ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 13 ได้สติ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 65


       หลินมู่ได้สติและฟื้นขึ้นมาอีก 5 วันให้หลัง เมื่อเขาลืมตาก็พบว่าตนอยู่ในห้องไม่คุ้นตา

    ไม่ใช่เพดานหลังคาไม้ของรถม้าที่คุ้นเคย เมื่อพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งก็เผชิญกับความเจ็บปวดทั่วร่างกาย

     

       ราวกับมีคนกำลังเอาค้อนทุบตีทุกส่วนบนร่างกาย “เกิดอะไรขึ้น….” แม้แต่ขยับแขนก็ยังยากสำหรับชายหนุ่มในตอนนี้

    เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอยู่นิ่ง พร้อมหาคำอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน 

     

       เขานึกย้อนกลับไปตอนไป๋หยงซุนพูดเกี่ยวกับเขาตอน เขาฝึกออกหมัดในคืนนั้น “ตัวอ่อนยุทธ์แท้….สรุปนี้มันพรหรือคำสาปกันแน่"

    หลินมู่พึมพำมองเพดานด้วยสีหน้าเซ็งกับชีวิต จะฝึกฝนตบะรวมลมปราณก็ไม่ได้เพราะร่างกายพิการวรยุทธ์แต่กำเนิด

     

       ขนาดจะฝึกหมัดจริงจังยังทำไม่ได้เลย ถ้าจริงจังมากไปตกอยู่ในภวังค์อีก ก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายทางอ้อม

    สรุปแล้วในโลกนี้มันมีสิ่งที่เขาทำได้บ้างไหมเนี่ย? นอนมองเพดานอยู่นานสุดท้ายก็เบื่อภาพเดิมๆ จึงพยุงตัวพยายามลุกขึ้นนั่ง

     

       แต่เขาต้องเจอกับอุปสรรคใหญ่หลวงความเจ็บปะทุออกมาจากทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่แสบร้อนราวกับมีเหล็กร้อนอยู่ใต้ผิวหนัง

    กระดูกทั่วร่างส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดราวกับมันจะปริแตกได้ทุกเมื่อ นี้ขนาดเขาตกอยู่ในภวังค์แค่สามชั่วโมง

     

       หากนานกว่านี้จะไม่ลงโลงพร้อมฝังเลยหรือ? ชายหนุ่มกัดฟันแน่นไม่ร้องออกมาสักแอะ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ

    เขาเอาหลังพิงกำแพงก่อนจะมองไปรอบตัว ก็พบว่าตนกำลังอยู่ในห้องที่แปลกตา คาดว่าในระหว่างที่ตนหมดสติขบวนเก็บประสบการณ์คงมาถึงเมืองสักแห่ง

     

       ที่ที่ตนนอนอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นห้องพักในโรงเตี๊ยมสักที่ เครื่องหอมถูกจุดไว้คาดเดาจากสายตาน่าจะพึ่งจุดได้ไม่นาน

    มีกลิ่นสมุนไพรลอยตลบอยู่ทั่ว เมื่อก้มลงมองตนเองหลินมู่ก็นึกกับเลิกคิ้วขึ้น “นี้ฉันกลายเป็นมัมมี่แล้วหรอ?”

     

       เพราะเกือบทั้งร่างถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว และจุดที่มีกลิ่นสมุนไพรฉุนที่สุดคงไม่พ้นบนตัวของชายหนุ่ม

    นั่งอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนผ่านมาตัดสิ้นใจสักพัก หลินมู่ก็ตะโกนออกมา “มีใครอยู่ไหม!?” เงียบกริบ

     

       ไม่มีเสียงใดตอบกลับมามีเพียงความเงียบงัน “หรือเราจะถูกทิ้งแล้วนะ” หลินมู่ยิ้มแห้งแต่ทันใดนั้นเอง

    ปึง!! ประตูห้องถูกผลักเปิดออก ผู้ที่เข้ามาภายในห้องก็คือไป๋หยงซุนมือดาบขี้เหล้าประจำตระกูลไป๋

     

       บนใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความตื่นเต้นและโล่งอก “หลินมู่เจ้าฟื้นแล้ว!?” หลินมู่พยักหน้าอย่างงึกๆงักๆ

    ไป๋หยงซุนยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งออกไปอีกครั้ง “รอข้าก่อนเจ้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ข้าต้องให้พวกเขาปรุงข้าวต้มมาให้เจ้า!”

