คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #130 : ตอนที่ 130 การเดิมพัน
หลินมู่กระพริบตาปริบๆ มองอาจารย์ของตนอย่างไม่เข้าใจ กวนเจี้ยนโปที่เห็นว่าลูกศิษย์ของตนแสดงท่าทีงุนงง ก็ผายมือพร้อมบอกให้ชายหนุ่มนำตำราเวทย์กระบี่ออกมา
ชายหนุ่มทำตามเปิดถุงเฉียนคุน นำตำราสีขาวออกมาส่งให้ผู้เป็นอาจารย์ “แรกเริ่ม อาจารย์ปู่ของเจ้าได้สรรสร้างวิชา ที่แปลกพิสดารขึ้นในฟ้าดินใบเล็ก เขาแหกกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนั้น จนถือกำเนิดเป็นยอดเวทย์กระบี่ในพิภพ”
กวนเจี้ยนโปพูดอธิบายที่ไปที่มาอย่างผิวเผิน พร้อมเปิดหน้าตำราไปด้วยอย่างเบามือ “แรกสุดเพราะหวั่นเกรง ว่าดวงตาของตนจะทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ อาจารย์ปู่ของเจ้าหรือ กวนหรงเซียง ได้ใช้ผ้าขาวพันปิดตาของตนเอาไว้”
พูดจบกวนเจี้ยนโปก็หยุดพลิกหน้าตำรา หันมามองหลินมู่ด้วยรอยยิ้ม “แต่เนื่องจากการหลีกหนี ไม่อาจทำให้เวทย์กระบี่พัฒนา กวนหรงเซียง จึงลองใจกับตนเองจนเมื่อลืมตาได้สำเร็จ ควบคุมจิตใจอันปั่นป่วนจึงสำเร็จขั้นสอง และ ก่อกำเนิดเป็นเคล็ดสังหาร มันไม่มีในตำราเพราะไม่อาจสอนผ่านตัวอักษร แต่สามารถถ่ายทอดจากผู้เป็นอาจารย์”
พูดจบกวนเจี้ยนโปก็ลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆลอยขึ้นราวกับเขาไร้น้ำหนัก เขาขยับมือขวาดึงกระบี่ใบสีฟ้าดุจท้องนภา ออกมาจากต้นไม้อันแปลกประหลาด มันบินวนอยู่รอบตัวเสมือนมัจฉาตัวใหญ่
คลื่นจิตสำนึกอันหนาแน่นระเบิดออกมา ปกคลุมไปทั่วบริเวณกระบี่สีฟ้า และ ตงหยู ต่างพากันสั่นพ้อง อาจารย์ของชายหนุ่ม งอนิ้วกลางลงใช้นิ้วหัวแม่มือกดไว้
พร้อมชี้มือไปทางทะเลไพศาลตรงหน้า “เบิกตาดูไว้ศิษย์ข้า นี้คือเคล็ดสังหาร” สิ้นเสียงกวนเจี้ยนโปก็ดีดนิ้ว ทำให้กระบี่สีฟ้าพุ่งออกไปดุจดาวตกจากฟากฟ้า
แยกผืนทะเลแหวกผืนฟ้าเป็นสอง “นี้คือกวาดฟ้า เป็นเคล็ดสังหารของอาจารย์ อาจารย์ปู่ของเจ้ามีชื่อว่า ตัดขาด เคล็ดสังหารนั้นแตกต่างตามตัวบุคคล อาจารย์ปู่ของเจ้า เปรียบดวงตาและจิตเป็นกระบี่ ข้าเปรียบดวงตาเป็นกระบี่ จิตเป็นผู้ถือกระบี่ ส่วนเจ้าคง เปรียบจิตเป็นกระบี่ ดวงตาเป็นผู้ถือ ใช่หรือไม่”
หลินมู่อ้าปากเหวอมองภาพที่ทะเลและแผ่นฟ้า ถูกตัดผ่านแยกเป็นสองส่วน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์ของตนแข็งแกร่งขนาดไหน และ อะไรทำให้อาจารย์ต้องตายกลายเป็นวิญญาณเช่นนี้
