คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #144 : ตอนที่ 144 ถึงเวลาแล้ว
ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ณ เขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกดำอัปมงคล รุ้งขาวตัดมาจากขอบฟ้าร่อนลงบนยอดอย่างกระทันหัน เหล่าผู้ฝึกฝนมารที่ประจำการอยู่บนเขาแสดงท่าทีแตกตื่น
แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของขุนพลฝ่ายซ้ายได้ พวกเขาจึงกลับมาสงบเสงี่ยมอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าจะเดินออกไปรับหน้าชายหนุ่มผู้มาเยือน
ผู้ฝึกฝนมารตัวเล็กๆอย่างพวกเขาไม่อยากเสี่ยงหรอก อีกฝ่ายเป็นถึงบุคคลระดับบนสุดของทวีป แค่ทำให้อีกฝ่ายขัดใจคงหัวหลุดจากบ่าโดยไม่รู้ตัว
ยืนอยู่นานสองนานหลินมู่ก็เริ่มขมวดคิ้ว เหตุไฉนไม่มีใครมาต้อนรับตนเลยเล่า คิดได้เช่นนั้นก็เตรียมเอ่ยปากถามออกไป แต่ยังไม่ทันเปล่งเสียง ร่างในชุดคลุมขาวถือพัดดอกเหมย
ไว้ผมยาวสีขาวดุจหมู่เมฆบนท้องนภา แหวกฝูงชนเดินเข้าหาชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ท่านหลินมู่ จอมมารรอท่านอยู่โปรดตามกระผมมา” อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา ภายนอกคล้ายพวกคุณชายอ่อนปวกเปียก
ที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ออร่าลมปราณที่ตลบอบอวลอยู่นั้น ไม่อาจเมินได้จริงๆอย่างต่ำอีกฝ่ายจะต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์ หรือ จุดสูงสุดของจักรพรรดิยุทธ์
ทำให้หลินมู่ตรัสรู้ว่าหากจอมมารเอาจริง หวังกวาดล้างทวีปหลิวซูเขาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงพลิกฝ่ามือแต่เหมือนจอมมารมีแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
จึงเลือกใช้เฉพาะตัวหมากเท่าจำเป็น ส่วนพวกหมากสำคัญๆเขาก็เก็บไปใช้ในโอกาสอื่นๆ หลินมู่เดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว
สายตาพลางสำรวจมองรอบตัวอย่างเคยชิน แม้จะบินมารวดเดียวเกือบวันกว่า ถึงจะรู้สึกว่าพลังจิตแห้งเหือดไปบ้าง ถึงกระนั้นพลังจิตที่จิตกระบี่เล่มที่ 300 มอบให้ กลับมากว่าเป็นเท่าตัวจากผ่านๆมา
นี่อาจจะเป็นจุดสูงสุดของปฐพีที่ 1 หากให้เปรียบกับเส้นทางวรยุทธ์ ตอนนี้เขาก็ถือเป็นตำนานยุทธ์ผู้หนึ่ง เป็นขีดจำกัดการเติบโตบนสุดเท่าที่ขอบเขตปฐพีที่ 1 จะให้กับเขาได้ในตอนนี้
เดินมาได้สักพักก็มาถึงห้องรับรองแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผมขาวถือพัดหลีกทางให้หลินมู่ “ท่านจอมมารรออยู่ด้านใน ท่านหลินมู่เชิญ…” ชายหนุ่มพยักหน้าพูดขอบคุณกับอีกฝ่าย แล้วผลักประตูเปิดออกแล้วเดินหายไปด้านใน
ชายหนุ่มผมขาวยกยิ้ม “ขอบคุณงั้นหรือ นอกจากนายท่านก็ไม่ได้ยินใครพูดขอบคุณมานานแล้ว…” เขาพูดยิ้มๆก่อนจะม้วนตัวจากไป
