ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 14 มาถึงหุบเขาสำเร็จมาร

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 65


       ขบวนเก็บประสบการณ์ของตระกูลไป๋ พักอยู่ที่เมืองกวางหยูอีกสองวันก่อนจะเริ่มออกเดินทางต่อ

    สภาพร่างกายของหลินมู่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่มากพอจะเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองอย่างช้าๆ

     

       หลินมู่เดินไปขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าปกติ แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายตามุ่งร้ายจากด้านหลัง

    เมื่อหันไปมองก็พบกับไป๋หลานหลง อีกฝ่ายกำลังยืนมองตนด้วยใบหน้านิ่งสงบ

     

       ชายหนุ่มย่นคิ้วก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงทักทายไปทางอีกฝ่าย แต่ไป๋หลานหลงกลับไม่ฮือไม่อือแต่อย่างใด

    ทำเพียงม้วนตัวเดินจากไปทิ้งให้หลินมู่ขมวดคิ้วอยู่อย่างงั้น เมื่อเข้าไปนั่งภายในรถม้าที่ตนคุ้นเคยก็ช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง

     

       ทำไมอีกฝ่ายจึงมองตนอย่างมุ่งร้ายเช่นนั้น หรือจะลงมือแล้ว? 

    หลินมู่ไตร่ตรองความเป็นไปได้กับตนเองเงียบๆ 

     

       เมื่อคืน หลินมู่ตัดสิ้นใจไปพูดกับไป๋หยงซุน และขอร้องให้เขาคอยจับตาไป๋หลานหลง

    มือกระบี่ขี้เหล้าตอบรับทันที เดิมทีงานที่เขารับมาจากไป๋หยุนเฉินคือดูแลความปลอดภัยของหลินมู่

     

       ยิ่งช่วงนี้เขาสังเกตถึงการกระทำที่ผิดปกติของไป๋หลานหลง เขาจึงตอบรับทันทีเมื่อหลินมู่มาขอให้เขาช่วย

    หากเป็นคนปกติเขาจะไม่สนใจไป๋หลานหลงแม้แต่น้อย แต่มารดาของอีกฝ่ายคือคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในตระกูลไป๋

     

       นางแต่งเข้ามาในฐานะฮูหยินเจ้าตระกูลเมื่อ 15 ปีก่อน แทนตำแหน่งเดิมที่ว่างมาหลายปีจากการหายตัวไปของ หญิงสาวที่ไป๋หยุนเฉินรักและยังเป็นถึงมารดาของไป๋มู่

    เพียงเดือนแรกที่นางเข้ามา ด้านมืดของตระกูลไป๋ก็ถูกนางคุมไว้อยู่หมัด ข้อมูลสำคัญมากมายถูกนางล้วงออกไปทำประโยชน์ให้ตนเอง

     

       กว่าเหล่าอาวุโสใหญ่หรือไป๋หยุนเฉินจะรู้ตัวว่าหน่วยลงทัณฑ์ลับของตน ถูกสตรีนางนั้นรวบไปแล้วก็เป็นอีกห้าเดือนให้หลัง ความเสียหายของตระกูลไป๋มหาศาล

    เดิมทีไป๋หยุนเฉินโกรธอย่างมากที่นางเข้ามายุ่งย่่าม เขาจึงบุกไปหอเรือนหวังสังหารนางทิ้งเสีย พร้อมกับเหล่าอาวุโสใหญ่

     

       เมื่อไปถึงก็พบว่านางกลับนั่งรอที่ห้องรับแขกอย่างหน้าตาเฉย นางเปิดเผยว่าตนตั้งท้องบุตรของไป๋หยุนเฉิน

    ก่อนสถานการณ์จะเกินย้อนกลับ เหล่าอาวุโสใหญ่ที่คราแรกไปกับไป๋หยุนเฉินด้วยโทสะ 

     

       ก็รีบห้ามปรามเขาแทนทันที กลัวว่าสายเลือดของจักรพรรดิยุทธ์จะถูกตัดขาด มันยิ่งทำให้ไป๋หยุนเฉินเดือดดาลมากขึ้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

    ได้แต่เดินออกมาอย่างหงุดหงิด ในคืนนั้นไม่รู้ว่าเหล่าอาวุโสใหญ่พูดคุยกับสตรีนางนั้นว่าอย่างไร

     

