ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #129 : ตอนที่ 129 กวนเจี้ยนโป

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 66


       ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมขาว ก้าวเดินเข้าไปภายในหมู่บ้านก็พบกับบุคคลหนึ่งทันที “อูเชิน ภรรยาของท่านคงบอกว่า ข้ากำลังมากระมังท่านจึงมายืนรอข้าที่นี้"

    ชายหนุ่มยิ้มแย้มพูดทักทายกับ ชายวัยกลางคนที่ในอดีตกลายเป็นผีดิบครึ่งตัว แต่ตอนนี้จากการรับควันธูปในทุกๆวัน อีกฝ่ายก็กลับมาเป็นปกติ แถมยังดูแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

     

       “ฮ่าฮ่าอ่า เป็นไปตามที่เซียนจวินพูด หากไม่ได้ภรรยาของข้ากล่าวเตือน ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านกำลังจะกลับมา” หลินมู่แย้มยิ้มเดินเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมอูเชิน

    “เซียนจวินครั้งนี้ท่านอยู่ที่นี่นานหรือไม่?” อูเชินถามชายหนุ่มสะพายกระบี่อย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันชาวบ้านโดยรอบ ก็เริ่มทักทายทั้งสองอย่างกระตือรือร้น 

     

       หลินมู่ทักทายชาวบ้านเหล่านั้นกลับอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันมาตอบคำถามของอีกฝ่าย “ไม่ ข้าแค่กลับมาดูอะไรนิดหน่อย และ นำคำพูดที่ฝากมาบอกหัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลาง”

    อูเชินพยักหน้าเล็กน้อย ภายในใจก็ถอนหายใจหลายต่อหลายครั้ง บุญคุณครั้งที่แล้วพวกเขาครอบครัวสกุลอู ยังไม่ได้ตอบแทนใดๆเลย 

     

       แต่การจะรั้งให้เซียนจวินอยู่ต่อก็ไม่ใช่เรื่องดี เดินกันมาอีกสักพักทั้งสองก็มาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เสี่ยวหลางที่กำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าอาวุโสของหมู่บ้าน

    ก็สังเกตเห็นชายหนุ่มเพียงพริบตาเดียว เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “เคารพเซียนจวิน” เหล่าอาวุโสในหมู่บ้านที่เห็นว่า อีกฝ่ายเป็นหลินมู่ก็รีบหันมาทำความเคารพทันที

     

       ชายหนุ่มโบกมือเล็กน้อยก่อนจึงพูดขึ้น “ข้าแค่มาดูอะไรเล็กน้อย อีกไม่นานก็ไปแล้ว” พูดจบชายหนุ่มก็หันหน้าไปมองหัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลาง อีกฝ่ายจอนผมทั้งสองเริ่มกลายเป็นสีขาวเกือบทั้งหมด

    บ่งบอกว่าพักหลังมานี้งานเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มพาหัวหน้าหมู่บ้านไปพูดกันตามลำพัง ไม่นานทั้งสองก็กลับมา เสี่ยวหลางก็มีท่าทีค่อนข้างผ่อนคลาย

     

       ไม่ตึงเครียดเหมือนที่ผ่านๆมา หลังจากรับรู้ว่าลูกสาวของตนยังมีชีวิตอยู่ ทำให้จิตใจของคนเป็นพ่อผ่อนคลายขึ้นมา “เอาหล่ะคงไม่มีอะไรแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ”

    พูดจบชายหนุ่มก็ควบคุมกระบี่ กลายเป็นรุ้งขาวหายไปบนท้องฟ้า พุ่งตรงไปยังสุดขอบตะวันออก หัวหน้าหมู่บ้านเสี่ยวหลางก็ได้แต่ถอนหายใจ คราแรกเขาคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงให้อีกฝ่ายสักหน่อย

     

       แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยู่แถวนี้นาน แต่อีกฝ่ายย้อนกลับมาก็ถือเป็นบุญวาสนาแล้ว “ขอให้เซียนจวิน เดินทางปลอดภัย” พูดจบเขาก็หันหน้าไปทำงานของตนต่อ

    บนท้องนภาสูงเหนือผืนดินหลายร้อยลี้ ร่างในชุดขาวยืนบนใบกระบี่มองไปยัง หุบเขาที่ตนคุ้นเคยมันจุดเริ่มต้น ของการเดินทาง เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพุ่งหายไป

     

       ไปยังเป้าหมายภูเขาสุดขอบตะวันออก ใช้เวลาเดินทางร่วม 2 ว้น ในที่สุดเขาก็พบเป้าหมาย ภูเขาสูงตระหง่านบริเวณชายฝั่งทะเล

