ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #139 : ตอนที่ 139 ความจริงของ 30 ปีก่อน

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 66


       เมื่อ 3 วันก่อน หลินมู่ที่ยืนอยู่ทางสนามรบตะวันออก แหงนหน้ามองผลกระทบของการต่อสู้ ของบุคคลระดับบนสุดของทวีป ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นดวงตาฉายแววขบคิดบางอย่าง

    “อาวุโสหลิน” หนึ่งในผู้นำฝ่ายธรรมะเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม พร้อมป้องหมัดทักทายตามมารยาท “มีอะไรหรือ?” ชายหนุ่มสะบัดกระบี่เก็บเข้าฟัก แล้วจึงหันหน้ามาถามอย่างสงสัย

     

       เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายเรียกตนว่าอาวุโสหลิน เพราะโต๋วเจิ่งตะโกนดังสนั่นขนาดนั้น ต่อไม่อยากได้ยินก็ได้ยินอยู่ดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อีกฝ่ายเรียกตนด้วยแซ่หรือชื่อ

    อีกฝ่ายมองไปยังสุดขอบฟ้า พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หากอาวุโสไม่ลงมือ คาดว่าตะวันออกคงตกเป็นของพวกพรรคมารเป็นแน่ ผลงานของผู้อาวุโสทั้งภูเขาท้าสวรรค์ และ สนามรบตะวันออก ทางฝ่ายธรรมะและห้าตระกูลมหาอำนาจ จะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ”

     

       หลินมู่พยักหน้าไม่พูดอะไร เหล่ามารก็ถอยร่นไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงซากศพเกลื่อนกลาดไร้ชีวิต เต็มผืนดินสุดลูกหูลูกตา “รีบจัดการเถอะก่อนจะเกิดโรคระบาด” ผู้นำฝ่ายธรรมะตอบรับ

    รีบวิ่งไปสั่งเก็บกวาดสนามรบทันที “ไม่เจอกันนานนะ พวกเจ้าค่อนข้างเปลี่ยนไปเยอะ” หลินมู่หันหน้าไปมองกลุ่มของหลี่ซง เดินเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยท่าทางสงสัย

     

       เมื่อได้รับคำทักทายก็แน่ใจแล้วว่า เป็นคนที่พวกตนรู้จัก ทั้งห้าทักทายพร้อมชื่นชมชายหนุ่ม เพียงไม่นานไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือเลิศล้ำ มีหนึ่งก็สยบกองทัพพรรคมารได้อยู่หมัด

    ระหว่างหลินมู่พูดคุยกับกลุ่มของหลี่ซง หลากขุมกำลังก็จับจ้องมาทางนี้อย่างสนอกสนใจ พวกเขาเริ่มคิดจะสานสัมพันธ์กับสำนักของพวกหลี่ซง เพื่อหวังมิตรไมตรีจากควันธูป รู้จักหนึ่งในยอดฝีมือชั้นสูงของผืนทวีป

     

        ทันใดนั้นเองอินทรีย์สีทองตัวใหญ่ก็พุ่งมาทางสนามรบตะวันออก ผู้นำทัพฝ่ายธรรมะยื่นแขนออกไป รับมาแกะสารที่แนบมา เมื่ออ่านเสร็จใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

    เขารีบวิ่งไปหาหลินมู่พร้อมยื่นสารที่ส่งมาให้ชายหนุ่มอ่าน หลินมู่รับกระดาษมาเพียงประโยคแรก เขาก็ขมวดคิ้วแน่นเขาส่งคืนกระดาษ พร้อมพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าขอตัว พวกท่านก็ระวังตัวด้วย”

      

       ไม่พูดจาอะไรอีกแม้พลังจิตจะอ่อนล้า เขาก็ควบคุมกระบี่บินกลายเป็นรุ้งขาว หายไปบนฟากฟ้าตรงกลับไปยังหุบเขาเมฆา เพียงไม่กี่ชั่วยามด้วยการเดินทางความเร็วสูงสุด

    ชายหนุ่มก็ร่อนลงลานกลางของตระกูลไป๋ เขาไม่สนแม้แต่สภาพจิตที่อ่อนล้าของตนแม้แต่น้อย วิ่งขึ้นไปยังหอชมวิวเขาไปด้านในของห้องบนสุด ก็พบกับไป๋หยุนเฉินในสภาพซีดเซียว

