คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #141 : ตอนที่ 141 ข้อเสนอ
หุบเขาเมฆาอันเป็นที่ตั้งตระกูลไป๋ ตกสู่ความโกลาหลอย่างกระทันหัน ร่างสองร่างปะทะดาบกระบี่ห่ำหั่นจนฟ้าดินเปลี่ยนสี ทั้งคู่ใบหน้าคล้ายคลึงกันราวกับแกะ
หนึ่งในนั้นผมยาวสีดำเงางาม ดวงตาสีหมึกดุจท้องนภายามรัตติกาล ที่พร่างพราวไปด้วยหมู่มวลดารา อีกฝ่ายผมสีแดงเข้มค่อนข้างสั้นดวงตาสีแดงก่ำ ดุจจันทราที่ถูกย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉาน
เพล้ง!!! คมดาบคมกระบี่เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง คลื่นกระแทกจากทั้งสองปัดเป่าหมอกขาว ที่ปกคลุมหุบเขากระจายจนหายไปหมดสิ้น
ปณิธานดาบ และ กระบี่ ระเบิดพวยพุ่งขึ้นฟ้าจนฟ้าดินปั่นป่วน นอกทวีปเหล่าเซียนมองภาพนี้อย่างตะลึงพรึงเพริด “นั้นเขา? แต่ไม่ใช่ว่าเขาควรอยู่ในห้องลับหรือ?”
นักพรตเต๋าชราพูดขึ้นพร้อมมองยังภาพสะท้อนหนึ่ง ที่ฉายภาพของจอมมารกำลังนั่งสมาธิปรับสภาพจิตใจอยู่ คนอื่นๆขมวดคิ้วไม่เว้นปราชญ์แห่งต้าฉิน
ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วแน่นจนแทบผูกกันเป็นปม กวนจิวขมวดคิ้วแน่นเตรียมลงมือ นี้อยู่นอกเหนือขอบเขตที่พวกเขารับได้ ในขณะที่เจ้านิกายกวนเตรียมออกกระบี่
วังวนประหลาดก็เปิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา สีหน้าของแต่ละคนตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติพวกเขาไม่ได้หวาดกลัวผู้ที่อยู่ด้านหลังวังวนนี้แม้แต่น้อย
ทำเพียงรออย่างเงียบงันให้อีกฝ่ายกล่าวจุดประสงค์ ที่ติดต่อกับพวกตนโดยตรงเช่นนี้ “จ้าวหยู คารวะ ต้าเซียนจวิน และ เซียนจวิน ทุกท่าน” จอมมารทำความเคารพเหล่าเซียนอย่างสุภาพ
ในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความนิ่งสงบ และ มั่นใจในบางสิ่งบางอย่าง กวนจิวขมวดคิ้วพร้อมเปล่งเสียงถามออกไป “จ้าวหยู เจ้าเหิมเกริมนักไปกินดีหมีหัวใจเสือใดมาจึงกล้านัก เพียงพ้นโทษของบรรพบุรุษ เจ้าก็โจมตีศิษย์นิกายของข้า? เจ้าก็เคยเป็นศิษย์ของเจี้ยนเสินเฟิง แต่เหตุใดถึงโหดเหี้ยมนัก?”