     

       สิ้นเสียงร่างของอีกฝ่ายก็ห่างไปไกลแล้ว ทิ้งหลินมู่ให้นั่งนิ่งให้ห้องนี้เพียงคนเดียว

    หลินมู่ขมวดคิ้วแน่นหลายวัน? เขาหมดสติไปนานขนาดนั้นเลย? ไม่ใช่แค่วันสองวันหรือ?

     

       แต่ถ้าเขาหลับไปหลายวันทำไมเหมือนอาการเขายังหนักอยู่เลยล่ะ? ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตนเองสรุปว่าตนหมดสติไปแล้วกี่วันกันแน่

    ผ่านไปสองก้านธูป ไป๋หยงซุนก็กลับมาพร้อมถ้วยข้าวต้มร้อนๆถ้วยหนึ่ง เขานั่งอยู่ข้างเตียงก่อนจะจัดท่าทางให้หลินมู่ไปพิงหัวเตียงแทน

     

       หลังจากนั้นเขาก็เริ่มป้อนข้าวต้มโดยเล่าด้วยว่า 5 วัน ที่ผ่านมาในตอนที่หลินมู่หมดสติ ระหว่างทางเกิดไรขึ้นบ้าง

    แรกสุดก็คือวันแรกหลังจากหลินมู่หมดสติ ขบวนเก็บประสบการณ์ก็เจอกับฝูงหมาป่าวายุ การต่อสู้ทั้งสองฝ่ายดุเดือดเป็นอย่างมาก

     

       แต่ด้วยที่ทางฝั่งตระกูลไป๋มีสามอาวุโสคอยควบคุมสถานการณ์ อย่างมากก็มีแค่คนบาดเจ็บไม่มีใครถึงชีวิต เพียงไม่นานก็สามารถขับไล่ฝูงหมาป่าวายุไปได้ในที่สุด

    โดยไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว แต่น่าเสียดายคนที่มาจากโลกพร้อมหลินมู่นั้นขี้ขาดเกินไป

     

       แม้จะออกกระบวนท่ายังยากเลย ทำให้เห็นได้ว่าแม้เด็กกลุ่มนี้จะมีพรสวรรค์ที่สูง

    แต่จิตใจกับอ่อนแอยิ่งไม่ใช่แค่ต้องฝึกฝน คนเหล่านี้ต้องขัดเกลาจิตใจให้มั่นคงกว่านี้

     

       หากเจอกับสถานการณ์เป็นตาย คนที่จิตใจอ่อนแอนี่แหละจะตายเป็นคนแรก ต่อให้มีตบะล้ำลึกและสูงส่งแค่ไหน

    หากจิตใจอ่อนแอไม่อาจดึงศักยภาพสูงสุดของตนออกมาได้ ก็ไม่ต่างจากไม้ประดับไร้ค่าในสถานการณ์เป็นตาย

     

       ยังดีที่ศิษย์สืบทอดของไป๋หยุนเฉินอย่างไป๋เทีย มีจิตใจที่มั่นคงสามารถตั้งสติได้ดีระหว่างต่อสู้

    นอกจากนั้นเขายังต้องฝึกอีกนิดหน่อย สำหรับคนอื่นๆหรือพวกจิตใจอ่อนแอในกลุ่มรุ่นเยาว์ตระกูลไป๋

     

       สามารถแก้ไขได้ง่ายๆเมื่อพวกเขาไปถึงหุบเขาสำเร็จมาร แต่โบราณหุบเขาสำเร็จมารนั้นมีกลิ่นอายชั่วร้ายตลบอบอวล

    ยิ่งเข้าใจปากเหวด้านในหุบเขามากเท่าไหร่ กลิ่นอายชั่วร้ายและจิตปีศาจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เป็นที่ที่ดีสำหรับการฝึกฝนด้านจิตใจของพวกเด็กอ่อนประสบการณ์ในยุทธจักร

     

       แม้พวกเขาจะมีตระกูลไป๋เป็นผู้หนุนหลัง แต่เมื่อออกมาท่องยุทธจักรอยู่นอกอาณาเขตตระกูลไป๋