       เมื่อรุ่งเช้าในห้องประชุมของคนระดับสูง เหล่าอาวุโสใหญ่ก็แจ้งว่าหนวยลงทัณฑ์ลับ จะอยู่ใต้การควบคุมของนาง

    ในเช้าวันนั้นเองที่ไป๋หยุนเฉินระเบิดโทสะ เข้าประหัตถ์ประหารกับเหล่าอาวุโสใหญ่

     

       อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ที่เป็นถึงราชันย์ยุทธ์ ก็ไม่อาจรับมือกับโทสะของจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งได้

    สองในสี่บาดเจ็บสาหัส จนทุกวันนี้ยังต้องพึ่งไม้เท้าเพื่อเดินไปไหนมาไหน

     

       หนึ่งอยู่ในสถานะกึ่งเป็นกึ่งตาย ปัจจุบันยังคงนอนอยู่ที่หอยาแม้จะได้สติแล้วก็ตาม สุดท้ายเกือบจะถูกไป๋หยุนเฉินสังหารทิ้ง

    แต่ด้วยที่อาวุโสคนนั้นยอมประนีประนอม เขาจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

     

       เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ขุมกำลังระดับสูงของตระกูลไป๋บาดเจ็บอย่างหนัก และเป็นวันที่ไป๋หยงซุนรู้ว่าความไม่ลงรอยกันระหว่าง ไป๋หยุนเฉิน และ เหล่าอาวุโสใหญ่

    มันเกินขอบเขตคำว่าไม่ลงรอยแล้ว คาดว่าหากไม่ตายกันไปข้างกลุ่มระดับสูงตระกูลไป๋คงจะอยู่ในสถานะไม่มั่นคงต่อไป

     

       ถ้าจะถามหาต้นตอความบาดหมาง คงต้องย้อนไปตอนไป๋หยุนเฉินได้ขึ้นเป็นประมุขตระกูล หลังจากนั้นอีก 15 ปี 

    ไป๋หยุนเฉินก็พาสตรีคนหนึ่งกลับมายังที่มั่นตระกูลไป๋ แต่เหล่าอาวุโสใหญ่กลับต่อต้านนางอย่างหนัก ค้านหัวชนฝาคอยจำกัดสิทธิ์แทบทุกอย่างของนาง ไม่นานนางก็ให้กำเนิดไป๋มู่แล้วหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

     

       เหลือไว้เพียงกระดาษที่เขียนภาษาโบราณที่อ่านไม่ออกเอาไว้ ด้วยที่พวกเขาไม่มีใครอ่านภาษาโบราณนี้ออกเลย

    ไป๋หยุนเฉินเลยโยนเรื่องนี้เป็นความผิดของเหล่าอาวุโสใหญ่ ที่กดดันนางจนนางไม่อาจทนได้ไหวจึงเลือกหนีไป

     

       เหล่าอาวุโสใหญ่พูดอะไรไม่ออกทำไมพวกตนจึงเป็นแพะรับบาป หลังจากนั้นความตึงเครียดระหว่างไป๋หยุนเฉินและอาวุโสใหญ่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ

    จนมาปะทุขึ้นในเช้าวันประชุมวันนั้น เหล่าชายชราจากยุคก่อนดูหมิ่นอำนาจของจักรพรรดิยุทธ์เกินไป

     

       เป็นผลให้พวกเขาทั้งสี่เกือบจะตายคามือไป๋หยุนเฉิน สตรีนางนั้นแม้จะไม่สามารถทำตามแผนในการครอบครองหน่วยลงทัณฑ์ลับของตระกูลไป๋

    แค่นางก็สามารถแลกมาซึ่งความปลอดภัยที่ไป๋หยุนเฉินจะไม่ทำอะไรนาง

     

       ความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาดำเนินไปอย่างเงียบๆ แม้ไป๋หยุนเฉินจะไม่ได้เกลียดไป๋หลานหลง

    แต่เมื่อคิดขึ้นมาว่านี่คือบุตรของตนกับสตรีนางนั้น เขาก็อดจะเย็นชาไม่ได้

     

       เป็นผลให้ไป๋หลานหลงต้องการการยอมรับจากบิดา ครั้งหนึ่งไป๋หยุนเฉินเคยเล่าเรื่องของพี่ชายต่างมารดาให้เขาฟัง

    ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ค่อยๆเปลี่ยน จากต้องการยอมรับเป็นการพิสูจน์ และมันก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

     