จอมมารปิดปากเงียบงันคล้ายกำลังไตร่ตรองคำพูดของตนอยู่ เหล่าเซียนเองก็มีความอดทนมากพอจะให้ตัวตนต่ำต้อย อย่างจอมมารได้คิดไตร่ตรองคำพูดให้ดี เพราะเพียงคำพูดไม่เข้าหูเพียงนิดเดียว เพียงหนึ่งในนี้กระดิกนิ้ว
จอมมารที่อยู่ในห้องลับห่างไกลก็เตรียมสิ้นชีพได้เลย คล้ายไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วเสียงที่แฝงไปด้วยความเคารพ ก็ดังออกมาจากวังวนนั้น
“เรียนเจ้านิกาย นี้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับเขา อย่างมากเขาก็เจอเคราะห์บนมหามรรคา แต่หากผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้ เขาก็ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าทางไหน เส้นกรรมที่ผูกพันระหว่างข้ากับเขาก็จะสะบั้นลง นี้เป็นเพียงระบายความขุนเคืองระหว่างข้ากับเขา”
กวนจิวนิ่งงันคล้ายยอมรับการอธิบายของอีกฝ่าย ขอแค่ศิษย์หลานของตนไม่ถึงสาหัส เขาก็พออะลุ่มอล่วยปล่อยให้ทั้งสองแก้ไขความขุ่นเครื่องระหว่างกันและกัน
เซียนฟ้าจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ ที่ฟังมานานก็พูดขึ้นพร้อมลูบหนวดเคราของตนไปด้วย “จากที่ข้าสังเกต นั้นคงจะเป็นวิชาโบราณบางอย่าง ของคนโบราณที่สามารถแบ่งจิต ควบคุมร่างกายได้ใช่หรือไม่?”
จอมมารไม่ปิดบังตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด นี้คือ เคล็ดบวงสรวงจุติ อย่างที่ข้าเคยอธิบายแต่มันไม่จริงทั้งหมด….” จ้าวหยูเริ่มอธิบายถึงผลลัพธ์ที่แท้จริงอย่างละเอียด
จนพระชราคล้ายพระพุทธองค์ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “โยม รู้หรือไม่นั้นเป็นวิชาที่ชั่วร้ายอย่างมาก…” จอมมารนิ่งเงียบคล้ายบอกว่าตนรู้อยู่แล้ว แต่หากไร้ซึ่งวิชานี้เขาก็จะตายไปตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน
“วิชาที่สามารถแยกวิญญาณ ส่งไปจุติในร่างของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันก็เก็บความรู้ความเข้าใจดั้งเดิมไว้ทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั้นร่างดั้งเดิมยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าละเพียง 2,000 เส้นทางสายใหม่จึงเกิดขึ้นได้”
ปราชญ์แห่งต้าฉินพูดอย่างตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนเมื่ออดีตกาลจะมีเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเช่นนี้ “อืม แต่ก็ใช่จะดีไปเสียหมด อารมณ์ด้านลบในทุกครั้งที่จุติเกิดใหม่ ก็จะทวีคูณเป็นเท่าทวี คาดว่าเป็นคนเสี้ยววิญญาณของเด็กในครรภ์ ดีไม่ดีอาจจะวิกลจริตในสักวัน ไม่อาจคงสติเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่น่าเวทนา แถมวิญญาณยังมีขีดจำกัด จุติไม่กี่รอบคงแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี และ ข้ายังไม่ได้พูดอีกว่ามีความเป็นไปได้ที่ วิญญาณที่จุติอาจจะบังเกิดเป็นตัวตนใหม่”