ด้านในเป็นห้องปลอดโปร่งแสงแดดยามอาทิตย์อัสดง ส่องลอดเข้ามาภายในเผยให้เห็นกระดานหมากล้อม และ ชายหนุ่มที่ตนคุ้นเคย ไป๋มู่…ไม่สิต้องพูดว่าจอมมาร อีกฝ่ายคล้ายหลินมู่สามถึงห้าส่วน แต่เพราะอีกฝ่ายค่อนข้างมีอายุจึงคล้ายเขาในสภาพโตแล้ว
จอมมารแย้มยิ้มเขาผายมือเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง หลินมู่ขยับตัวตรวจสอบรอบตัวเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ไม่ทันให้เปิดปากถามใดๆ อีกฝ่ายก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องสงสัยมากมาย แต่เจ้ารังเกียจหรือไม่ที่จะเล่นหมากกับข้าสักกระดาน” ชายหนุ่มไม่ปฎิเสธเพียงหยิบหมากขาวจากในโถขึ้นมามอง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“ให้ข้าเล่นนั้นได้ แต่อย่าได้หวังมากนักเพราะข้าได้เรียนมาเพียงเบื้องต้นเท่านั้น” พูดจบชายหนุ่มก็วางหมากลงบนกระดาษ ถืออภิสิทธิ์ผู้อ่อนกว่าเริ่มก่อน จอมมารพยักหน้ายิ้มๆคีบหมากดำพร้อมพูดขึ้น
“ฟ้าดินล้วนเต็มไปด้วยปริศนา ชีวิตมนุษย์ไม่เคยสลักสำคัญ เพื่อค้นหาเป้าหมายให้ตนมนุษย์จึงถามฟ้าดิน แต่สำหรับข้าสุดท้ายคำตอบมันก็เป็นเพียงเรื่องโกหก มนุษย์จึงยืนชะตาฟ้า” จอมมารพูดบางอย่างที่หลินมู่ไม่เข้าใจออกมา ก่อนจะวางหมากลงบนกระดาน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะคลายออก เขาคีบหมากขึ้นมาพร้อมถามคำถาม “ช่วยไขข้อสงสัยแก่ข้า ในตัวตนของเจ้าได้หรือไม่?” จอมมารพยักหน้าตอบไปพลาง คีบหมากมาหมุนเล่นไปพลาง
“หากจะให้พูดคงยาว แต่ให้สรุปก็ง่ายดุจกระดิกนิ้ว ข้าชื่อจ้าวหยู เป็นคนตระกูลเซียนใต้สังกัดนิกายเจี้ยนเสินเฟิง แต่ด้วยบรรพบุรุษทรยศก่อกบฏจึงถูกเนรเทศมา ตลอด 2000 ปี เหลือเพียงข้ากับเฉียนหลงที่เป็นคนรับใช้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าทำเรื่องไว้มากมาย ร่องเรือไปโผนทะเลร้องขอนิกายเซียนเขียนยันต์ ขจัดผีดิบซากโบราณทั้งหลาย ก่อตั้งปูทางมรรคายุทธ์…”
จอมมารเริ่มสรุปวีรกรรมในอดีตของตนอย่างรวดรับ ช่วงสุดท้ายเขาก็แย้มยิ้มคล้ายเล่านิทานปรำปรา “แม้จะเป็นอัจฉริยะที่มหาทวีปทั้ง 9 เคยยกยอ กลายปฐพีที่ 3 ภายใน 600 ปี จุดจบเช่นไรเล่าถูกทลายตันเถียร และ เนรเทศ”
หมากสีดำถูกวางไว้บนกระดาน พร้อมแฝงไว้ด้วยปณิธานบางอย่าง หลินมู่ย่อยข้อมูลอย่างรวดเร็วคีบหมากขึ้นมา พร้อมถามอีกคำถาม “เหตุใด ไป๋มู่ และ ท่านคล้ายจะไม่ใช่คนเดียวกัน…”
มาถึงจุดนี้หลินมู่ก็ให้ความเคารพอีกฝ่ายบ้างแล้ว หากไม่ใช่อัจฉริยะต่อให้พยายามขนาดไหน คงสร้างเรื่องราวไม่ได้มากมายเพียงนี้ พูดจบชายหนุ่มก็วางหมากไว้ ห่างจากจุดเดิมสามช่องจากด้านขวา
จอมมารคล้ายเตรียมคำตอบไว้แล้ว เขามองออกไปนอกหน้าต่างแสดงสีหน้าจนใจ พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกเล็กน้อย “มันเกิดจากความผิดพลาดตอนข้าใช้วิชาบวงสรวงจุติ วิญญาณที่แยกออกไปกลับถูกบางอย่างระงับตัวตนเอาไว้ สุดท้ายวิญญาณที่จุติไปก็เกิดเป็นตัวตนใหม่ ที่เกือบจะเป็นเอกเทศกับข้าโดยสิ้นเชิง….”
