็นอาวุโสใหญ่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์จากมหาทวีปเทวะ

     

        เพื่อลดความระแวงของชายหนุ่ม วิญญาณในแหวนจึงเริ่มอธิบายเกี่ยวกับตนเอง เขามาร่อนเร่แถวนี้เมื่อ 5,000 ปีก่อน ก่อนจะถูกบางอย่างทำลายร่างจนแหลก เหลือไว้เพียงแหวนวัตถุเซียนและเสี้ยววิญญาณจำนวนหนึ่ง

    หลังจากหลับไหลไปนานไม่มีหวังจะฟื้นคืนอีก แต่เขาก็ถูกปลุกขึ้น จากรัศมีโชคอันท่วมท้นของจุนเทียนหลาง เขาจึงรอดมาได้อย่างปฏิหาริย์ หลังจากเฝ้าดูสักพักวิญญาณเก่าแก่ดวงนี้ ก็ตัดสินใจรับอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์พร้อมส่งสัญญาณไปนอกทวีป

     

       เป็นจังหวะเดียวกันที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ เผยคำทำนายเกี่ยวกับบุตรแห่งสวรรค์ว่ามาถึงแล้ว จึงกลายเป็นสร้างผลงานครั้งใหญ่อย่างไม่รู้ตัว 

    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลา คิ้วคมราวกับกระบี่ใบหน้าทรงสง่าราศี ผมสีดำเงางามดวงตาสีเงินกระจ่างใส แสนโดดเด่นเพียงมองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา “อาจารย์ท่านบอกว่าข้ามีชะตาที่จะยิ่งใหญ่ แต่เพียงไหนกัน?..”

     

        ชายหนุ่มกระซิบถามกับวิญญาณภายในแหวนโบราณ วิญญาณในแหวนเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ ‘ยิ่งใหญ่เพียงไหนหรือ? เจ้าจำองค์เทียนโฮวที่ข้าเล่าให้ฟังได้หรือไม่ ในอนาคตเจ้าจะเป็นคู่ชีวิตกับนาง’ วิญญาณในแหวนก็พึ่งรู้เมื่อตะกี้นี้เอง ว่าคนที่ตนรับเป็นศิษย์คือบุตรแห่งสวรรค์ในคำทำนาย

    มันทำให้เขาตื่นเต้นอย่างมาก หลังจากกระซิบกับเซียนฟ้าผู้นั้นเพื่อความแน่ใจ เขาก็แน่ใจแล้วว่าลูกศิษย์ของตนคือบุคคลในคำทำนาย 

     

       จางหงหยูที่อยู่ในหมู่คนตระกูลต้าเจียง กำลังแสดงสีหน้าวิตกเธอรับรู้จากการพูดคุยกันของคนรอบตัวว่า อีกไม่นานพวกเขาจะย้ายไปที่อื่น จางหงหยูหัวหน้าห้องของหลินมู่ก็แสดงท่าทีจนปัญญา

    เธออยากจะติดต่อกับหลินมู่เป็นอย่างมาก หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย แถมยังแข็งแกร่งจนหน้าเหลือเชื่อ เธออยากปรึกษาเกี่ยวกับอนาคตหลังจากนี้ ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกลับบ้านไปได้หรือไม่ เธอส่งจดหมายไปได้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย มันยิ่งทำให้เธอกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก

     

       แต่เหมือนเวลาไม่คอยท่า อีกไม่นานพวกเขาคนจากต่างโลก จะขึ้นเรือบินไปกับตระกูลต้าเจียงไปยังที่แห่งอื่น

    ทั่วเกาะแห่งนี้หรือทวีปหลิวซู เริ่มถูกจับจองและแบ่งส่วนโดยบุคคลระดับสูงในพิภพอย่างรวดเร็ว จัดตั้งกลุ่มตัวแทนและคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติอย่างกระตือรือร้น

     

       หลินมู่ที่ถูกกวนจิวลากมาจนถึงภูเขาสุดขอบตะวันออก กำลังยิ้มแห้งมองอาจารย์ของตน ที่กำลังยืนยิ้มอยู่บนยอดเขา มองศิษย์ของตนที่ถูกหิ้วมาเสมือนกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง

    “ทองขาวน้อยเหตุใดเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียง 500 ปีก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากเป็นพันปีเจ้าจะไม่กลายเป็นวิญญาณสมบัติเซียน เลยหรืออย่างไร” กวนจิวพูดอย่างสนิทสนมกับกวนเจี้ยนโป โดยยังคงหิ้วหลินมู่เอาไว้ราวกับเขาเป็นสัมภาระ…

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×