    บนยอดสุดมีต้นไม้แปลกประหลาด ราวกับใบของมันคือดวงตะวันนับร้อยดวง หลินมู่ร่อนลงบริเวณตีนเขาก่อนจะค่อยๆเดินขึ้นไป แม้พลังจิตจะค่อนข้างอ่อนล้า

     

       แต่มันก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกตื่นเต้น ที่ตนกำลังจะได้พบกับอาจารย์ ร่างในชุดขาวเดินขึ้นเขาตั้งแต่เช้าจรดเย็น เมื่อขึ้นมาถึง สายลมตะวันออกก็พัดผ่าน

    ร่างใต้ต้นไม้ส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ชุดคลุมดูองอาจโบกสะบัดไปตามสายลม “ในที่สุดเราก็ได้พบกัน ศิษย์ข้า” อีกฝ่ายมีผมยาวสีขาวเปล่งประกายดุจทองคำขาว ดวงตาสีฟ้างดงามเสมือนอัญมณี

     

       “ศิษย์ได้พบอาจารย์แล้ว” หลินมู่คุกเข่าโคกหัวให้อีกฝ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นกระบี่ เคล็ดวิชาหรือการฝึกฝนล้วนแต่มาจากคนผู้นี้ หากไม่มีอีกฝ่ายหลินมู่ก็ไม่พ้นเป็นซากใต้หุบเขาสำเร็จมาร

    กวนเจี้ยนโปแย้มยิ้มเล็กน้อย ก้าวขาเพียงนิดเดียวก็มาโผล่ข้างกายชายหนุ่ม เขาพยุงผู้เป็นศิษย์ขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำมากขนาดนี้ อาจารย์ปู่ของเจ้าและข้าไม่ได้เคร่งเรื่องนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้ไหมเมื่อกี้เจ้าเหมือนอาจารย์ลุงของเจ้ามาก ทั้งการตัดสินใจเดินขึ้นมาจากตีนเขาและเมื่อกี้”

     

        ชายหนุ่มยิ้มแห้งเกาหลังหัว เขาไม่รู้ว่าทำสิ่งใดจึงจะแสดงความเคารพได้อย่างถูกต้อง ที่นึกออกก็มีเพียงคุกเข่าโขกหัวตามวิถีโบราณ

    “เอาหละ มาพูดเรื่องไม่ค่อยสำคัญกันดีกว่า หลินมู่ เจ้าจะรับข้า กวนเจี้ยนโป ว่าที่แกนนำนิกายเจี้ยนเสินเฟิง เป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการหรือไม่!?” พายุจิตกระบี่ระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างมายานั้น

     

        พายุอันคมกริบพุ่งสูงเสียดฟ้า จนม่านป้องกันที่มองไม่เห็นยังต้องแตกร้าว หลิวเอ๋อร์ที่อยู่บนต้นหลิวแสดงสีหน้าแตกตื่น “บัดซบ!! เจ้าจะรับศิษย์เจ้าแบบดีๆ ปกติๆ ไม่ได้รึไง!? ไหนบอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดม่านไง!!?”

    นางสบถอย่างหยาบคายควบคุม ร่างต้นหลิววิญญาณให้เปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ ม่านป้องกันเริ่มกลับมาสมานตัวอีกครั้ง นางใช้ฝ่ามือปาดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมถอนหายใจ

     

       ท่ามกลางคลื่นมหาสมุทรกระบี่อันไร้สิ้นสุด ร่างของชายหนุ่มยืนตรงดุจเสาค้ำฟ้า ไม่โอนเอนแม้จะอยู่ท่ามกลางคมกระบี่อันไร้สิ้นสุด เพียงหนึ่งในนั้นโจมตีออกไปส่งๆ ก็สามารถแหวกทะเลเปิดฟ้าได้อย่างง่ายดาย

    หลินมู่คุกเข่าลงข้างหนึ่งป้องมือดวงตามุ่งมั่น “ผู้น้อยหลินมู่ ได้โปรดรับผู้น้อยเป็นศิษย์ด้วย” เมื่อสิ้นเสียงกวนเจี้ยนโป ก็นวดคลึงคิ้วของตนอย่างห้ามไม่ได้ “ทำไม ข้าจึงคิดว่าเจ้าเป็นอาจารย์ลุงของเจ้ากันนะ”

     