จอมมารปิดปากเงียบหันมาจ้องหน้าหลินมู่ พร้อมพูดขึ้นอีกครั้ง “สุดท้ายข้าในตอนนั้นที่ร่างเดิมจวนเจียนหมดอายุขัย จึงไม่ทางเลือกจุติวิญญาณที่เหลือตามไป ตอนนั้นเองทำให้ข้าได้รู้ว่าตัวเองก็เป็นหมากเช่นกัน แม้จะเหมือนว่าข้าเสียเปรียบ แต่เหมือนสตรีนางนั้นจะให้ของตอบแทน เป็นบางส่วนของวิชาทำนายดั้งเดิม”
เขาหยุดลงอีกครั้งก่อนจะหยิบหมากขึ้นมา แล้วพูดต่อ “นางให้ข้าเห็นอนาคตบางอย่าง และถูกกำชับว่าห้ามบอกใคร เพียงทำตามแผนที่นางวางไว้ก็พอ สุดท้ายไป๋มู่ก็เกิดขึ้นมา เป็นเด็กที่มีสองวิญญาณในคนคนเดียว ด้วยสถานการณ์ค่อนข้างบังคับ ข้าจึงได้แต่ทำตามที่นางกำชับไว้ก่อนจะจากไป ข้าสร้างความทรงจำของเขาขึ้นใหม่ ปลูกฝังความแค้นให้เขา ทำเหมือนข้าไม่เคยมีตัวตนมีเพียงเขา เพื่อให้เขามุ่งเป้าไปที่เจ้า"
พูดมาถึงจุดนี้จอมมารคล้ายแสดงอารมณ์เศร้าหมอง คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะสนิทสนมกับไป๋มู่มาก แต่เนื่องจากมันเป็นแผนการ จึงต้องสร้างความทรงจำสร้างเรื่องลวงหลอกมากมาย เพื่อให้แผนของนางผู้นั้นสัมฤทธิ์ผล
ส่วนนางผู้นั้นเป็นใครคงเดาได้ไม่ยาก แม่ของไป๋มู่ ผู้เป็นคนที่อาจารย์ของตนวางเดิมพันเอาไว้ เพียงเท่านี้ก็สามารถยืนยันการคาดเดาของชายหนุ่มได้บางส่วน
เขาไม่ใช่ตัวแปรเล็กจ้อยตามที่อาจารย์กล่าว น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่าง ทำให้นางวางแผนมากมายทำให้เขาต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด ชีวิตของไป๋มู่และชีวิตของคนจำนวนมาก ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ มีผลลัพธ์เดียวที่นางคาดหวัง คือทำให้หลินมู่สามารถสร้างจิตกระบี่เล่มที่ 300 ขึ้นมาได้
หากเขาถูกกำหนดไว้เพื่อฆ่าบุตรแห่งสวรรค์ การจะผลักดันให้ถึงขีดสุดของทุกๆด้านก็มีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่พอหวนกลับมาคิดไตร่ตรอง องค์เทียนโฮวจะอ่อนแอถึงขั้นให้เขามาสังหารศัตรูแทนเลยหรือ?
