ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #133 : ตอนที่ 133 ข้าไม่เข้าใจ

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 66


       ทุกคนภายในตระกูลไป๋นิ่งเงียบ แม้จะมีคำถามภายในใจมากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่กล้าปริปากเพราะหวั่นเกรง ว่าจะไปทำลายบรรยากาศ จนทำให้ไป๋หยุนเฉินพิโรธขึ้นมาอีกครั้ง

    “ท่านไป๋ ข้าว่าเราควรเข้าไปด้านในได้แล้ว หากยังอยู่ตรงนี้ต่อจะทำให้คนอื่นเกร็งเสียเปล่า” ชายหนุ่มพูดทั้งรอยยิ้มพร้อมหันไปมองรอบข้าง

     

       ที่มีผู้คนมากมายออกมาดูด้วยความสงสัย ในฝูงชนที่วุ่นวายนั้นมีคนที่เขารู้จักมากมาย โดยเฉพาะไป๋เทียและไป๋หลานหลง ที่ค่อนข้างจะเด่นเป็นพิเศษ

    หลินมู่สบตากับไป๋เทียก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินจากไปพร้อมไป๋หยุนเฉินที่แสดงท่าทีตื่นเต้น “เสี่ยวมู่ เรียกข้าว่าท่านไป๋มันดูห่างเหินไปหน่อย เรียกข้าอาจารย์เหมือนแต่ก่อนสิ ”

     

       ชายชรายิ้มแย้มพูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ไม่คิดไม่ฝันว่าศิษย์คนนี้ของตน จะพลิกชะตาสามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ แถมยังรอดขึ้นมาจากหุบเหว ในหุบเขาสำเร็จมารได้อย่างน่าเหลือเชื่อ 

    ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆพร้อมส่ายหน้าเบาๆ “ขออภัยท่านไป๋ ข้าหลินมู่มีอาจารย์แล้วข้าไม่อาจ เรียกผู้อื่นว่าอาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้าได้อีก” ไป๋หยุนเฉินชะงักงันเล็กน้อย

     

       ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนกับอีกฝ่าย เคยยกเลิกสถานะศิษย์อาจารย์มาก่อน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองตัดความเป็นศิษย์อาจารย์ ตั้งแต่ชายหนุ่มคืนชุดไหมเมฆาไปแล้ว

    นึกได้เช่นนั้นชายชราก็ห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย “เจ้าย้อนกลับมาที่ตระกูลไป๋ เพราะเหตุผลอันใดรึ?” ชายชราไม่สาวความยาวเท้าความยืด ถามถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงล้ำลึก

     

       ชายหนุ่มในชุดคลุมขาวตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง “ข้าย้อนกลับมา เพราะติดค้างคำขอบคุณ และ ข้าเป็นห่วงท่านจากข่าวลือ พร้อมทั้งมาสะสางปัญหาที่ตกค้างอยู่…”

    ไป๋หยุนเฉินนิ่งเงียบเขารู้ว่าปัญหาที่ค้างอยู่คือสิ่งใด อีกฝ่ายเคยถูกไป๋หลานหลงผลักตกลงไปในหุบเหว คงกลับมาแก้แค้นเป็นแน่ เขาผู้เป็นบิดาและทั้งอดีตอาจารย์ ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ง่ายๆ

     

       “มาเพื่อแก้แค้น?” แม้จะคาดเดาได้แต่ชายชราก็ถามเพื่อนความแน่ใจ น้ำเสียงดูราบเรียบและดิ่งลึกดุจหลุมไร้ก้น หลินมู่ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย ก็ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกไป

    “ไม่ ข้ามาเปิดใจคุยกับอีกฝ่าย คงจะดีกว่าหากเรื่องนี้จบลงด้วยการพูดคุย ไม่ใช่การนองเลือด หากอีกฝ่ายยังปรปักษ์กับข้า คงต้องประลองกัน ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเป็นตาย เพียงรู้ต่ำรู้สูงก็เพียงพอแล้ว….”

     

        และหลินมู่แอบกล่าวลับๆกับตนเองว่า หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเขาคงไม่ใช่ลูกศิษย์เซียนกระบี่เช่นนี้ กล่าวได้ว่าเขาและไป๋หลานหลงมีทั้งบุญคุณ และ ความแค้นอันสลับซับซ้อน

    ชายชราผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อรู้ถึงเป้าหมายแท้จริง เขาแอบถอนหายใจกับตนเองอย่างลับๆ เขาไม่อยากเห็นเท่าไหร่นัก ที่บุตรชาย และ อีกคนที่ตนรักใคร่ดุจบุตรชายแท้ๆ ต้องหยิบอาวุธมาห่ำหั่นกันเพราะความแก้น

     

       เพราะแรกเริ่มเดิมทีตัวของไป๋หลานหลง ก็ถูกผู้เป็นมารดาเป่าหูหลอกใช้อีกทีี เพื่อทำให้จิตใจของไป๋หยุนเฉินอ่อนแอนางจะได้ควบคุมง่ายขึ้น

