ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #136 : ตอนที่ 136 ปะทะจักรพรรดิยุทธ์

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 66


        บนผืนดินซากศพจากหลากขุมกำลังกองเกลื่อนกลาด กองทัพพรรคมารโถมใส่ฝ่ายธรรมะอย่างไร้ปราณี เสียงขลุ่ยที่โหยหวนดุจเสียงคร่ำครวญของภูติผี

    ดังสะท้อนทั่วสนามรบอันกว้างขวาง บางสิ่งที่คล้ายมนุษย์ปลดปล่อยกลิ่นอายอัปมงคล กระโจนเข้าสู่ใจกลางวงล้อมอย่างไม่กลัวตาย

     

        ใช้กำลังเดรัจฉานฉีกกระชากร่าง ของเหล่าผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ผู้โชคร้ายแยกออกเป็นเสี่ยงๆ “อ๊าก!! ไอ้พวกพรรคมารเหตุใดจึงแข็งแกร่งได้เยี่ยงนี้!?” หนึ่งในยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ ร้องถามอย่างไม่เข้าใจ

    เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่กลัวตาย แม้แต่แขนจะขาดร่างกายบิดเบี้ยว พวกมันเหล่านั้นยังจะพุ่งเข้าหาอย่างกระหายเลือด ใช้ปากกัดคอของผู้โชคร้าย ก่อนจะกระชากออกสร้างภาพอันน่าสยดสยอง

     

        ในขณะที่แนวป้องกันของพวกเขาลดลงเรื่อยๆ กำลังใจของฝ่ายธรรมะก็ยิ่งลดต่ำจนเกือบจะหมดสิ้น แค่ยืนถืออาวุธก็สุดความสามารถแล้ว

    ร่างในชุดคลุมฟ้าที่อยู่เหนือเมฆ มองเหตุการณ์ด้านล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้จะพึ่งมาถึงเขาก็รู้ได้ทันทีว่าผลของสงครามจะจบลงเช่นไร

     

        มันจะเป็นชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จของพรรคมาร ขณะเดียวกันฝ่ายธรรมะไม่มีปาฏิหาริย์ หรืออะไรจะช่วยให้พวกเขาพลิกสถานการณ์เลย

    ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังด้านล่าง ก็เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาพอสมควร “ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาที่นี่…” หลินมู่พึมพำพร้อมมองไปยังคนกลุ่มหนึ่ง ที่ตนเคยพบเมื่อครั้งเดินทางไปตะวันตก

     

        เหล่าหนุ่มสาวจำนวนห้าคนกำลังดิ้นรน เอาชีวิตรอดภายในสงครามอันโหดร้าย ทั่วทั้งตัวพวกเขาเปอะเปื้อนไปด้วยเลือดศัตรูและพันธมิตรมากมาย

    “เหมือนพวกเขาจะยังดวงแข็งพอสมควร….” หลินมู่พึมพำพร้อมเตรียมลงมือ เขาสังเกตมามากพอแล้วสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ไม่ต่างอะไรจากซากศพวิญญาณแค้น ที่ตนเคยเจอเมื่อครั้งยังอยู่ป่าหยินที่ตะวันตก

     

        เสียงขลุ่ยในท่วงทำนองสยดสยองดังขึ้น สั่งให้เหล่าซากศพวิญญาณแค้นรุกคืบเข้าไปอีก “หลี่ซงระวัง!!” หญิงสาวนามหยวนจูซิง ผู้เคยขอแบ่งฟืนแห้งจากหลินมู่ในวันที่หลบพายุหิมะ

    ตะโกนเตือนสหายของตนอย่างตื่นตระหนก หลี่ซงที่พึ่งสำแดงกระบวนท่าดาบเสร็จ ก็หันไปมองทางหนึ่งดวงตาของเขาเบิกโพลง ขวานศึกขนาดยักษ์ที่มีเศษเนื้อและเลือด กำลังฟาดลงมาหาตนอย่างไร้ปราณี

     

        เล่ยซวน หยงหยาง และ หยวนอูหง สีหน้าซีดเซียวพร้อมตะโกนขึ้นอย่างแตกตื่น หลี่ซงจ้องขวานตาไม่กระพริบไม่อาจขยับเขยื้อน ถูกกลิ่นอายแห่งความตายสะกดข่มอย่างสิ้นเชิง

    ในเสี้ยวพริบตานั้นความคิดว่าตนกำลังจะตายก็ปรากฏขึ้น คมกระบี่โปร่งใสสีฟ้าดุจท้องนภาอันปลอดโปร่ง พุ่งลงมาจากฟากฟ้าฟาดฟันผู้ฝึกฝนมารผู้นั้นกลายเป็นกองเนื้อสับ

     

        ราวกับสถานการณ์การรบถูกหยุดนิ่ง ร่างในชุดคลุมสีฟ้าร่อนลงมาจากท้องนภา ผมยาวสีดำโบกสะบัดตามสายลม ดวงตาสีหมึกคู่นั้นคล้ายกับท้องนภายามรัตติกาล ที่พร่างพราวไปด้วยหมู่มวลดารา