คำตอบก็ง่ายๆเป็นไปไม่ได้ ต่อให้บุตรแห่งสวรรค์ และ หลินมู่จะเติบโตเร็วเพียงไหน ก็ไม่อาจเทียบขอบเขตกับ องค์เทียนโฮวที่คาดว่าอยู่บนจุดสูงสุดของนภาที่ 3 เพียงกระพริบตาคงตายไม่ได้ผุดไม่เกิดแล้ว ต่อให้อ่อนแอถึงขีดสุดก็น่าจะมีอำนาจมากพอ จะปกป้องตนเองได้อย่างง่ายดาย
แปลว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ คือหลินมู่มีความสำคัญในบางเรื่อง บุตรแห่งสวรรค์โยนทิ้งไปเลย ไว้ให้ตัวเองในอนาคตเผชิญ ตอนนี้ต้องไปถึงนภาที่ 1 ให้เร็วที่สุด และ ไปพบนางที่ภูเขาเทพเจ้าในมหาทวีปเทวะ
เพื่อฟังคำตอบจากบุคคลนั้นอย่างแท้จริง การฟังจากปากคนอื่นก็ไม่ต่างไม่ได้ฟังเรื่องเล่า ที่ร้อยละสามสิบอาจจะเป็นเรื่องที่นางบิดเบือน และ ให้คนอื่นเล่าให้เขาฟังอีกที
คิดไปคิดมาชายหนุ่มก็ถูกดึงสติ จากจอมมารที่วางหมากเสร็จแล้ว เขาเหลือบมองกระดานเลิกคิดเรื่องนั้นไปก่อน แล้วเริ่มเล่นหมากอย่างจริงจัง และ ถามบางเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศวังเวงเกินไป
จากการนั่งเล่นหมากกับอีกฝ่าย จนดวงจันทร์ลอยขึ้นจากขอบฟ้า หลินมู่ก็ได้รับรู้เรื่องราวมากมายทั้ง เป้าหมายของอีกฝ่ายและความโหดเหี้ยมของโลกภายนอก
ถ้าให้เปรียบมนุษย์ในที่นี้แม้จะเจอเรื่องราวมากมาย แต่เทียบกับมหาทวีปภายนอก มนุษย์ธรรมดาในที่นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสวรรค์บนดิน ด้านนอกนั้นพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีภัยพิบัติตกลงหัวตอนไหน
ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนก็มีโอกาสถูกลูกหลง จนตกตายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว หรืออาจจะถูกจับไปทำพิธีกรรมบางอย่าง จนตกตายอย่างอนาถ ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าเพียงเสี้ยวพริบตาด้านนอกนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง เพราะฉะนั้นทวีปหลิวซู และ ทวีปปาซวนถือเป็นสถานที่ที่สงบสุขมากแห่งหนึ่ง แต่สถานการณ์นี้ก็จะหายไปเพราะม่านถูกปลดออกไปแล้ว
อีกไม่นานเซียนมากมายจากหลายนิกายหรือพวกพเนจร ก็จะพากันหลั่งไหลเข้ามาเพื่อขุดหาโชควาสนา ชีวิตของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากใบไม้ใบหญ้า เพียงเหล่าเซียนโบกมือแรงนิดเดียว ก็อาจจะตกตาย
จอมมารที่รับรู้อยู่แล้วว่าวันใดวันหนึ่งสถานการณ์เช่นนี้ต้องมาถึง จึงพยายามเปิดทางสายใหม่ จนประสบความสำเร็จก่อตั้งมรรคายุทธ์ขึ้นมา ทำให้เขานำเรื่องนี้ไปต่อรองและเสนอต่อเซียนที่รออยู่นอกทวีป