กวนเจี้ยนโปคล้ายอ่านใจศิษย์ของตนได้ ก็ตอบกลับอย่างแย้มยิ้ม “อาจารย์ของเจ้ามีขอบเขต ปฐพีที่ 3 อีกครึ่งก้าวก็กลายเป็น นภาที่ 1 กลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายอนาคตของข้านำไปเดิมพันหมดแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้างึกงักพร้อมพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ แล้วข้าจะใช้เคล็ดสังหารได้เช่นไร?” กวนเจี้ยนโปยิ้มควบคุมกระบี่สีฟ้าที่บินกลับมา กลับเข้าไปในต้นไม้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ปล่อยกายใจไปตามสัญชาตญาณ ปล่อยให้กระบี่และมหามรรคาของเจ้าสรรสร้างขึ้นมา เจ้าเหลือเพียงขั้นตอนออกกระบี่ เพราะเจ้าง้างกระบี่ไว้อยู่แล้ว ลองดูสิไม่ลองเจ้าก็ไม่รู้” พูดจบผู้เป็นอาจารย์ก็กลับมานั่งบนกิ่งไม้ รอดูเคล็ดสังหารของศิษย์ผู้สืบทอดของตน
หลินมู่กลืนน้ำลายเขาค่อนข้างประหม่าพอสมควร ชายหนุ่มในชุดขาวลงไปยืนบนพื้น ปล่อยกายใจให้เป็นตามสัญชาตญาณ ควบคุมกระบี่ของตนให้ออกจากฟัก
ชายหนุ่มยืนนิ่งท่ามกลางแสงดาวอยู่นาน เขาหลับตาพยายามค้นหาว่าเคล็ดสังหารของตนเป็นเช่นไร คลื่นจิตสำนึกเริ่มปกคลุมบริเวณยอดเขาอย่างช้าๆ กลิ่นอายอันคมกริบแผ่เล็ดลอดออกมา
กระบี่โปร่งใสจำนวนมากกำลังหมุนวนรอบชายหนุ่ม กวนเจี้ยนโปยิ้มแย้มปากพลางพึมพำอย่างเหลือเชื่อ “เขาไปถึงจิตกระบี่แท้จริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า การเดิมพันของข้าและอาจารย์ไม่เสียเปล่า”
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นกระทันหัน ตั้งท่าเหมือนกวนเจี้ยนโป ชี้ไปทางทะเลไร้สิ้นสุดตรงหน้าตน ตงหยูหยุดนิ่งต่อหน้าชายหนุ่ม มันจะถูกห่อหุ้มด้วยจิตกระบี่หนาแน่น ปล่อยกลิ่นอายอันจะสุดหยั่งออกมา
ดวงตาสีหมึกของชายหนุ่มเปล่งประกาย เขาดีดนิ้วออกไปปล่อยกระบี่ลงสู่ทะเลไพศาล ปัง!!! ตงหยูพุ่งออกไปกลานเป็นรุ้งสีขาว ปะทะเข้ากับผิวทะเลตามมาด้วย จิตกระบี่นับสิบที่พุ่งเป็นวิถีโค้ง บรรจบที่ปลายสุดของเส้นทาง
ตู้ม!! แรงปะทะมหาศาลระเบิดขึ้นมาภายใต้น้ำ คลื่นสูงใหญ่กระเพิ่มไปมา ไม่นานตงหยูก็บินกลับมาหาชายหนุ่ม มันแสดงท่าทีร่าเริงเป็นอย่างมาก บินวนรอบตัวผู้เป็นนายสักพัก ก่อนจะกลับเข้าฟักอย่างว่าง่าย ใบหน้าของหลินมู่ซีดเผือด เขารู้สึกว่าพลังจิตของตนแห้งเหือดไปแล้ว
แปะแปะแปะ “ยอดมาก เจ้าเรียกมันว่าอะไรศิษย์ข้า” กวนเจี้ยนโปเดินมาหาชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม เขาถามถึงชื่อเคล็ดสังหารอย่างกระตือรือร้น
“มหาโคจร ข้าเรียกมันว่ามหาโคจร” กวนเจี้ยนโปพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เอาหล่ะเจ้าคงมีเรื่องสงสัยมากมาย ถามมาเลยหากอาจารย์ของเจ้ารู้ก็จะตอบให้” หลินมู่แสดงสีหน้าครุ่นคิด