เซียนฟ้าที่มีท่าทางเจ้าเล่ห์จากนิกายศักดิ์สิทธิ์ พูดขึ้นพร้อมส่ายหน้า “เป็นดั่งที่ต้าเซียนจวินพูด วิญญาณของข้าสามารถทำการจุติได้อย่างจำกัด ตอนนี้จิตใจและอารมณ์ด้านลบทั้งหมด ถูกส่งผ่านไปยังร่างจุติของข้า ที่แทบจะเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง ยามนี้เขามีความแค้นลึกล้ำ แต่ชีวิตของเขาก็อยู่ได้ไม่นาน ข้าได้ใช้วิชาโบราณสร้างร่างชั่วคราวขึ้นมา อีกไม่ถึงวันร่างนี้ก็จะถึงอายุขัย แต่หากเกินควบคุมข้าก็สามารถปลิดชีพได้ทุกเมื่อ”
“หรือก็คือ ร่างที่เจ้าใช้อยู่ตอนนี้คือไป๋มู่ตัวจริง แต่ร่างเมื่อ 30 ปีก่อนในเรื่องเล่าและตอนนี้ เป็นเพียงร่างชั่วคราวที่สร้างขึ้น เพื่อให้เจ้าดำเนินแผนการได้อย่างราบรื่น เจ้าคงมีวิชาแปลกพิสดารในมืออีกมากกระมัง” นักพรตเต๋าถามขึ้นอย่างสงสัย ขณะเดียวกันวงแหวนสีขาวและดำของเขาก็เริ่มหมุนวนเร็วขึ้นอย่างช้าๆ
จอมมารไม่มีท่าทีจะปิดบังใดๆ ตอบกลับอย่างซื่อตรงจนน่าประหลาด “ถูกต้อง ผู้อาวุโสมองทะลุปรุโปร่งแล้ว เมื่อตอนที่ข้าจุติเกิดเป็นไป๋มู่ ข้าได้ใช้วิธีบางอย่างหลอกว่าข้ามีร่างพิการแต่กำเนิด ก่อนจะเริ่มแผนฆ่าตัวตายด้วยร่างชั่วคราว แล้วกลับไปยังภูเขาร้อยอสูร”
นักพรตเต๋าท่าทางซอมซ่อดวงตาสว่างจ้า “เป็นเคล็ดวิชาที่แปลกพิสดารจริงๆ ไม่เพียงสร้างร่างกายได้ชั่วคราว แต่ยังควบคุมได้ดั่งใจ นี้คงเป็นมรรคาวิชาหุ่นเชิดในสมัยบรรพการกระมัง แถมยังมีวิชาจุติเกิดใหม่อีก มรรคาสมัยก่อนลึกล้ำเพียงใดกันแน่”
เขาพึมพำอยู่คนเดียวจนน่าขนหัวลุก คนอื่นๆทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายทำเพียงจ้องเขม็งไปยังวังวนแปลกประหลาด กวนจิวคล้ายจะขี้เกียดสาวความยาวท้าวความยืด
จึงเปิดปากถามจุดประสงค์จริงๆออกไปทันที “เอาหล่ะ หยุดตีพุ่มไม้ไปมาได้แล้ว จ้าวหยูเจ้ามีจุดประสงค์อันใดจึงติดต่อกับพวกข้า?”
ทุกคนรอฟังจุดประสงค์ของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจทันที พวกเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อันใดจึงติดต่อมาหาพวกตน
จ้าวหยูที่รู้ว่าการพูดคุยสัพเพเหระได้จบลงแล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงที่สุด “ข้ามียื่นข้อเสนอกับพวกท่าน…” เซียนแต่ละคนแสดงสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ข้อเสนออันใด?”
กวนจิวรับหน้าที่เป็นคนกลางถามถึงข้อเสนอ “ข้าอยากเสนอให้พวกท่านช่วยข้า จะส่งเสริมหรือไม่ก็ได้แต่ขอเพียงอย่าได้ขัดขวาง ข้าอยากกระจายมรรคายุทธ์ ไปยังภายนอก”
ทุกคนนิ่งเงียบสักพักก่อนพระชราจะพูดขึ้นอย่างสงสัย “โยม พวกเราเหล่าเซียน และ ปุถุชนจะได้อันใดจากการที่มรรคายุทธ์ กระจายไปยังภายนอก?” จอมมารคล้ายรู้อยู่แล้วว่าเหล่าเซียนจะถามเช่นนี้ จึงตอบกลับไปโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย
“หากมรรคายุทธ์สามารถกระจายออกไปได้สำเร็จ ข้าจะแบ่งปันบุญกุศล ให้พวกท่านส่วนหนึ่ง..” เพียงคำว่าบุญกุศลเข้าหู แต่ละคนก็เปลี่ยนท่าทีไปทันที
บุญกุศลคือสิ่งใดมันคือสิ่งที่ฟ้าดินมอบให้ กับบางสิ่งหรือบางคนที่สร้างความดีความชอบมหาศาล นั้นหมายความว่ามรรคายุทธ์ มีผลกระทบและส่งผลเป็นอย่างมากับภายนอก
ถึงจะรู้สึกตะลึงเล็กน้อยแต่เหล่าเซียน ก็ไม่ได้เชื่อเพียงลมปากพวกเขาถามหาหลักฐานทันที จอมมารเองก็รู้ในจุดนี้เช่นเดียวกัน เขาควบแน่นตะกอนแสงสีทองริบหรี่ขึ้นมา
เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแก่การพิสูจน์ แล้วว่ามรรคายุทธ์สำคัญต่อฟ้าดินแค่ไหน “พวกเราตอบรับข้อเสนอ แต่ไม่ส่งเสริมเจ้าสามารถเผยแพร่มรรคายุทธ์ ได้ตามสบายจะรุ่งหรือร่วงก็ขึ้นกับเจ้า ขณะเดียวกันพวกข้าจะไม่ขอส่วนแบ่งบุญกุศล ขอให้เจ้ารับปากว่าจะไม่กระทบกระทั่ง มหามรรคาสายหลัก”
ผู้มีวัยวุฒิมากสุดในที่นี้ อย่างเซียนฟ้าจากนิกายศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหากพลาดพลั้ง มรรคาเซียนอาจจะได้รับผลกระทบมหาศาล
แม้มรรคายุทธ์จะพึ่งตั้งไข่แต่การที่มันได้ส่งเสริม จากฟ้าดินหมายความว่าพิภพก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ที่พวกเขาไม่รู้แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะยื่นมือเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า
ผู้มีคุณสมบัติอย่างแท้จริงคงไม่พ้น เซียนสวรรค์ที่ทั้งภพมนุษย์ มีเพียง 16 คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ยื่นมือลงมาในบึงน้ำขุ่นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดเลยว่าขอบเขตนภาที่ 3 ของ ภพเทพ หรือ ภพปีศาจ จะลงมือหรือไม่
สองภพนั้นต้องมีส่วนไม่มากก็น้อย คาดว่าพิภพสุสานเทพเจ้าเองก็กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่เช่นกัน บางทีอาจจะเกิดสงครามสามภพขึ้นอีกครั้ง
ในขณะที่เหล่าเซียนเจรจากับจอมมาร หลินมู่กำลังกวัดแกว่งกระบี่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า เพียงคมของตงหยูปะทะกับคมดาบของอีกฝ่าย คลื่นลมอันคมกริบก็จะระเบิดขึ้นมา
พัดให้บริเวณโดยรอบราบเป็นหน้ากลอง ไม่รู้ตอนไหนทั้งสองก็ปะหัตถ์ประหารกันอยู่ กลางทุ่งโล่งกว้างแห่งหนึ่ง ทั้งสองยืนห่างกันหลายสิบจั้ง
ดวงตาอันนิ่งสงบสอดประสานกับดวงตาที่บ้าคลั่งดวงนั้น “เหตุใด..” หลินมู่เป็นฝ่ายพูดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำลายบรรยากาศอันเงียบงันด้วยคำถาม
“เหตุใดงั้นหรือ? เจ้าถามว่าเหตุใดข้าจึงฆ่าตาเฒ่านั้น กับเกลียดชังเจ้าสินะ ก็เพราะข้าเกลียด!! ข้าเกลียดเขากับเจ้า!!” อีกฝ่ายคำรามอย่างบ้าคลั่งคล้ายคนขาดสติ ดวงตาสีแดงก่ำไร้ประกายคล้ายคนเหม่อลอยตลอดเวลา