       จนมาถึงวันที่ห้าตระกูลช่วงชิงวาสนาจากต่างภพ และไป๋หยุนเฉินออกหน้าออกตาว่าต้องการตัวของหลินมู่อย่างมาก

    แม้ว่าไป๋หลานหลงจะไม่เคยเห็นหน้าของพี่ชายต่างมารดาของตนที่ตายไป

     

       แต่เขาก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง นานเข้าเขาก็คอยสังเกตหลินมู่ห่างๆ จนเขาอดสงสัยได้ไม่จึงไปถามไป๋หยุนเฉิน

    ไป๋หยุนเฉินก็ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อได้ยินว่าหลินมู่นั้นราวกับแฝดของพี่ชายต่างมารดาของตน

     

       ไป๋หลานหลงก็เกิดใจเกลียดชัง ทำไม? ทำไมไอ้พี่ชายที่ตายไปแล้วของตนจึงสำคัญนัก ทำไมไม่สนใจตนบ้างเลย?

    แม้จะเกลียดชังหลินมู่ แต่เขาก็ไม่ลงมือทำอะไรเพราะ เขาเห็นรอยยิ้มรอยยิ้มที่ดีใจที่ไม่ใช้การแสดงขึ้นมาของไป๋หยุนเฉิน 

     

       แต่เกิดจนโตเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นบิดาเลย ถึงแม้จะยิ้มแต่ก็เป็นยิ้มที่ฟืนทำขึ้นมา

    เวลาร่วมโต๊ะอาหารบิดาของตนก็สีหน้าบึ้งตึง นี้จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นรอยยิ้มจากชายชราผู้นี้

     

       ไป๋หลานหลงไม่เคยมีจิตมุ่งร้ายใส่หลินมู่ แต่หลังจากมารดาของเขาเข้ามาเป่าหู เขาก็เกิดจิตสังหารอีกฝ่ายขึ้นมา

    แกมีสิทธิ์อะไร!? เป็นแค่ตัวแทนของตนตายอย่ามาทำให้มารดาข้าและบิดาข้าต้องมาทะเลาะกัน!!

     

       เมื่อถึงหุบเขาสำเร็จมารเขาจะสังหารอีกฝ่าย และโยนร่างลงหุบเหวให้อีกฝ่ายหายไปจากสายตาตลอดกาล

    หลินมู่ผู้ไม่รู้เรื่องความบาดหมางในตระกูลไป๋ จึงกลายเป็นคนรับเคราะห์ไปอย่างงุนงง

     

       นั้นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ฟ้าดินชดเชยมหามรรคให้หลินมู่ที่รอเขาอยู่ยังหุบเขาสำเร็จมาร

    ขบวนเก็บประสบการณ์ของตระกูลไป๋ ออกเดินทางหลังจากพักอยู่ที่เมืองกวางหยูไปยังหุบเขาสำเร็จมารต่อ

     

       การเดินทางหลังจากนั้นเงียบสงบอย่างมาก ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางแม้แต่น้อย

    พริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสองเดือน พวกเขาผ่านชายแดนออกจากมณฑลหยุนปั๋ว อันเป็นที่ตั้งของหุบเขาเมฆาตระกูลไป๋

     

       เข้าสู่มณฑลไท่หยางซู ขบวนเก็บประสบการณ์สามารถมองเห็นป่าไผ่ได้ตลอดทาง

    มีต้นไผ่หลากหลายชนิด และบางครั้งหนึ่งในสามอาวุโสที่มากับขบวนเก็บประสบการณ์ จะออกจากขบวนก่อนจะกลับมาพร้อมกับต้นไผ่สีส้มเหลืองราวกับดวงแสงตะวัน

     

       นี่คือสิ่งที่ทำให้มณฑลนี้ได้ชื่อว่าไท่หยางซู นี้คือไผ่ตะวันสามารถใช้งานหลากหลาย แต่ส่วนมากจะใช้เป็นส่วนผสมของการปรุงยา

    แม้มันจะเกิดอยู่ทั่วมณฑลไท่หยางซู แต่กลับมีจำนวนน้อยนิดและยากจะได้พบ จึงทำให้มันมีราคาสูงเป็นอย่างมาก

     

       เดินทางขึ้นเหนืออีก 200 ลี้ พวกเขาก็มาถึงหุบเขาสำเร็จมารหุบเขาสีดำที่ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้าย ที่ตั้งสูงตระหง่านที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต

    แม้แต่สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดยังต้องเดินทางอีก หลายร้อยลี้กว่าจะเห็นบ้าง