ไม่นานเขาก็ถามคำถามแรกออกมา “ท่านมาอยู่ที่นี้นานเท่าใดแล้ว แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่” กวนเจี้ยนโปยิ้มน้อยๆให้กับคำถามของหลินมู่ คล้ายกับว่าเขาคาดเดาไว้แล้วว่าหลินมู่จะต้องถาม
“ข้ามาถึงที่นี่เมื่อ 500 ปีก่อน ร่างข้าคือต้นไม้เลี้ยงตะวันต้นนี้ แรกเริ่มเป้าหมายของข้าไม่ได้เป็นที่นี้ แต่เพราะการหายตัวไปของ กวนหรงเซียง อาจารย์ปู่ของเจ้าข้าจึงออกมาตามหา สุดท้ายก็พบกับอีกฝ่ายที่รอยต่อฟ้านอกพิภพ ข้ากับอาจารย์ปู่ของเจ้า รับเดิมพันกับหญิงสาวผู้หนึ่ง นางขยี้กายหยาบของข้า ส่งดวงจิตมาพร้อมต้นเลี้ยงตะวัน ส่วนอาจารย์ปู่เผาตนเองเป็นเชื้อเพลิง หายไปจากฟ้าดินเพื่อวางเดิมพันที่สูงขึ้น”
หลินมู่อ้าปากค้างไม่คิดเลยว่า จะมีความเป็นมาเช่นนี้ “พวกท่านเดิมพันสิ่งใดกัน” หลินมู่ถามออกไปอย่างใคร่สงสัย “โอกาส แม้จะเล็กน้อยมาก พวกข้าก็เดิมพันกับโอกาสเพียงเล็กน้อยนั้น เพื่อทำให้พิภพรอดพ้นจากภัยพิบัติ”
กวนเจี้ยนโปนิ่งเงียบก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าน่าจะเคยได้ยินผ่ายหูมาบ้าง ชื่อคนที่นางทิ้งไว้ในตระกูลไป๋ คนที่ชื่อไป๋มู่ นั้นคือสื่อกลางให้เจ้ามีชะตาอยู่ที่นี่ เจ้าเป็นโอกาสเพียงเล็กน้อยที่ว่านั้น เพื่อช่วยบุตรีแห่งสวรรค์ เป็นหลักค้ำประกันให้องค์เทียนโฮว”
ยิ่งฟังหลินมู่ก็ยิ่งตกตะลึงเริ่มตามไม่ทันกับสถานการณ์ “แล้วทำไมเป็นข้า เป็นคนอื่นไม่ได้หรือ?” กวนเจี้ยนโปส่ายหน้า เขาช่างใจเล็กน้อยก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม
“เพราะคนอื่นที่ว่า บุตรแห่งสวรรค์ ที่เกิดในที่นี้เป็นคนจะทำให้พิภพดับสูญ…” เปรี้ยง!! สายฟ้าลูกใหญ่ผ่าลงใจกลางห้วงจิตของชายหนุ่ม เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนถูกดึงมาที่นี่เพราะมีเบื้องหลังเช่นนั้น
“แล้วคนอื่นๆหล่ะ…” กวนเจี้ยนโปมีใบหน้านิ่งเฉยพร้อมตอบกลับ “ก็เป็นส่วนหนึ่งในโอกาสเช่นกัน แต่พวกเขาเล็กจ้อยจนไม่สลักสำคัญใดๆ คนที่สำคัญจริงๆก็คือเจ้าที่ถูกวางเป็นหมากโดยโชคชะตาแต่ต้น เจ้าถูกกำหนดให้สังหารอีกฝ่ายในอนาคต"
หลินมู่หลับตาพยายามทำใจให้สงบ เมื่อกลับมาเป็นปกติเขาก็ถามคำถามที่คาใจอยู่ “แล้วถ้าข้า ฆ่า บุตรแห่งสวรรค์ตอนนี้หล่ะ” กวนเจี้ยนโปส่ายหน้ายิ้มๆ ให้ความคิดไร้สาระของศิษย์ตน
“เจ้าทำไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายถูกตระกูลต้าเจียงคุ้มกันไว้อยู่ แม้จะฝ่าวงล้อมไปถึงตัวอีกฝ่ายฟ้าดินและโชคชะตา ก็ไม่ยอมให้เจ้าทำใดๆกับบุตรแห่งสวรรค์ ดีไม่ดีเจ้าอาจจะตายทันทีหลังชี้อาวุธใส่บุตรแห่งสวรรค์ อันเป็นที่รักใคร่ของโชคชะตา”
