ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #134 : ตอนที่ 134 จดหมายจากนางคนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 66


       “พวกเจ้าพูดคุยกันจบลงด้วยดีหรือไม่?” ไป๋หยุนเฉินลอกคราบจักรพรรดิยุทธ์ผู้น่าเกรงขาม ออกไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียง บิดาผู้แก่ชราคล้ายถามบุตรชายถึงปัญหาระหว่างพี่น้อง

    “ก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงใดๆ” ชายชราพยักหน้ายกกาน้ำชารินลงถ้วยส่งให้ชายหนุ่ม หลินมู่รับมาพร้อมหมุนมันเล็กน้อยก่อนจะถามไป๋หยุนเฉิน ถึงจุดประสงค์ที่เรียกตนมา

     

       ชายชราในชุดคลุมฟ้าลูบเคราตนเองด้วยสีหน้านึกคิด เขามองชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “แรกสุด ข้าเคยคิดจะรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม จนกระทั่งตอนนี้ก็คิดอยู่ รู้ไหมเหตุใดข้าจึงคิดเช่นนั้น”

    หลินมู่จิบชาอย่างผ่อนคลาย พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ข้าได้ยินมาเพียงเล็กน้อย ข้ารู้ว่าข้านั้นคล้ายคลึงกับบุตรชายที่ตายไปของท่าน นามไป๋มู่ นอกจากนั้นข้าก็ไม่ทราบ”

     

       เขาส่ายหน้าแผ่วเบาพร้อมวางถ้วยน้ำชาลง ไป๋หยุนเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเจ้าคล้ายคลึงกับอีกฝ่าย ทั้งนิสัยบุคลิกและแม้แต่ท่าทาง หรือแม้กระทั่งร่างกายของเจ้า ก็ราวกับคนเดียวกันเลยก็มิปาน”

    หลินมู่แสร้งทำเป็นสีหน้าประหลาดใจ เพราะเขารับรู้มาจากปากกวนเจี้ยนโป แล้วว่าไป๋มู่คือสิ่งที่ยึดโยงเขาให้มาที่นี่ หากไม่คล้ายคลึงกัน จนเหมือนคนคนเดียวกัน คงเป็นเรื่องยากจะยึดโยงกับเขาที่อยู่คนละโลก

     

       ชายชราที่เห็นสีหน้าแปลกใจของชายหนุ่ม ก็แย้มยิ้มราวกับว่าเขาคาดเอาไว้แล้ว “แม้กระทั่งสีหน้า ยังเหมือนกันมิผิด ต่างเพียงว่าไป๋มู่แก่กว่าเจ้า ราวๆ 10 ปีได้มั้ง ถ้านับตอนเขาตายถึงตอนนี้คง 60 กว่าแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก”

    ไม่ใช่เพียงไป๋หยุนเฉินที่ทอดถอนใจ แม้แต่หลินมู่ยังลอบถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าตนจะมีคนหน้าคล้าย ที่แก่กว่าหลายสิบปี “เอาหล่ะ ข้าเรียกเจ้ามาพูดแค่นี้ เฉกเช่นเดิม ข้ายังจะรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าจะรับข้าหรือไม่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ แต่ไม่ว่าทางไหนจวนตระกูลไป๋แห่งนี้ ก็จะเป็นบ้านอีกหลังให้เจ้าเสมอ ไม่ต้องรีบตัดสินใจ ทำตามใจของเจ้าเฉกเช่นที่ตัวเจ้าทำมาตลอด”

     

       ชายชราเผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้ในใจอยากจะรั้งให้อีกฝ่ายกลายเป็นบุตรบุญธรรมของตนแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้า มีเส้นทางที่ตนเองจะต้องเดิน

    หลินมู่พยักหน้าบอกขอบคุณเตรียมจากไป แต่ก่อนจะได้จากไปชายชราไป๋หยุนเฉิน ก็ผลักชุดคลุมเมฆาและกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ตน “รับไปสิ สองสิ่งนี้ควรอยู่กับเจ้า กระดาษแผ่นนี้มารดาของไป๋มู่ทิ้งเอาไว้ ข้าคิดว่ามันอยู่กับเจ้า"

     