    ร่างนั้นมีคมกระบี่สีฟ้าโปร่งใสนับสิบ บินวนรอบกายดุจเทพยดาในพงศาวดาร มือขวากุมกระบี่ใบสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะยามเหมันต์ฤดู 

     

       พวกหลี่ซงแหงนหน้ามองร่างนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยจากตัวอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป ฝ่ายธรรมะไม่รู้เหตุใดบังเกิดความกล้า

    ยกอาวุธเข้าโรมรันสังหารศัตรูอย่างอาจหาญ พรรคมารใบหน้าบิดเบี้ยว พวกที่มีหน้าที่ควบคุมซากศพวิญญาณแค้น ก็เป่าขลุ่ยสั่งให้พวกซากศพบุกเข้าไปอีกครั้ง

     

        ฟิ้ว!! เกาทัณฑ์จำนวนมหาศาลจนฟ้าดินต้องหมองมัว ถูกยิงขึ้นฟ้าตรงเข้าหาร่างในชุดคลุมผู้นั้น “อย่ามาแสร้งเป็นเทพยดาแถวนี้!! หากมีความสามารถก็หยุดการแสดงอันไร้ค่านั้นซะ!!”

    หนึ่งในบุคคลระดับสูงของผู้ฝึกฝนมาร คำรามขึ้นฟ้าดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม หลินมู่แสดงสีหน้าเฉยเมยไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

     

       เปรี้ยง!!! คลื่นลมปราณและปราณฟ้าดินระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน บังเกิดเป็นอาณาเขตสายฟ้าที่กินอาณาเขตเกือบทั่วทั้งสนามรบ

    ก่อนพวกมันจะหลอมรวมเข้าใบกระบี่สีขาว เปรี้ยง!! เสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นมาอีกครั้ง มาพร้อมคมกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยประกายสายฟ้าอัสนีมากมายดุจฝูงอสรพิษ

     

        ฟาดฟันทลายห่าฝนลูกเกาทัณฑ์ในชั่วพริบตา พร้อมทั้งพุ่งตรงต่อไปยังเบื้องล่าง ตู้ม!! แรงกระแทกจากคมกระบี่ที่ปะทะกับผืนดิน แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

    พวกที่อยู่ใจกลางหรือใกล้ๆบริเวณนั้น ถูกสายฟ้าเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ตายโดยไม่อาจตายได้อีก หลินมู่แตะปลายเท้าลงพื้น สะบัดกระบี่พร้อมมองไปยังกองทัพมืดฟ้ามัวดินตรงหน้า

     

        “ผู้อาวุโส!! ขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือ!!” คนมากหน้าหลายตาพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม พร้อมป้องหมัดโค้งตัวให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ แม้พวกเขาจะดูมีอายุบางคนก็หัวขาวโพลน

    แต่ก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสอย่างไม่กระดากปาก “อืม พวกเจ้าถอยไปคอยเก็บกวาดพวกที่หลุดอวน ที่เหลือข้าจะจัดการเอง..” สิ้นเสียงอีกฝ่ายก็ก้าวขาไปข้างหน้า ตั้งท่าฟันกระบี่ออกไป

     

        ฟิ้ว!! ร่างในชุดคลุมฟ้าพุ่งออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบ พร้อมออกกระบี่หนึ่งครั้งสังหารศัตรูไปนับร้อย เหล่าคนที่เข้ามาทักทายหลินมู่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย

    ถอยไปแนวหลังคอยเก็บตกพวกที่หลุดอวนเข้ามา “โฮ้ก!!!” พวกซากศพวิญญาณแค้น คำรามอย่างไร้สติดวงตาเต็มไปด้วยความเครียดแค้น 

     

         หลินมู่หรี่สายตาลงเล็กน้อย ปลดปล่อยจิตกระบี่จำนวนหลายร้อยพุ่งจากความว่างเปล่า ฟาดฟันจนฟ้าดินต้องเปลี่ยนสี แขนขาและศีรษะกระเด็นกระดอนไปทั่ว ไม่กี่สิบอึดใจกองทัพนับหมื่น ก็กลายเป็นร่างไร้ชีวิต

    จำนวนเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจอันเด็ดขาด ก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆได้เลย “หลินมู่!!” เสียงคำรามแหบพร่าดังขึ้น พร้อมการปรากฏของสองร่างในชุดคลุม

     

         กลิ่นอายหยินสูงเสียดฟ้า ร่างที่ขนาดใหญ่โตไม่ต่างจากยักษ์ขนาดย่อมๆ ใช้ดวงตามืดดำดุจหลุมมืดไร้ก้น จ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาท้าทาย

    พลังหยินสีเขียวเข้มจนกลายเป็นสีดำสนิทพวยพุ่งออกมา สร้างเป็นอาภรณ์ลมปราณแสนคุ้นเคย พร้อมขยับด้วยท่วงท่าแปลกพิสดาร ฟาดฟันมีดสั้นเข้าหาลำคอของชายหนุ่ม

     