หลินมู่ปิดปากเงียบสุดท้ายก็ทำใจได้ หากไม่ยอมรับก็ทำอะไรไม่ได้ เขาในตอนนี้ไม่มีกำลังพอจะไปงัดข้อกับฟ้าดิน มีแต่ต้องรอให้ตนแข็งแกร่งมากกว่านี้
“ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ขอบเขตนภาขึ้นไป มีชื่อว่าเช่นไรและบ่มเพาะเช่นไร” กวนเจี้ยนโปแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยคำขอโทษเหนือคณานับ
“เมื่อเจ้าเข้าสู่ขอบเขตนภา เจ้าก็จะถือเป็นเป็นเซียนอย่างเต็มตัว แต่ละขอบเขตจะมีชื่อเรียกดังนี้ นภาที่ 1 เซียนดิน นภาที่ 2 เซียนฟ้า นภาที่ 3 เซียนสวรรค์ ซึ่งถือเป็นขอบเขตสูงสุดในยุคปัจจุบัน”
“มีขอบเขตที่เหนือกว่านภาด้วยหรือ?” หลินมู่ถามออกมาอย่างแปลกใจ เขาก็นึกว่าการบ่มเพาะจะหยุดอยู่เพียงนภาที่ 3 เสียอีก กวนเจี้ยนโปพยักหน้าพร้อมพูดขึ้น
“ตามบันทึกโบราณ เมื่อ 700,000 ปีก่อน มีเซียนเหนือขอบเขตนภามากมาย นภาที่ 3 ในตอนนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากทหารชั้นสูง ที่คอยขนย้ายทหารคนอื่นผ่านท้องฟ้าอันว่างเปล่านอกพิภพ แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่าง ผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่านภาที่ 3 ขึ้นไปทั้งหมด รวมถึงนภาที่ 3 ลงมาบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นของ ภพเทพ ภพมนุษย์ ภพปีศาจ นรก สวรรค์ ถูกกวาดล้างจนหมด แม้แต่ชื่อยังถูกลบหาย ไม่มีใครรู้ว่าภัยพิบัติอะไรเกิดขึ้นในสมัยนั้น ทำให้พิภพเทียนเว่ย เปลี่ยนชื่อเป็น พิภพสุสานเทพเจ้ามาแต่นั้น”
เมื่อได้ฟังประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แล้ว หลินมู่ก็อดไม่ได้จะหวาดกลัวแต่เขากลับโฟกัสอยู่อย่างหนึ่ง “ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่า นภาที่ 3 สามารถออกนอกพิภพท่องไปท้องฟ้าอันว่างเปล่าได้ใช่หรือไม่”
กวนเจี้ยนโปพยักหน้า และ ก็ส่ายหน้าในขณะเดียวกัน “หากในอดีตใช่ แต่ตอนนี้แม้แต่เหล่าตุลาการสวรรค์ ที่มีขอบเขตนภาที่ 3 ก็ไม่อาจออกจากพิภพได้ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไปนอกพิภพ มันทำให้อำนาจของพิภพเราเสื่อมลงทุกวัน แต่มันก็เป็นหลักประกันไม่ให้พิภพระดับสูงอื่นๆ เข้ามาโจมตีเราได้”
ยิ่งนานเรื่องราวก็ยิ่งซับซ้อน ชายหนุ่มจึงหยุดถามเรื่องประวัติศาสตร์ไว้เพียงเท่านี้ แล้วเริ่มถามเรื่องที่สำคัญต่อตนเอง ทั้งบางสิ่งคล้ายพระอาทิตย์ในห้วงจิต และ การบ่มเพาะฝึกฝน
“เจ้าสามารถปลุกจิตต้นกำเนิดได้แล้ว? แถมมีถึงสองหายากมาก แม้แต่องค์เทียนโฮวยังปลุกออร่าและจิตต้้นกำเนิด ตอนปฐพีที่ 2 เจ้านี่เกินคาดจริงๆ” กวนเจี้ยนโปเริ่มอธิบายต่อ
