ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #131 : ตอนที่ 131 กลับตระกูลไป๋

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 66


       เพียงไม่กี่ชั่วยามที่ป้ายเจ้าขุนเขาบินจากไป ณ มหาทวีปเจี้ยน บริเวณป่าภูเขายอดเขาสูงเสียดฟ้า ปกคลุมด้วยม่านหมอกงดงาม เสมือนแดนเทวะอันบริสุทธิ์

    ยอดสุดของภูเขาที่สูงที่สุด มีซุ้มประตูมังกรขนาดใหญ่ ราวกับทางเดินของเหล่าเทพโบราณ มังกรที่แกะสลักจากโลหะล้ำค่า เกาะอยู่เหนือคาน ดวงตาดุจอัญมณีของมันมองลงต่ำคล้ายเย้ยหยันโลกหล้า

     

        ปากอันแสนใหญ่โตคาบป้ายอักษร ที่ปลดปล่อยความแหลมคมจากอดีตข้ามกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด นิกายเจี้ยนเสินเฟิง ยอดเขากระบี่หนึ่งในนิกายเซียนกระบี่ 

    ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพิภพเป็นรองเพียง นิกายศักดิ์สิทธิ์ของมหาทวีปแดนเทวะ ห้องโถงนิกายเหนือเมฆหลากสีภายใต้แสดงจันทรา ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมเรียบง่าย ไว้หนวดเคราผมยาวสีน้ำตาลสวมกวานหยก

     

       ดวงตาสีน้ำตาลอมแดง ด้านหลังหัวมีวงแหวนสีทองปนแดง เส้นผ่าศูนย์กลางราว 30 เซนติเมตรกำลังหมุนวันตามเข็มนาฬิกา ด้านนอกวงแหวนก็มีอีกวงแหวนหนึ่ง ที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยกำลังหมุนทวนเข็ม

    ชายวัยกลายคนลูบเคราสีน้ำตาลของตนอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นเองจิตสัมผัสของเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่คุ้นเคย ร่างของอีกฝ่ายลุกขึ้นกระทันหัน โบกมือย่อพื้นที่ให้อยู่ในฝ่ามือหลายพันลี้

     

       การกระทำนี้สร้างความแตกตื่นให้แก่เหล่าลูกศิษย์ ผู้อาวุโส และ เจ้าขุนเขาเป็นอย่างมาก “เจ้านิกายกวนจิว เกิดอะไรขึ้น!!?” ชายชราในชุดคลุมขาว

    ถือกระบี่สีดำสนิทดุจหลอมจากเหล็กดำบริสุทธิ์ พุ่งขึ้นมายังตำหนักเจ้านิกาย หนวดเคราสีขาวของชายชราโบกสะบัด ดวงตาเข้มขรึมกวาดไปมารอบข้างอย่างตื่นตัว

     

       ด้านหลังหัวของชายชราก็มีวงแหวนเหมือนเจ้านิกาย แต่มีเพียงชั้นเดียวบ่งบอกว่าเขามีขอบเขตต่ำกว่าอีกฝ่าย และสีวงแหวนของชายชราคือสีเขียวอ่อน เสมือนสายลมที่พัดโหมกระหน่ำตลอดเวลา

    กวนจิวโบกมือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาแบมือออกเผยให้เห็นป้ายประจำตัวของเจ้าขุนเขา ชายชราเบิกตากว้างปากบิดเบี้ยวพูดไม่เป็นภาษา “ป้ายประจำตัวของเจ้าขุนเขาแห่งเขาต้าคุน หมายความว่าเช่นไร?”

     

       ชายชราปล่อยให้กระบี่ของตนบินกลับไปยังขุนเขา เดินเข้าใกล้เจ้านิกายพลางลูบเครายาวของตนไปด้วย “ข้าก็ไม่รู้ แต่ศิษย์น้องจะไม่ใช้ป้ายประจำตัวเด็ดขาด หากไม่มีเรื่องเร่งด่วน”

    กวนจิวปิดปากเงียบนี้ก็ราว 500 ปีแล้วที่ทั้งอาจารย์ และ ศิษย์น้องของตนหายไป แต่ไฉนอีกฝ่ายจึงส่งมาเพียงป้ายประจำตัวเช่นนี้ เขาไม่คิดมากความกรอกจิตสำนึกลงไปในป้ายประจำตัว

     

       คลื่นข้อมูลบางส่วนไหลบ่าเข้าสู่ห้วงจิตสำนึก ดวงตาของกวนจิวสั่นระริก “เจ้านิกาย ในป้ายมันมีข้อความอันใดรึ?” หลังจากสังเกตเห็นปฎิกริยาของเจ้านิกายแล้ว

    ข่าวคราวที่มาพร้อมป้ายประจำตัวนี้ คงสำคัญเป็นอย่างมาก “แจ้งให้อาวุโสหลงซวี และ เหล่าศิษย์หลักและชั้นในบางส่วนเตรียมพร้อม เราจะใช้เรือบินไปยังเกาะแห่งนั้น”

     