     

       ใบหน้าไร้สีเลือดเพียงถูกลมปราณ ของจอมมารสะท้อนกลับ สภาพของเขาก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด ลมปราณภายในปั่นป่วน ร่างกายอ่อนแอหากไม่ได้ผีเสื้อเมฆขาวช่วยเอาไว้

    คงต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่ราบภาคกลาง เพราะการต่อสู้กับจอมมารแล้วเป็นแน่ ชายชราไออยู่สองสามครั้งแต่บนใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความสุข “หลินมู่เจ้ากลับมาแล้ว…”

     

       ชายชรายิ้มแย้มมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าซีดเซียว ด้วยความโล่งใจเล็กน้อย “ท่านพ่อ ผลเป็นอย่างไรกันแน่..” หลินมู่เปลี่ยนสรรพนาม เรียกไป๋หยุนเฉินว่าท่านพ่ออย่างลื่นไหล

    ตอนนี้เขาตอบรับว่าจะเป็นบุตรบุญธรรมของอีกฝ่าย จึงไม่แปลกที่จะเรียกชายชราตรงหน้าว่าท่านพ่อ ไป๋หยุนเฉินส่ายหน้า พร้อมเริ่มอธิบายเหตุการณ์เป็นฉากๆ

     

       เมื่อฟังจบหลินมู่ก็ต้องขมวดคิ้วแน่น ไม่คาดคิดว่าจอมมารจะเข้าใกล้ปฐพีที่ 2 ในเส้นทางสายวรยุทธ์ที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน ตลอดเวลา 3 วันนั้นชายหนุ่มก็ดูแลชายชรา เสมือนบุตรชายแท้ๆของอีกฝ่าย

    แต่ต้องออกมาพบหน้าใครบางคน เพราะมีจดหมายส่งมาถึงตัวเขาอย่างน่าฉงน ปัจจุบันหลินมู่กำลังพาดกระบี่ไว้บนบ่าอีกฝ่าย เขาไม่เคยบอกภูมิลำเนาหรือที่อยู่ให้อีกฝ่ายเลย แล้วเหตุใดจึงหาที่อยู่ของตนเจอได้กัน

     

        จ้าวมู่หยูใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ คีบใบกระบี่ออกจากบ่าของตน พร้อมพูดด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ “สหายหลินเหตุใดจึงทำท่าทางน่ากลัวนัก ข้าไม่ได้คิดร้ายกับเจ้าสักหน่อย แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยกับเรื่องข้อร้องอีกนิดหน่อย”

    หลินมู่หรี่ตามองอีกฝ่ายที่หน้าตาเหมือนตนทุกอย่าง ด้วยสีหน้าขบคิดก่อนจะลดกระบี่นั่งลงพร้อมถามด้วยสีหน้าจริงจัง “จะคุยเรื่องอะไร…” จ้าวมู่หยูแสดงสีหน้าโล่งอก

     

        เขายกถ้วยดื่มชาดับความตกใจที่สุมอยู่ในอก พร้อมพูดออกมาด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “อย่างแรกเลย….จ้าวมู่หยูเป็นชื่อปลอม ข้ายืมคนรู้จักมาใช้ปกปิดตัวตน ชื่อจริงๆของข้าคือ ไป๋มู่”

    หลินมู่แสดงสีหน้าเรียบเฉย ราวกับเรื่องที่เปิดเผยออกมาไม่สามารถสร้างผลกระทบใดให้เขาได้ “ไม่ใช่ว่าไป๋มู่ ควรตายไปเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะถูกพรรคมารถล่มเมืองแล้วหรือ”

     

       คล้ายคาดว่าหลินมู่จะถามเรื่องนี้ อีกฝ่ายจึงเตรียมคำตอบไว้แล้ว “ครั้งนั้นจะว่าข้าตายไปแล้วก็ไม่เชิง ครั้งนั้นพวกพรรคมารแอบทำพิธีกรรมบางอย่างภายในเมือง ข้าเลยพาทหารลาดตระเวนและมือปราบไปจัดการ แต่โชคร้ายมันดันทำพิธีสำเร็จสังเวยคนทั้งเมือง แต่ที่แปลกคือแทนที่ข้าจะตาย กลับฟื้นขึ้นมาในอีก 5 เดือนหลังจากนั้น พร้อมร่างกายใหม่…”

    หลินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในรายงานบันทึกที่เขาอ่านเมื่อหลายวันก่อน บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้อย่างละเอียด ร่างของนายน้อยหนึ่ง ไป๋มู่ ถูกนำกลับมาด้วยตัวของไป๋หยุนเฉินเอง ตอนนี้ร่างนั้นยังนอนผุอยู่ในสุสานตระกูลไป๋

     

       ซึ่งแปลว่าพิธีกรรมที่ว่านั้น ดึงวิญญาณของอีกฝ่ายออกจากร่าง แต่เหตุใดอีกฝ่ายจึงได้รับผลของพิธี แทนที่คนทำพิธีหล่ะ? ไป๋มู่คล้ายเห็นความสงสัยที่แสดงอยู่ในแววตาแฝดต่างโลกของตน

    จึงกล่าวเสริมอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าสืบมาบ้างแอบเข้าไปในภูเขาร้อยอสูร จนได้รู้ว่าพิธีที่พวกพรรคมารทำขึ้นคือพิธีบวงสรวงจุติ เป็นพิธีกรรมโบราณพอๆกับแท่นบนภูเขาท้าสวรรค์ มันสามารถสร้างร่างใหม่ให้บุคคลที่มีความปรารถนาแรงกล้าที่สุดได้…ข้าที่มีแรงปรารถนา และ อยู่จุดกึ่งกลางของพิธีพอดี จึงได้รับมาอย่างบังเอิญ"

     

       หลินมู่พยักหน้าในรายงานก็มีบอก ว่าจุดที่ร่างเดิมอยู่ก็คือกึ่งกลางทะเลโลหิต ไม่แปลกใจเลยที่ได้รับผลของพิธีกรรมเต็มๆ มีร่างกายที่พิการวรยุทธ์แต่กำเนิด ก็บังเกิดความอยากปราถนาจะครอบครองร่างใหม่อยู่แล้ว

    น่าสงสารมารผู้นั้นจริงๆ ขโมยไก่ไม่ได้ไม่พอยังเสียข้าวเปลือก ไม่ได้เสียแค่สองสามกำมือและเสียงเป็นกระสอบกระสอบเลย หลินมู่ได้รับการอธิบายจากอีกฝ่าย จึงลดความความระมัดระวังลงเล็กน้อย

     

       “แล้วทำไมไม่กลับไปตระกูลไป๋?” นี่คือคำถามที่เขาสงสัยสุดๆ เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่กลับไปตระกูลไป๋ ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ไป๋มู่แสดงสีหน้าหนักใจก่อนจะพูดออกมา “กว่าข้าจะฟื้นก็หลังจากนั้น 5 เดือน ข่าวที่ว่าข้าตายก็กระจายไปเกือบทั่วทางใต้แล้ว และ ข้าก็ไม่อยากให้คนอื่นมองข้าหรือท่านพ่อ เป็นพวกนอกรีตชุบชีวิตคนได้หรอกนะ”

    แม้เหตุผลจะดูเถียงไม่ขึ้น แต่หลินมู่ก็เลือกจะมองข้ามไป อีกฝ่ายก็ดูไม่เป็นผิดเป็นภัยด้วย ทั้งจากการเดินทางมาด้วยกันสักระยะหรือตอนพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ อีกฝ่ายมีค่าพอให้เชื่อถือในคำพูด

     

       แม้จะมีเรื่องสงสัยว่าไป๋มู่ไปเอาข้อมูลไหน ว่าตนอยู่ที่ตระกูลไป๋มาก็เถอะ แต่ขอละไว้ก่อนถามเซ้าซี้ไปก็ระแคะระคายความสัมพันธ์เปล่าๆ “แล้วอยากจะขอร้องอะไรล่ะ…”

    หลินมู่เปิดปากถามไป๋มู่ด้วยความสงสัย เขาลดความระแวงไปเกือบหมดแล้ว นอกจากกระบี่ที่ยังไม่เก็บเข้าฟักก็ไม่มีทีท่า แสดงคุกคามข่มขู่ใดๆอีก ไป๋มู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง พร้อมพูดจุดประสงค์ของตนออกมา “ข้าหนีมานานแล้ว ข้าจะกลับไปตระกูลไป๋”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×