เป็นผลให้พื้นที่นี้ได้รับการคุ้มครอง จากนิกายเจี้ยนเสินเฟิงกลายๆ ลดปัญหาจุกจิกไปหลายอย่าง อย่างน้อยก็จนกว่ามรรคายุทธ์จะยืนหยัดในโลกภายนอกได้ ที่แห่งนี้ก็ถือเป็นสวรรค์บนดินต่อไปสักพัก เพื่อการนั้นส่วนน้อยจึงต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม จนเป็นต้นกำเนิดที่จอมมารก่อตั้งพรรคมารขึ้นมา เพื่อดำเนินไปตามแผนการของตน
จนมาถึงช่วงท้ายของกระดาน หลินมู่ก็หยุดลงมองไปทางไหนตนก็แพ้แล้ว จึงเตรียมจะจากไปแต่ก่อนไปเขาจึงถามคำถามที่สงสัย “แล้วพรรคมารที่ท่านบ่มเพาะมาจะทำเช่นไร หากปล่อยไปเช่นนี้คงไม่วายอาละวาด จนทำลายสวรรค์บนดินแห่งนี้ของท่านแน่นอน”
จอมมารยิ้มแย้มพร้อมตอบคำถาม “แน่นอนข้าเตรียมแผนไว้แล้ว ถึงอย่างไรพวกนั้นก็ถูกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นเครื่องบวงสรวงแต่แรก สุดท้ายหลังจากนี้อีกสองเดือน พรรคมารก็จะหายไปตลอดกาล”
หลินมู่พยักหน้าลุกขึ้นยืนไม่คิดจะถามใดๆอีก “เจ้าจะไปแล้วหรือ? ยังไม่ปิดกระดานเลยนะ” จอมมารถามพร้อมมองหมากในกระดาน หลินมู่เดินไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจันทร์กระทบบนร่างของตน
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “อืม ถึงอย่างไร้ข้าก็แพ้อยู่แล้ว ไม่ใช่ท่านคาดเดาไว้แล้วหรือ?” จอมมารฉีกยิ้มเป็นคำตอบ หลินมู่จึงได้แต่ส่ายหน้าม้วนตัวเตรียมจากไป
“โอ้ใช่ หลังจากเจ้าออกจากที่นี้ ก็จะมีคนมาหาเจ้าเป็นคนจากเจี้ยนเสินเฟิง ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะไปภายนอก ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรให้เจ้าเก็บเกี่ยวแล้ว” กึก!! เสียงของหมากกระทบกระดานดังขึ้น หลินมู่ก็ควบคุมกระบี่บินกลายเป็นรุ้งขาวหายไปบนท้องฟ้า
จอมมารยกยิ้มน้อยๆใช้นิ้วคีบหมากขาวขึ้นจากกระดาน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายคิดไม่ตกบางเรื่อง “เจ้าก็คาดเดาได้ว่ามันจะจบเช่นนี้ แล้วเหตุใดเล่าจึงไม่คิดจะเปลี่ยนผลลัพธ์”
พูดจบจอมมารก็เก็บหมากบนกระดาน ปิดห้องมิดชิดสั่งคำสั่งลงไปให้เฉียนหลง เรียกผู้ฝึกฝนมารทั่วทวีปมายังภูเขาร้อยอสูร เขาจะเริ่มแผนการสุดท้ายแล้ว
ด้านนอกเหนือหมู่เมฆ ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าที่มีรอยไหม้ และ ร่องรอยการต่อสู้จนชุดฉีกขาด กำลังยืนนิ่งแหงนหน้ามองเรือบินลำใหญ่ กำลังลอยเข้าหาตนด้วยใบหน้าขบคิด
ที่หัวเรือคือชายวัยกลางคนท่าทางใจดี ที่มีวงแหวนสองวงกำลังลอยอยู่หลังศีรษะ ทั้งสองสบตากันและกันเล็กน้อย ก่อนหลินมู่จะป้องหมัดทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “ศิษย์ของกวนเจี้ยนโป คารวะคนนิกายเจี้ยนเสินเฟิงทุกท่าน”
ความคิดเห็น