       ชายชราดวงตาสั่นเทา “หมายความว่า…” กวนจิวพยักหน้าพร้อมพูดขึ้น “ถึงเวลาที่จะต้องเปิดมันแล้ว พวกนิกายศักดิ์สิทธิ์ต้าเทียน คงทำนายเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน พวกนั้นคงเตรียมตัวไปรับบุตรสวรรค์ในคำทำนายแล้ว…”

    กวนเฟิงปิดปากเงียบก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “อาวุโสหยาง อาวุโสเจ้าขุนเขาแห่งขุนเขาหลอมสร้างกลับมารึยัง?” ชายชราส่ายหน้าเป็นคำตอบพร้อมกล่าวเสริม “ล่าสุดโรงหลอมของตาเฒ่านั้น ปรากฏขึ้นในหมู่บ้านกันดารของปุถุชน”

     

        กวนจิวพยักหน้าเก็บป้ายประจำตัว เข้าจักรวาลในแขนเสื้อ แล้วหันไปสั่งให้อาวุโสหยางรีบรวบรวมคน เตรียมพร้อมออกเดินทางในอีก 1 สัปดาห์ อาวุโสหยางตอบรับบินออกจากตำหนักเจ้านิกาย 

    ลงไปยังโถงหลักอันศักดิ์สิทธิ์ เขาเริ่มเรียกรวมพลอย่างรวดเร็ว ทางฝั่งทวีปหลิวซูบนยอดเขาสุดขอบตะวันออก จากรัตติกาลผันเปลี่ยนเป็นรุ่งสาง ร่างในชุดขาวสะพายกระบี่

     

       ยืนเอามือไขว้หลังมองทะเลไพศาล ด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไป “ศิษย์ข้า เจ้าเปลี่ยนไปนะ…” แม้จะพึ่งเจอกันแต่เขาก็เฝ้ามองอีกฝ่ายมานาน พอรู้ลักษณะนิสัยและอารมณ์ของอีกฝ่าย

    แต่เช้าวันนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าโครงของหลินมู่จากโลกดาวเคราะห์สีฟ้าเลย ดวงตาเรียบนิ่งดุจผิวคลื่นหันมามองกวนเจี้ยนโปผู้เป็นอาจารย์

     

       “ศิษย์ยอมรับตนเองในตอนนี้อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากขบคิดมาศิษย์ก็ได้รู้ว่า การคิดมากไปขัดขวางวิถีกระบี่ของศิษย์ มันไม่ช่วยอะไรเลยนอกจากเพิ่มความเสี่ยงในอนาคต ศิษย์ไม่อาจเป็นหลินมู่ชายหนุ่มจากโลกได้อีก ตอนนี้จึงเหลือเพียงหลินมู่ศิษย์เซียนกระบี่…”

    พูดจบชายหนุ่มก็ปิดปากเงียบ เขาครุ่นคิดถึงปัญหามาทั้งคืน ตลอดที่ผ่านเขายึดติดกับแนวคิดบนโลก นำมาใช้กับการออกกระบี่ หลายต่อหลายครั้งมันทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างแปลกๆออกไป

     

        ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้เขาคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร สุดท้ายเขาก็เลือกจะปล่อยมันไปตัวตนดั้งเดิมของเขา เพราะหากไม่เปลี่ยน สุดท้ายเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีกำลัง ไปต่อกรกับบุตรแห่งสวรรค์ในอนาคต หากยังไม่เปลี่ยนแปลงคงไม่พ้นตกตายหลังจากนี้

    กวนเจี้ยนโปพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าจะกลับไปยังตระกูลไป๋ใช่หรือไม่?” หลินมู่พยักหน้าพร้อมถามคำถาม “ท่านอาจารย์ศิษย์สงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ในเมื่อผู้หญิงที่ท่านเจอสามารถทำนายถึงภัยพิบัติได้ แต่เหตุใดตระกูลต้าเจียงจึงไม่รู้ถึงภัยพิบัติ ที่มาจากตัวของบุตรแห่งสวรรค์?”

     

       อาจารย์ในชุดคลุมมายาคล้ายเมฆหมอก ที่เปล่งประกายเหมือนแสงอาทิตย์เหนือเมฆ นั่งลงบนก้อนหินแล้วพูดออกมาคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม 

    “เพราะศาสตร์การทำนายนางนั้นคนละสาย ของพวกต้าเจียงสืบทอดมาจาก นิกายเต๋า ที่สืบต่อมาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์แดนเทวะ อันเป็นต้นกำเนิดของนิกายเซียนทุกสาย และ ต้นกำเนิดศาสตร์การทำนายทั้งหมด มาจากอาวุโสบรรพชนส่องจำนงสวรรค์ ท่านสามารถเห็นอดีตอนาคต มองความจริงของทุกอย่าง และ คนที่ข้าเดิมพันด้วยคือลูกหลานสายตรงของ บรรพชนส่องจำนงสวรรค์”

     