    แต่สุดท้ายก็ผิดแผน ไม่เพียงหลินมู่ไม่ตาย กลับเป็นนางต่างหาก ที่เกือบจะกลายเป็นร่างแหลกเหลวไร้ซึ่งวิญญาณ แม้ไป๋หยุนเฉินจะไม่ชอบคอลูกคนหลังเท่าไหร่นัก

     

       แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ระหว่างนั้นทั้งสองก็เดินเข้ามาภายในหุบเขา วิสัยทัศน์ปกคลุมไปด้วยหมอกขาวดุจปุยเมฆ ชายชราครุ่นคิดสักพักก็หยุดลง หันมาพูดชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “เอาหล่ะ พวกเจ้าปรับความเข้าใจกันเถอะ…” สิ้นเสียงชายชราก็คว้ามือไปในม่านหมอก

    ดึงไป๋หลานหลงมาอย่างกระทันหัน ไป๋หลานหลงที่ถูกดึงมาด้วยฝ่ามือลมปราณ ก็แสดงสีหน้าตกใจมองชายหนุ่ม และ ผู้เป็นบิดาที่ยืนอยู่ในม่านหมอกอย่างตื่นตระหนก

     

       ไป๋หยุนเฉินวางบุตรชายลงอย่างเบามือ เขาม้วนตัวเตรียมจากไป “พวกเจ้าพูดคุยปรับความเข้าใจกันไป หลินมู่หลังจากจบแล้ว มาหาข้าที่หอชมวิวข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า”

    หลินมู่พยักหน้าบ่งบอกว่าตนเข้าใจแล้ว ชายชรายกยิ้มกระโดดหายไปภายในม่านหมอก หลินมู่ละสายตาหันไปมองไป๋หลานหลง ที่แต่งตัวด้วยชุดคลุมหรูหราสีขาวพกดาบอยู่เอวซ้าย

     

       ไม่ทันจะให้เขาเอ่ยสิ่งใดอีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาก่อนเสียแล้ว “หลินมู่เจ้า!! ย้อนกลับมาเพื่อแก้แค้นข้าใช่หรือไม่!? ทำไมหล่ะ!! ทำไม!? ท่านพ่อจึงเห็นด้วยกับเจ้า!?” ดวงตาของอีกฝ่ายแดงก่ำ ใบหน้าแสดงถึงอารมณ์ที่ตนถูกปฎิบัติอย่างอยุติธรรม

    เขาไม่เข้าใจจริงๆ เขาเพียงอยากให้ผู้เป็นบิดายอมรับ แค่อยากให้ครอบครัวของเขามีความสุข เหมือนครอบครัวทั่วไป แต่ทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาแบบนี้ ไม่เพียงมารดาเกือบตาย

     

       ตนก็เหมือนถูกบิดาขับไสไล่ส่งอีก เขาไม่เข้าใจจริงๆ หลินมู่มองไป๋หลานหลงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

    “ไม่….ข้าไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นใดๆ ข้ามาเพื่อปรับความเข้าใจกับเจ้า แม้ข้ากับท่านไป๋จะตัดศิษย์อาจารย์ไปแล้ว แต่ท่านไป๋ยังมองข้าไม่ต่างจากบุตรของเขา เช่นเดียวกับเจ้า แม้จะดูห่างเหินท่านไป๋ยังคงมองเจ้าเป็นบุตรชาย เขาไม่ดีใจและไม่เห็นด้วยหรอก หากข้ากับเจ้าจะหยิบอาวุธขึ้นมาห้ำหั่นกันจนตายไปข้าง…”

     

       หลินมู่ปิดปากเงียบรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ไป๋หลานหลงที่ได้ยินก็แสดงสีหน้าว่างเปล่า ก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดุจคนเสียสติ 

    “คิดว่าข้าจะเชื่อลมปากของเจ้า!? คนสติดีที่ไหนโดนขนาดนั้นแล้วไม่ล้างแค้น!!? สิ่งที่เจ้าพล่ามมันก็แค่คำพูดลอยๆ ท่านพ่อของข้ายังมองข้าเป็นลูกชาย? สวรรค์เถอะแค่ข้าและท่านแม่ไม่ตายในวันนั้นก็นับว่าโชคดีมากแล้ว!!”

     

       อีกฝ่ายคำรามเสียงดังสนั่น ผมสีน้ำตาลแดงของอีกฝ่ายกระพือเหมือนแผงคอของราชสีห์ ออร่าของคุณชายตระกูลใหญ่ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความบ้าคลั่งและตั้งคำถามต่อฟ้าดิน

    ชายหนุ่มชักดาบชี้หน้าหลินมู่ ด้วยดวงตาแข็งกร้าว คมดาบอันประณีตสาดประกายแหลมคม มาพร้อมเสียงคำรามของไป๋หลานหลง “ชักอาวุธของเจ้าออกมา!! เรามาตัดสินกัน!! เจ้าหรือข้ากันแน่ที่ท่านพ่อมองเป็นลูกชายจริงๆ!! และ ข้าจะทำให้เจ้าแสดงตัวจริงออกมาเอง!!”