    ชีวิตและความตายต้องรับผิดชอบเอาเอง หากเกิดตกตายขึ้นมาก็โทษได้แค่ว่าตนอ่อนแอและประมาทเอง

     

       หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก พวกเขาเดินทางอีกสี่วันจึงมาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด

    ตอนนี้พวกเขาอยู่เมืองกวางหยู เป็นเมืองการเกษตรธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตตระกูลไป๋

     

       เพราะบริเวณรอบเมืองเป็นทุ่งโล่งกว้างกินอาณาบริเวณหลายร้อยลี้ ธัญพืชที่มาจากเมืองนี้จึงมีปริมาณมาก

    ช่วงนี้พวกเขายังไม่เริ่มเพาะปลูกจะรอจนกว่าฝนแรกจะตกลงมา ตอนนั้นแหละที่ชาวนาชาวไร่ที่เมืองจะเริ่มลงเมล็ดเพาะปลูก

     

       ไป๋หยงซุนยังเล่าต่ออีกว่าพอถึงหน้าเก็บเกี่ยว บริเวณรอบเมืองก็จะสวยงามเป็นอย่างมาก

    จนได้ขึ้นชื่อว่าต้องได้เห็นให้ได้สักครั้งในชีวิต ทุกปีเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็จะมีผู้ฝึกวรยุทธ์น้อยใหญ่จะใกล้หรือไกล

     

       จะพากันเฮโลมาเพื่อชมเทศกาลเก็บเกี่ยวที่เมืองกวางหยู ช่วงนั้นเองก็จะเป็นช่วงที่เมืองจะคึกคักและรายได้มากที่สุด

    ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่วุ่นวายอย่างมาก หากใครก่อปัญหาขึ้นมาความเสียหายเป็นจำนวนหลายตำลึง

     

       ทั้งเมืองในช่วงเก็บเกี่ยวจึงไม่ต่างจากถังดินระเบิด หากมีประกายไฟแม้แต่น้อยอาจจะสร้างความเสียหายจำนวนมหาศาล

    เมืองผ่านช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยว ชาวนาในเมืองกวางหยูก็จะคัดแยกธัญพืชบางส่วนไว้หมักสุรา

     

       และส่วนที่เหลือก็ปล่อยขาย เมื่อพูดถึงเรื่องสุรามือดาบขี้เหล้าคนนี้ก็พูดไม่หยุด

    สาธยายถึงความนุ่มละมุนและหอมหวานจากธัญพืช รสชาติจางๆที่ติดอยู่ในลิ้น หากหลินมู่ไม่เบรคไว้คงกลายเป็นสารคดีสุราแทนแล้วแน่นอน

     

       “อีกนานเท่าไหร่กว่า เราจะไปถึงยังหุบเขาสำเร็จมาร?” หลินมู่ถามขึ้นอย่างสงสัยหลังจากกินข้าวมือแรกเสร็จ ในรอบหลายวัน

    ไป๋หยงซุนยกมือขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วคำนวณ “หากไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นระหว่างทาง เราจะไปถึงในอีกสองถึงสามเดือน หากล่าช้าอาจจะสี่เดือน รวมขากลับถ้าจะเอาเผื่อกันพลาดคือ 10 เดือน”

     

       หลินมู่ที่ได้ยินว่าขาไปขากลับรวมแล้วไม่เกิน 10 เดือนหรืออาจจะนานกว่านั้น ก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้

    อย่างน้อยเวลาในการย้อนกลับไปเผชิญหน้ากับไป๋หยุนเฉิน ก็ยืดยาวออกไปอีกเล็กน้อย

     

       “ลำบากท่านแล้ว” หลินมู่พูดขึ้นระหว่างไป๋หยงซุนกำลังจุดเครื่องหอมอันใหม่ 

    “ลำบากหรือ? ไม่ลำบากเลยทำให้ข้านึกถึงอดีตตอนข้าดูแลนายน้อย ตอนนั้นนายน้อยยังไม่รู้หนักเบาสุดท้ายก็จบที่นอนขยับตัวไม่ได้ต้องให้ข้าคอยดูแล"

     

       หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะถามขึ้น “ไป๋หลานหลงหรือ?” ไป๋หยงซุนส่ายหัวก่อนจะตอบกลับ