        หลินมู่พยักหน้าไม่คิดเลยว่า ขนาดสายศาสตร์การทำนาย ที่ว่าซับซ้อนภายในต้นกำเนิดของมันเอง ก็ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าภายนอกหลายเท่า

    “ในเมื่อบรรพชนส่องจำนงสวรรค์ มองเห็นทุกสิ่งทำไมจึงไม่อาจหลบภัยพิบัติเมื่อ 700,000 ปีก่อน?” กวนเจี้ยนโปส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็เคยถามนางเช่นนั้น คำตอบของนางก็แสนง่ายดาย เพราะภัยพิบัติที่ว่า มันไม่มีอยู่แต่แรก มันไม่เคยมีตัวตน อยู่นอกเหนือความเข้าใจของสวรรค์และโลก ไม่อาจหาจุดเริ่มต้นและจุดจบ ข้าเองก็ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่นางได้บอกข้ากับอาจารย์ปู่เจ้าว่า บางทีศาสตร์การทำนายดั้งเดิม ของบรรพชนส่องจำนงสวรรค์ อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดตัวตนนั้นมา”

     

        หลินมู่แสดงสีหน้างุนงง ปิดปากเงียบรอฟังคำตอบจากผู้เป็นอาจารย์ กวนเจี้ยนโปที่รู้ว่าศิษย์ของตนสงสัย จึงพูดออกมาโดยไม่ประวิงเวลาใดๆ

    “นางบอกว่าเคยได้มองไปในความทรงจำ ที่บรรพชนส่องจำนงทิ้งเอาไว้ในศาสตร์การทำนาย นางบอกอีกฝ่ายมีตัวใหญ่โตอย่างไร้สิ้นสุด เพียงหนึ่งฝ่ามือก็ใหญ่โตกว่าสรรพสิ่ง ประกอบขึ้นด้วยกฎเกณฑ์ อยู่นอกเหนือโชคชะตาและกาลเวลาทั้งปวง ไม่อาจมองเห็นต้นกำเนิดอนาคตหรือจุดจบ"

     

       กวนเจี้ยนโปแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง "นางบอกว่าตอนนั้น มันคล้ายค้นหาบางสิ่งในที่นี้ แต่เหมือนว่ามันจะไม่เจอ หลังจากกวาดล้างเหล่าเซียน ร่วมถึงบรรพชนส่องจำนงสวรรค์ มันก็จากไปพร้อมสร้างกำแพงห้ามใครเข้าออก ข้าเองก็แปลกใจที่พวกเจ้า สามารถเข้ามาผ่านทางค่ายกลเก่าๆนั้นได้ หลังจากได้รู้ความจริงจากนาง..”

    ชายหนุ่มย่นคิ้วลงเล็กน้อย แต่ก็คลายออกยังไงซะตัวตนแบบนั้น เขาก็ไม่มีโอกาสไปเจออยู่แล้ว จะกังวลให้เสียเวลาไปทำไม ตอนนี้ความสงสัยส่วนใหญ่ก็คลายแล้ว

     

       หลินมู่จึงเตรียมจากไปแต่ก่อนจะไป เขาก็ถามคำถามที่กวนใจเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ “ท่านเคยคิดไหมว่าจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่น?” กวนเจี้ยนโปส่ายหน้า “ไม่ นั้นเป็นกฎของการเดิมพันระหว่างข้ากับนาง นอกจากคนที่อยู่ในการเดิมพันนี้ก็ไม่มีใครควรรู้….”

    “เชื่อข้าเถอะ การพูดคุยนี้นางก็รู้เช่นกัน” หลินมู่ขนลุกเสียวซ่าน เกิดความรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งจ้องมองมายังที่แห่งนี้ หลังจากบอกลาอาจารย์ของตนเสร็จ

     

       เขาขึ้นขี่กระบี่ตรงไปยังที่ตั้งตระกูลไป๋ เพียงไม่ถึงหนึ่งวันร่างในชุดขาว ก็ร่อนลงด้านหน้าหุบเขาสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ เหล่าผู้ฝึกวรุยทธ์ของตระกูลไป๋ป็นอย่างมาก

    ชายหนุ่มชุดขาวพร้อมกระบี่อันแปลกประหลาด กำลังยืนนิ่งรอให้ใครบางคนเดินออกจากม่านหมอก ดวงตาสีหมึกที่คล้ายท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว กำลังจ้องมองหุบเขานี้หวนนึกถึงอดีตเมื่อยามแรกสุด 

     

       “ข้าหลินมู่ กลับมาแล้ว…” ชายหนุ่มไม่คิดจะปิดบังการมาถึงใดๆ ประกาศชื่อของตนออกไปโต้งๆ สร้างความแตกตื่นอีกระลอกให้แก่เหล่าคนตระกูลไป๋

    รวมถึงไป๋เทียและเหล่าชายหญิงจากต่างโลก พวกเขาแสดงสีหน้าไม่เข้าใจปนสงสัย “ไม่ใช่ว่าหลินมู่ ตายไปเมื่อปีก่อนแล้วหรือ?” ทุกคนเงียบไม่มีใครกล้าตอบคำถามนี้…

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×