       ไป๋หยุนเฉินไม่พูดสิ่งใดอีกเพียงส่งสายตา บ่งบอกว่าหากเจ้าไม่รับข้าจะตื้อจนกว่าเจ้าจะรับ หลินมู่จึงทำได้เพียงรับชุดคลุมเมฆาและกระดาษแผ่นนั้นมา

    “เอาหละเจ้าไปได้แล้ว ยังมีคนที่ข้าต้องคุยด้วยรออยู่ โอ้ ห้องของเจ้ายังคงเดิม ระหว่างอยู่ที่นี่ก็ใช้ห้องนั้นอยู่อาศัยเถอะ จนกว่าห้องใหม่ของเจ้าจะเสร็จ” ชายหนุ่มแสดงรอยยิ้มอบอุ่น โค้งตัวให้ชายชราแล้วจึงเดินจากไป

     

       เมื่อออกจากห้องชมวิวเขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคย หนึ่งคือไป๋เทียอีกคนไม่ใช่ใครอื่น นอกจากไป๋หลานหลงที่ใบหน้าค่อนข้างเหม่อลอย “ไป๋เทียปล่อยหลานหลงมาหาข้า ส่วนเจ้าไปกับหลินมู่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว เจ้าไปนำทางให้เขาเสีย”

    เสียงของไป๋หยุนเฉินดังมาจากด้านหลัง ไป๋เทียตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาปล่อยให้ไป๋หลานหลงเข้าไปในห้องชมวิว พร้อมใช้นิ้วดันแว่นตาของตน “เราไม่ได้เจอกันเกือบปีเลย ไม่คิดว่านายจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”

     

       ชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งศิษย์สืบทอด พูดออกมาพร้อมมองสำรวจหลินมู่อย่างสงสัย หากจะให้แยกหลินมู่ตอนนี้กับตอนแรกสุด ก็แทบจะกลายเป็นคนละคนกัน

    หลินมู่ในตอนแรกยังมีกลิ่นอาย ของคนสมัยใหม่ที่เด่นชัดจนแยกจากคนพื้นเมืองได้ง่ายดาย ส่วนตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรจากคนที่เกิดและเติบโตที่นี่เลย

     

       ทั้งสองเดินจากไปทิ้งให้ ไป๋หลานหลงและไป๋หยุนเฉินพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว บิดาผู้แก่ชรามองบุตรชายในชุดเปอะเปื้อนแม้แต่ดาบยังหล่นหาย 

    ชายชราถอนหายใจอีกครั้ง แม้จะชิงชังมารดาของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นบุตรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างไม่คาดคิด

     

       ชายชราเอื้อมมือออกไปเช็ดปัดเศษฝุ่นเศษดิน พร้อมจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้างั้นหรือ?” สิ้นคำถามของชายชรา ไป๋หลานหลงที่ตกตะลึง กับการกระทำอย่างกระทันหันของผู้เป็นบิดา

    ก็อ้าปากพะงาบพะงาบสักพัก ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาจากลำคอได้ “ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยชอบขี้หน้าข้าเลยนิ…” ชายชราถอนหายใจอีกครั้ง “เรื่องจริงที่ข้าไม่ค่อยชอบคอเจ้า และข้ายังรู้อีกว่าเจ้าพยายามให้ข้ายอมรับในตนเอง หันมองตัวเจ้ามากกว่าพี่ชายต่างมารดาที่จากไป…”

      

       ไป๋หยุนเฉินนิ่งเงียบก่อนจะกล่าวต่อ “แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้คือ ข้ายอมรับในตัวเจ้าตั้งแต่แรก ข้ายอมรับในตัวตนของเจ้าในแบบของเจ้า ข้าอยากให้เจ้ายืนหยัดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาคอยเอาอกเอาใจชายชราที่เป็นไม่ใกล้ฝั่งเฉกเช่นข้า”

    ไป๋หลานหลงพูดไม่ออก แล้วที่เขาพยายามทำมาทั้งหมด มันสูญเปล่างั้นหรือ คล้ายเห็นคำถามในสายตาของผู้เป็นบุตรชาย ชายชราก็พูดขึ้นอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

     

       “ไม่หรอก หลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าทำ มันทำให้ข้าดีใจมาก และ หลายสิ่งที่เจ้าก็ทำให้ข้าโกรธเหมือนกัน ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัย แต่….” ชายชราหยุดพูดพร้อมจ้องตากับอีกฝ่าย