    “ไม่ที่ข้าพูดถึงคือไป๋มู่บุตรชายคนแรกของท่านไป๋หยุนเฉิน เห้อน่าเสียดายน่าเสียดาย”

     

       ไป๋หยงซุนพูดลอยๆระหว่างเก็บกวาดของบนโต๊ะ แต่หลินมู่กลับแข็งค้างไปแล้ว ก่อนจะถามขึ้นเสียงสั่น

    “แล้วเขาไปไหนแล้ว…” ไป๋หยงซุนยังคงยุ่งอยู่กับข้าวของบนโต๊ะเลยตอบกลับสั่นๆ

     

       “ตายเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะพรรคมารบุกโจมตีเมือง เห้อน่าเสียดาย หากนายน้อยไป๋มู่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้ากับเขาอาจจะได้เจอกันก็ได้ ราวกับเป็นแฝดกันก็มิปาน”

    ไป๋หยงซุนพูดอย่างถอดถอนใจ ซึ่งหลินมู่ตกตะลึงไปแล้วเขากำลังวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่อีกครั้ง

     

       จนเขาได้บนสรุป ไป๋หยุนเฉิน ไม่ได้ปองร้ายตน กลับกันอีกฝ่ายมองตนเป็นตัวแทนบุตรชายที่ตายไปแล้วของเขา

    หลินมู่ยกยิ้มอย่างเย้ยหยันตนเองก่อนจะเอามือก่ายหน้าผาก ตอนนี้ความตกตะลึงมันอยู่เหนือกว่าความเจ็บปวดไปแล้ว

     

       ไป๋หยงซุนที่เก็บกวาดเสร็จก็พูดขึ้น “ข้าจะอยู่ห้องข้างๆ หากมีอะไรเจ้าสามารถเรียกหาข้าได้” หลินมู่ไม่ตอบกลับเพราะเขาตกอยู่ในความคิด

    รู้ตัวอีกทีไป๋หยงซุนก็ออกจากห้องไปนานแล้ว “สรุปแล้วเราเข้าใจผิดอาจารย์มาตลอดหรอ?”

     

       หลินมู่พึมพำแผ่วเบาไตร่ถามกับตนเอง พอมาคิดทบทวนซ้ำหลังจากมุมมองของเขาถูกเติมเต็มไปบางส่วน

    มันก็สามารถคลี่คลายปมเงื่อนบางอย่าง เหตุใดเขาจึงได้ชุดไหมเมฆา ทั้งๆที่ไป๋เทียที่เป็นศิษย์สืบทอดยังไม่ได้

     

       ทำไมไป๋หยุนเฉินถึงไม่ว่าตนสักนิดแม้จะรู้ว่าตนมีร่างพิการวรยุทธ์แต่กำเนิด มุมมองของเขาต่อไป๋หยุนเฉินเปลี่ยนไปแบบพลิกตลบ

    หลินมู่ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไป๋หลานหลง ไม่ได้ปองร้ายตน แม้เขาจะมองไป๋หยุนเฉินผิดไป

     

       แต่สำหรับไป๋หลานหลงเขาดูไม่ผิดแน่นอน อีกฝ่ายกำลังปิดเจตนาที่แท้จริงไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

    ตอนอยู่ในขบวนเดินทาง ก็ได้เจอหน้าครั้งหนึ่งอีกฝ่ายคล้ายจะมองตนเป็นปรปักษ์ขึ้นหลายส่วน

     

       เรื่องของไป๋หยุนเฉินคลี่คลายไปบางส่วน แต่เรื่องของไป๋หลานหลงนี้สิ

    หลินมู่ย่นคิ้วเข้าหากัน เขาไม่รู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร กำลังก็ไม่มีเอาเหตุผลไปคุยกับอีกฝ่ายเขาก็จับจุดไม่ได้อีก เส้นตายน่าจะช่วงถึงหุบเขาสำเร็จมาร หรือจะพึ่งไป๋หยงซุนดี? แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าอีกฝ่ายจะช่วยตน

     

       คิดอยู่นานสุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุป หลินมู่ถอนหายใจยาวมีแต่เรื่องต้องให้ใช้สมอง

    คงจะจริงที่ว่ายิ่งแกร่งเรื่องที่ให้คิดยิ่งน้อย ยิ่งอ่อนแอเรื่องที่ให้คิดยิ่งมาก 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×