เท่าที่หลินมู่สรุปได้ จิตต้นกำเนิด หรือ ออร่าต้นกำเนิด คือสิ่งเดียวกันมันเป็นพลังต้นกำเนิด ที่มีในร่างกายของทุกคน วิธีการใช้ก็แสนง่ายดาย ใช้มันเสริมพื้นฐานของขอบเขต
โดยส่วนใหญ่จะปลุกขึ้นมาพลังพ้นเคราะห์บนมหามรรคาจนหมดแล้ว หลังจากเลื่อนขอบเขตก็ใช้จิตหรือออร่าต้นกำเนิด เสริมรากฐานให้แข็งแกร่งขึ้น โดยทั่วไปแต่ละคนจะปลุกได้หนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตต้นกำเนิด หรือ ออร่าต้นกำเนิด
แต่ของหลินมู่อยู่ในกรณีพิเศษ คล้ายขององค์เทียนโฮวที่เป็นทั้งเซียนกระบี่ และ เซียนดั้งเดิม นางจึงปลุกได้ทั้งจิตต้นกำเนิดและออร่าต้นกำเนิด
แต่ของหลินมู่กวนเจี้ยนโปคาดว่า มันเป็นเพราะร่างกายของหลินมู่ ที่มีความผิดปกติบางอย่างทำให้ออร่าต้นกำเนิด กลายเป็นจิตต้นกำเนิดดวงที่สอง
เมื่อคลายข้อสงสัยอีกหนึ่ง ชายหนุ่มก็เริ่มถามในสิ่งที่สงสัยรองลงมา “ท่านอาจารย์ เจ้าเชือกวิเศษมันเป็นแบบนี้แต่แรกเลยหรือ?” ชายหนุ่มพูดพร้อมนำเจ้าเชือกวิเศษที่ดิ้นไปมา ให้ผู้เป็นอาจารย์ดู
กวนเจี้ยนโปพยักหน้าพร้อมตอบคลายข้อสงสัย “ใช่มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แรกเริ่มเดิมทีมันยาวเป็นลี้ยืดหดได้ตามใจ แต่เมื่อ 500 ปีก่อน ข้าได้เจอกับปีศาจขอบเขตนภาตนหนึ่งในรอยต่อ ทำให้เชือกวิเศษที่เป็นสมบัติระดับนภา ต้องถูกตัดขาดสูญเสียอำนาจดั้งเดิมไปจนเกือบหมด ขอบเขตของมันก็ร่วงลงมา จากนภา ลงมาเป็นสมบัติวิเศษ แม้แต่การประเมินพรสวรรค์ที่มันเคยทำได้ ยังแทบไม่สามารถแสดงออกมาได้”
หลินมู่มองเจ้าอสรพิษเทียมอย่างเหลือเชื่อ ไอ้เชือกนี้ในอดีตเคยเป็นสมบัติระดับนภา แม้จะรู้ว่ามันสูงมากแค่ไหน แต่ตอนเป็นของหายากมากแน่ๆ เขาปล่อยมือให้เจ้าเชือกวิเศษไปพันรัดอยู่ใต้แขนเสื้อตนเหมือนเดิม
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ถามคำถามอีกเล็กน้อย จนเขาไม่อาจฝืนความเหนื่อยล้า แล้วผลอยหลับไปเพราะความเหนือล้าของจิตใจ กวนเจี้ยนโปยืนเอามือไขว้หลัง แหงนหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า “คงถึงเวลาแล้ว”
สิ้นเสียงอีกฝ่ายก็ควบคุมบางอย่างออกมาจากต้นไม้เลี้ยงตะวัน มันเป็นป้ายหยกสลักคำว่าเจ้าขุนเขา กวนเจี้ยนโปควบแน่นจิตกระบี่เข้าไปในป้าย เปิดใช้งานรูปแบบทำให้มันบินหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลิวเอ๋อร์ที่เป็นแกนกลางของม่านป้องกัน ก็ควบคุมค่ายกลปลดม่านป้องกันออกอย่างถาวร ในเมื่ออีกฝ่ายส่งป้ายออกไปแล้ว คงถือเวลาที่เจี้ยนเสินเฟิงจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง หลังจากเนรเทศคนทรยศมาที่นี่เมื่อ 2,000 ปีก่อน
ความคิดเห็น