        มือเกาทัณฑ์ทมิฬง้างศรเล็งเข้าหาร่างในชุดคลุมฟ้า พลังหยินหนาแน่นควบแน่นบริเวณหัวลูกเกาทัณฑ์ ก่อนจะพุ่งออกจากสายราวกับสายฟ้าสีดำ ที่มอบความตายให้ทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม

    หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะกลับมาเป็นปกติ “ขอโทษที ข้าไม่มีเวลาทักทายคนรู้จักเก่า…” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม จิตกระบี่จำนวนมากก็ทับซ้อนบนใบกระบี่

     

     

        พร้อมบังเกิดประกายแสงบดบังวิสัยทัศน์โดยสิ้นเชิง “ย๊าก!!!!” โต๋วเจิ่งที่พึ่งตื่นขึ้นในฐานะแม่ทัพผีดิบที่ไม่สมบูรณ์ คำรามด้วยเสียงที่น่าหวาดกลัว

    กวาดมีดสั้นเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล ฉับ! แต่เหมือนจะเป็นภาพที่แสนคุ้นเคย ร่างนั้นสะบัดกระบี่แยกร่างของเขาเป็นสองส่วน พร้อมพุ่งเข้าหามือเกาทัณฑ์ทมิฬอย่างไม่มีความลังเล

     

        “สุดท้ายข้าก็แพ้งั้นหรือ….” โต๋วเจิ่งที่ร่างถูกแบ่งเป็นสองส่วน นอนมองท้องฟ้าด้วยใบหน้าว่างเปล่า ก่อนจะหัวเราะขึ้นฟากฟ้าราวกับกำลังเย้ยหยันความตาย

    เป็นอีกครั้งที่เขาโต๋วเจิ่งได้สัมผัสกับความตาย แถมยังเป็นความตายจากบุคคลเดิม ถึงสองครั้งสองครา พลังหยินกระจายไปทั่วฟ้าดิน สิ้นชีวิตแม่ทัพผีดิบอย่างรวดเร็ว

     

        เหล่าซากศพวิญญาณแค้นที่อยู่ภายใต้อำนาจของอีกฝ่าย นิ่งงันแสดงสีหน้าสงสัยและงุนงง พวกมันมาทำอะไรตรงนี้แล้วพวกมันต้องทำอะไร

    ฉึบ!!! หัวของชายหนุ่มผมสีบรอนซ์ที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ลอยขึ้นฟากฟ้าดวงตาคู่นั้นจับจ้องหลินมู่เป็นวาระสุดท้าย ร่างที่ไร้ศีรษะล้มลงนอนบนพื้นที่เต็มไปด้วยซากเนื้อและเลือด

     

        สนามรบชะงักงันอีกครั้งซากศพวิญญาณแค้น สามในสี่ในสนามรบที่ถูกโต๋วเจิ่งและมือเกาทัณฑ์ทมิฬ เป็นผู้ควบคุมยืนนิ่งงันอย่างโง่งม หลังจากนายของพวกมันจากไป

    คำสั่งที่เคยได้รับมาก็หายไปด้วยอย่างสิ้นเชิง “ฮ่าฮ่าฮ่า!! เจ้าหนุ่มข้าจะเป็นคู่มือให้เจ้าเอง!!” ขุนพลฝ่ายขวาเฉียนโม่มารโลหิต พุ่งจากสุดขอบสนามรบเข้าหาหลินมู่ ราวกับรุ้งสีแดงสดที่ดื่มกินโลหิตเป็นสารอาหาร

     

        เงาร่างอวตารลมปราณของยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากเลือดเนื้อ ปรากฏขึ้นปกคลุมสนามรบ ฝ่ายธรรมะแสดงสีหน้าหวาดกลัว “มารโลหิตคือจักรพรรดิยุทธ์!?” พวกเขาแตกตื่น

    ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าขุนพลฝ่ายขวา ข้ามคอขวดกลายเป็นจักรพรรดิอีกคนของทวีปแล้ว “อาวุโสหลิน!! ระวังตัวด้วย!!” พวกเขาร้องตะโกนชายหนุ่มอย่างเป็นห่วง แม้ความสามารถของอีกฝ่ายจะน่าทึ่ง แต่คู่ต่อสู้คือจักรพรรดิยุทธ์ตัวตนที่กล่าวว่าไร้เทียมทาน ภายใต้ตำนานยุทธ์

     

       คมดาบและคมกระบี่เข้าปะทะกันและกัน ประกายไฟแตกกระจาย ดวงตาของทั้งคู่สบกันเพียงชั่วครู่ก่อนจะละจากกัน เพล้ง! เพล้ง!! เพล้ง!!! พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง

    ชั่วพริบตาคมกระบี่คมดาบเข้าปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน สายลมอันคมกริบจากทั้งสองแผ่กระจายไปหลายลี้ ผืนดินแตกร้าวหมู่เมฆแตกกระจาย เพียงคลื่นดาบหรือกระบี่เพียงเล็กน้อย ก็มากพอจะถางป่าหลายสิบลี้ให้โล่งเตียน

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×