     

       หลินมู่ถอนหายใจต่อให้พูดต่อไป ก็มีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าตอนนี้มีแต่ต้องชักอาวุธ ประลองกับอีกฝ่ายให้รู้ดำรู้แดง ไป๋หลานหลงคำรามปลดปล่อยลมปราณ ของขอบเขตจอมยุทธ์ออกมา

    อัดพวกมันไว้บนตัวและดาบอันประณีตงดงามของตน ปัง!! พื้นดินแตกระแหงจากแรงกระโดด ร่างในชุดคลุมหรูหราโผล่ตรงหน้าหลินมู่ ง้างดาบขึ้นสูงเตรียมฟาดฟันลงไป

     

       แต่ที่แปลกคืออีกฝ่ายไม่มีจิตสังหารใดๆ เพียงฟาดฟันอาวุธอย่างไร้สติ ตั้งคำถามของตนกับฟ้าดินและความอยุติธรรมในชีวิต หลินมู่ขยับตัวเล็กน้อยออกกระบี่ด้วยความเร็วสูง

    ปัดดาบออกจากมืออีกฝ่าย ก่อนจะจับไป๋หลานหลงทุ่มข้ามบ่า ปัง!! ร่างของชายหนุ่มปะทะกันผืนดิน โดยไม่อาจต่อต้านประสบการณ์การต่อสู้ และ ขอบเขตพลังนั้นแตกต่างกันเกินไป

     

       รู้สึกตัวอีกทีไป๋หลานหลงก็นอนมองหุบเขา ที่เต็มไปด้วยหมอกขาวดุจปุยเมฆ โดยมีกระบี่ใบขาวดุจหิมะยามเหมันต์ฤดู จ่ออยู่ที่ลำคอของตน “เอาเลยสังหารข้าสิ!”

    ไป๋หลานหลงตะคอกอย่างดุร้าย ดวงตาจ้องเกร็งไปยังชายหนุ่มชุดขาว หลินมู่ส่ายหน้าเบาๆเขาเก็บกระบี่ แต่ต้นจนจบไม่มีแม้แต่จิตสังหาร อารมณ์ของเขายังนิ่งสงบดุจผิวน้ำ ไป๋หลานหลงใบหน้าแข็งค้าง สายตาเต็มไปด้วยคำถามและไม่เข้าใจ

     

       “ข้าไม่เข้าใจ….” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย “ข้าไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าถึงไม่สังหารข้า…ข้าไม่เข้าใจทำไมท่านพ่อจึงไม่เคยยอมรับข้า ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าช่วยตอบข้าได้หรือไม่?”

    หลินมู่สอดแขนไว้ในแขนเสื้อ แหงนหน้ามองหุบเขาที่เต็มไปด้วยม่านหมอก “คำถามแรกข้าสามารถตอบเจ้าได้ เพราะการที่ข้ามาอยู่จุดนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเจ้า และ สิ่งที่สำคัญที่สุดเจ้าได้รับความอยุติธรรมมามากพอแล้ว ส่วนคำถามที่สองเจ้าควรไปถามกับท่านไป๋เอาเอง…”

     

       พูดจบชายหนุ่มก็ไม่อยู่ต่อเดินจากไป ทิ้งให้ไป๋หลานหลงนอนอยู่ตรงนั้น ไป๋หลานหลงกัดริมฝีปากจนเลือดสีแดงสดไหลริน ดวงตาเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา

    “ข้าไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไม…ทำไมเจ้าไม่แค้นเคืองข้า” ชายหนุ่มในชุดคลุมหรูสะอื้นไห้ กับคำถามที่ตนไม่เข้าใจและคำตอบอันคลุมเครือ ขณะเดียวกันไป๋เทียที่ยืนมองอยู่ในที่มืด

     

       กำลังเผชิญหน้ากับหลินมู่ ทั้งสองไม่พูดสิ่งใดทำเพียงพยักหน้าให้กันและกัน ก่อนจะแยกทางกันไป หลินมู่ก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าว ก็มาปรากฏตัวภายในหุบเขาแสนคุ้นเคย

    ก่อนจะมาปรากฏตัวอีกทีหน้าหอชมวิว ร่างชายหนุ่มในชุดขาวเดินไปยังชั้นบนสุด โดยไม่มีผู้ใดคิดจะห้ามหรือเข้ามาขัดขวาง เมื่อมาถึงชั้นบนสุดห้องชมวิว ประตูก็เปิดอ้าคล้ายกำลังรอเขาเข้าไปด้านใน

     

       ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู พูดขออนุญาตอย่างสุภาพ ก่อนเสียงของชายชราที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนจะดังขึ้นมา บ่งบอกว่าให้เขาเข้าไปด้านในได้

    หลินมู่ตอบรับก้าวเข้าไปด้านใน พร้อมกับประตูที่ปิดลงด้วยตัวของมันเอง ด้านในห้อง ไป๋หยุนเฉินกำลังยิ้มแย้มมองชายหนุ่มด้วยสายตาอบอุ่น บนโต๊ะน้ำชามีชุดคลุมแสนคุ้นเคย และ กระดาษบางอย่าง “นั่งสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” ชายชราเชิญชายหนุ่มนั่งด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร หลินมู่ยิ้มรับพร้อมนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ต่อหน้าชายชรา

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×