        เมื่อได้ยินอาจารย์ของตนพูดติดตลก ชายหนุ่มก็ได้แต่ขำแห้ง “บางทีข้ากับอาจารย์ลุง อาจมีนิสัยที่คล้ายกันก็เป็นได้” กวนเจี้ยนโปมุมปากกระตุก 

    “เอาตามตรงอาจารย์ลุงของเจ้า มีนิสัยมุทะลุไม่รอบขอบ ชอบทำอะไรบุ่มบ่าม ให้พูดตามตรง นิสัยเจ้ากับอาจารย์ลุงของเจ้าไม่คล้ายกันเลย แต่เรื่องการแสดงความเคารพนี้ เหมือนกันจนเหมือนลอกพิมพ์กันมา”

     

       หลินมู่พยักหน้างึกๆ คล้ายไก่จิกข้าวสาร “เอาหล่ะ เรื่องไม่สำคัญก็จบๆไปแล้ว ศิษย์ข้า เจ้ามีเรื่องสงสัยที่จะถามข้าใช่หรือไม่ ไหนลองว่ามาสิ”

    กวนเจี้ยนโปสะบัดแขนเสื้อของตน หายตัวไปนั่งลงบนกิ่งไม้มองไปยังพระจันทร์ ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า พร้อมตบลงบนกิ่งไม้ข้างๆเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่ม ขึ้นมานั่งคุยกันบนนี้

     

        ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ พร้อมถามคำถามที่ตนสงสัย “ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรข้าจึงจะทะลวงปฐพีที่ 1 เข้าสู่ ปฐพีที่ 2” เมื่อมาถึงเขาก็เปิดคำถามที่ตนสงสัยทันที

    กวนเจี้ยนโปที่ได้ยินคำถาม ก็แย้มยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูดขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องรีบร้อน การทะลวงตอนนี้ก็ไม่ต่างออกจากซี่โครงไก่ เจ้าต้องรอเวลาจนกว่าจิตของเจ้าจะฝึกฝนเต็มที่ หากทนไม่ได้ข้าก็ไม่ห้าม”

     

       พูดจบผู้เป็นอาจารย์ก็โบกมือใช้จิตกระบี่ ควบคุมปราณฟ้าดินให้ควบแน่นเป็นภาพมายา “นี้คือห้วงจิต การจะทำให้ผู้ฝึกตน ปฐพีที่ 1 ทะลวงขอบเขตกลายเป็น ปฐพีที่ 2 ก็แสนง่ายดาย ใช้จิตของเจ้าทะลวงออกมาจากห้วงจิต เพื่อเชื่อมต่อกับฟ้าดิน แต่วิธีการของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนทะลวงตอนมีจิตสิบเส้น บางคนเป็นร้อย หรือ เส้นเดียวก็มี”

    กวนเจี้ยนโปบิดข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ “และยังมีวิธีการทะลวงหลายหลาย บางทางเหมาะกับเจ้า แต่ไม่เหมาะกับข้า บางเส้นทางเหมาะกับข้าแต่ไม่เหมาะกับเจ้า หรือ อาจมีมีหนึ่งเส้นทางที่เหมาะกับคนทั่วหล้า แต่ข้ากับเจ้าไม่เหมาะกับมัน นี้คือการเชื่อมจิตสู่ฟ้าดิน หลอมจิตให้รับรู้ฟ้าดินเป็นส่วนหนึ่ง ในส่วนเล็กๆของพิภพ แต่ละคนมีทางเป็นของตนเอง เจ้าต้องค่อยๆค้นหาทางที่เหมาะกับเจ้า เพื่อได้รับผลประโยชน์มากที่สุด”

     

       หลินมู่ย่อยข้อมูลอย่างเชื่องช้า ในระหว่างนั้นเองอาจารย์ของเขา ก็สลายภาพมายาพร้อมหันมายิ้มให้ชายหนุ่ม “หลินมู่ศิษย์ข้า ในเมื่อเจ้าลืมตาง้างกระบี่ แล้วเหตุใดจึงไม่ออกกระบี่”

    ชายหนุ่มแสดงสีหน้าว่างเปล่า ภายในหัวประมวลผลถี่ยิบ พยายามหาคำตอบว่าอาจารย์กำลังจะสื่ออะไร “ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ความหมายก็ตรงตัว เจ้าสำเร็จเวทย์กระบี่ขั้นสองแล้ว เหตุใดจึงไม่ออกกระบี่ของเจ้า” หลินมู่ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปอีก ในตำราไม่เห็นมีบอกถึงกระบวนท่าใดๆเลยนิ แล้วเขาสำเร็จขั้นสองตอนไหน?

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×