     

       บริเวณรอบหลายร้อยลี้ที่มีหุบเขาสำเร็จมารเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับเป็นดินแดนแห่งความตาย

    แม้ต้นไม้ต้นหญ้าจะเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ แต่ยิ่งเข้าใกล้หุบเขาสำเร็จมารจำนวนของสิ่งมีชีวิตยิ่งมีน้อยลงน้อยลง

     

       จนแม้แต่เสียงร้องของแมลงสักตัวก็ยังไม่มี เมื่อขบวนเก็บประสบการณ์ของตระกูลไป๋อยู่ห่างจากหน้าหุบเขาได้พอสมควร

    ขบวนก็หยุดนิ่งก่อนแต่ละคนจะลงมาเพื่อตั้งเต็นท์ ตั้งค่ายพักแรมกันอย่างขมักเขม้น

     

       หลินมู่ที่เดินลงมาจากรถม้า แม้จะผ่านมาเกือบสองเดือนแต่ร่างกายของเขายังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์

    แต่เรื่องการเดินหรือวิ่งระยะสั้นๆก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เขามองหุบเขาหินสีดำไร้พืชพันธุ์ที่ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมาอยู่เรื่อยๆ ด้วยสีหน้าสงสัย

     

       “หน้ากลัวกว่าที่จิตนาการไว้เล็กน้อย…” หลินมู่พึมพำด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆดำจำนวนมาก

    ส่อถึงเค้าลางว่าฝนกำลังจะมา “ฝนน่าจะเริ่มตกประมาณพรุ่งนี้ช่วงบ่ายๆ” ตลอดการเดินทางระยะเวลาเกือบสองเดือน

     

       ในที่สุดโลกฝั่งนี้ก็เข้าสู่หน้าฝน เมื่อวันก่อนก็พึ่งตกไปบริเวณนี้จึงยังชื้นแฉะพอสมควร สักพักชายหนุ่มพึ่งคิดอะไรได้ “นี้คนในโลกนี้ปลูกพืชไว้หน้าฝน ไม่กลัวมันหนาวตายรึไง” หลินมู่พูดพึมพำอยู่คนเดียว

    ไม่ห่างนักไป๋หลานหลงที่มองแผ่นหลังของหลินมู่ด้วยจิตมุ่งร้าย “ถ้าก้าวขาเข้าไปในหุบเขาตอนไหน ตอนนั้นแหละคือเวลาตายของแก ใช้เวลาอันน้อยนิดให้คุ้มไปเถอะหลินมู่”

     

       พึมพำเสร็จเขาก็หมุนตัวเดินจากไป บริเวณหน้าหุบเขาราวกับเป็นคนละโลก

    ไอเย็นหยินที่เย็นยะเยือกราวกับจะซึมลึกลงไปในไขกระดูก ปราณไอชั่วร้ายไหลออกมาไม่หยุด

     

       หากเป็นพวกที่จิตใจอ่อนแออาจจะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ นี้คือเป้าหมายในการเก็บประสบการณ์ครั้งนี้

    เพื่อขัดเกลาจิตใจ หลินมู่ที่ตอนแรกไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการมายังหุบเขาสำเร็จมาร

     

       คราแรกเขาก็ไม่คิดจะเข้าไป พอเข้าวันที่สองไม่รู้อะไรดลบันดาลทำให้เขาอยากจะเข้าไปด้านใน

    ชั่งใจสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในหุบเขาในช่วงบ่ายที่มีคนอยู่น้อย ก่อนจะเข้าไปภายในเขาก็ไปบอกกับไป๋หยงซุนไว้แล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้านอะไรแม้จะฝึกฝนไม่ได้ แต่การเข้าไปก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน หลินมู่หลบสายตาของคนจำนวนก่อนจะเข้าไปภายในหุบเขาอย่างเงียบเชียบ

     

       แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่สังเกตเห็นเขาหนึ่งในนั้น คือไป๋หลานหลงที่คอยจับตามองเขาตลอด เขาสั่งให้ลูกสมุนของตนไปยื้อเวลาเหล่าอาวุโสเอาไว้

    ก่อนจะเดินตามหลินมู่ไปอย่างเงียบงัน พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร “วันนี้แหละคือวันตายของแก…” เขาคบเขี้ยวเคี้ยวฟันเดินตามหลินมู่เข้าไปภายในหุบเขาสำเร็จมาร 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×