    ในห้องชมวิวบังเกิดเป็นบรรยากาศที่ไม่เข้าใจ บิดาและบุตรชายจ้องมองหน้ากันและกันโดยไม่พูดสิ่งใด อีกฝากฝั่งหนึ่งหลินมู่ที่กลับมาถึงหอพักที่ตนคุ้นเคย

     

       ก็กำลังรับมือกับสายตาสงสัยมากมาย จากคนอื่นๆ พวกเขาชี้ไม้ชี้มือมาทางชายหนุ่ม เสียงซุบซิบดังราวกับตลาดสด “นายคิดว่าตัวจริงไหม?” หนึ่งในชายหนุ่มตัวมอมแมม ถามเพื่อนของตนอย่างสงสัย

    “ตัวจริงมั้ง? แต่สิ่งที่ฉันสงสัยเวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี อย่าพูดเลยว่าอีกฝ่ายหายไปแค่ปีเดียว ผมคนเรายาวได้ขนาดนี้เลย?” เพื่อนของอีกฝ่ายตอบกลับ พร้อมถามคำถามในสิ่งที่ตนสงสัยออกมา

     

       หลินมู่ที่เข้ามาถึงห้องพอไป๋เทียจากไป เขาก็ปิดประตูทันทีไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้กับเหล่าเพื่อนจากสถาบันเข้ามายิ่งคำถามเลย ชายหนุ่มวางชุดคลุมเมฆาไว้บนโต๊ะที่คุ้นเคย

    มองไปรอบๆห้องหวนนึกถึงบรรยากาศยามที่ตนเคยอาศัย “ย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง…” ชายหนุ่มหายใจเข้าออกพร้อมหลับตา ความคุ้นชินอัดครั้งกับห้องที่ตนเคยใช้ร่วมสัปดาห์

     

       เขาลูบไล้บนผิวโต๊ะก็สัมผัสได้ว่า ไม่มีเม็ดฝุ่นอยู่เลยคาดว่าคงมีคนทำความสะอาดอยู่ตลอดแน่ๆ เมื่อรำลึกอดีตของตนเสร็จชายหนุ่ม ก็หยิบกระดาษออกมาเปิดดูอย่างสงสัย

    ทันทีที่เห็นตัวอักษรดวงตาของเขาก็หดลีบอย่างน่ากลัว ลมหายใจปั่นป่วนจิตใจกระสับกระส่าย อักษรเหล่านี้คืออักษรของภาษาทางการ ของมหาทวีปเจี้ยน น่าแปลกใจกว่านั้นคือ คำแรกที่เขียนอยู่บนหัวกระดาษ 

     

       มันกำลังสวัสดีหลินมู่อย่างเจาะจง ชายหนุ่มขมวดคิ้วอ่านถ้อยคำเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ‘สายัณห์สวัสดีหลินมู่ เจ้าอาจจะไม่เคยพบข้า แต่คงได้ยินจากปากอาจารย์เจ้าแล้ว แต่อีกไม่นานก็ไม่เจอกันแล้ว ชื่อของข้านั้นไม่สลักสำคัญ สำคัญกว่าคือเจ้าจะมาหาข้า ที่ภูเขานิ้วเทพที่ตั้งอยู่ในมหาทวีปแดนเทวะได้หรือไม่ ทุกคำตอบทุกคำถามข้าจะตอบให้ และ สิ่งสำคัญเจ้าจะต้องมีขอบเขต อย่างน้อย นภาที่ 1 ข้าจึงจะพบกับเจ้า ต่ำกว่านั้นอย่าแม้แต่จะมา…’

    เนื้อหาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ หลินมู่ผู้เป็นคนอ่านเองยังต้องขมวดคิ้วแน่น “นางคือคนที่อาจารย์เดิมพันด้วย และ ยังเป็นแม่ของไป๋มู่…” ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้นความสงสัยที่ใหญ่กว่าก็ตามมา เหตุใดนางที่สามารถมองเห็นอนาคต คาดคะเนทำนายความเป็นไป จึงต้องทำให้ตนมาที่นี่ เขาไม่คิดหรอกว่าตนโชคดีหรือเป็นผู้ถูกเลือกใดๆ ต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่เขาและอาจารย์ไม่รู้แน่ๆ

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×