หลินมู่นิ่งงันคล้ายจับความนัยได้บางอย่าง “เคล็ดบวงสรวงนั้น คงมีบางอย่างที่เจ้าไม่ได้บอกข้าอยู่สินะ…” เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม ไป๋มู่ก็นิ่งงันคล้ายคำถามนั้นไม่ได้มีคำตอบ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” สิ้นเสียงของชายหนุ่มจิตกระบี่ก็ระเบิดขึ้น พร้อมการหายไปของอีกฝ่าย ไป๋มู่ดวงตาหดลีบม้วนตัวฟันดาบกลับหลัง เพล้ง!! ปราณฟ้าดินปะทะกับจิตกระบี่อย่างรุนแรง
จนบรรยากาศปั่นป่วนหมู่เมฆดำทะมึน คล้ายฟ้าดินพิโรธหยาดพิรุณโปรยปราย ฟ้าแล่บแปลบปลาบเกิดขึ้นเป็นระยะ ใต้สายฝนอันโหมกระหน่ำและฟ้าแล่บ
หลินมู่กดคมกระบี่กดดันคมดาบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่มาช่วยเจ้าหรือเพราะเจ้าเกิดเป็นบุตรเขากันแน่ ส่วนข้าคงเพราะหน้าตานี้กระมัง” คล้ายได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง ร่างของไป๋มู่ที่คล้ายไร้วิญญาณมีแต่จิตที่ปั่นป่วน
คำรามในลำคอพร้อมกระแทกเสียง ใส่แรงลงไปในดาบอีกหลายส่วน “ทั้งคู่!! ข้าเคยรักเทิดทูนเขาเหนือสิ่งใด!! แต่พอเขารับรู้ว่าข้าไร้หนทางฝึกฝน เขาก็เฉยเมยก่อนจะขับไล่ไสส่งข้าไปตาย!! แต่ทำไมจึงได้ใยดีไอ้คนที่หน้าตาเหมือนข้า พิการวรยุทธ์เช่นข้ากัน!! เจ้ามันไม่สมควรมีตัวตนอยู่ที่นี้!!!”
เพล้ง!! เพียงกวาดหนึ่งดาบผืนดินก็แตกระแหง ร่างที่อยู่ใต้สายฝนนั้นคล้ายแสดงอารมณ์โดดเดี่ยว และ หดหู่อย่างขีดสุด ปราณฟ้าดินในตัวของเขาปั่นป่วน ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังชายหนุ่มที่ละม้ายคล้ายคลึงจนถึงที่สุดผู้นั้น
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเจ็บปวดเท่าใด!!” ยิ่งนานออร่ารอบตัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งทวีคูณ ปราณฟ้าดินก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ไป๋มู่ก้าวสามขุมเข้าหาหลินมู่ด้วยสายตาอาบไล้ไปด้วยจิตสังหาร
“ขอเพียงข้าสังหารเจ้า และ ตาเฒ่านั้นกายนี้ก็เหลือพัฒนาการเดียว…เหลือเพียงนางเท่านั้น” อีกฝ่ายคล้ายพึมพำอยู่กับบางสิ่ง ระเบิดปราณฟ้าดินขึ้นอีกระลอกตวัดดาบ สร้างเป็นปราณดาบพุ่งเข้าใส่หลินมู่อย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มเองก็ไม่มีความลังเลใดๆ ตวัดกระบี่ฟาดฟันจิตกระบี่สวนกลับไป ปัง!!! ทั้งสองเข้าปะทะกันจนเกิดเป็นพลังน่าเหลือเชื่อ ผืนดินรอบตัวหลายจั้งพังทลายเหลือไว้เพียงพื้นที่รกร้าง
ทั้งสองร่างใต้หยาดพิรุณห่าใหญ่ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งคู่สบตากับอยู่สักพักก่อนจะขยับตัวอีกครั้ง เพล้ง!! ไม่มีกระบวนท่าหรือเคล็ดวิชาสะเทือนฟ้าใดๆ มีเพียงการปะทะกันตรงๆระหว่างจิตกระบี่และปราณฟ้าดิน ดุจสัตว์เดรัจฉานที่ห่ำหั่นกันด้วยกำลังดิบไม่สนใจสิ่งใดๆอีก
ความคิดเห็น