ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 12 ปณิธาน

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 65


       ตกดึกขบวนเดินทางไกลของตระกูลไป๋ก็หยุดเดินทาง พวกเขาตั้งแคมป์พักแรมและเริ่มหุงหาอาหารเย็นกัน

    หลินมู่ที่ออกมาเดินเล่นสูดอากาศยามค่ำคืน พร้อมกับไป๋หยงซุนที่ตามติดเป็นขนมตังเมเช่นเคย

     

       เขาเองก็ปลงแล้วหล่ะ ยังไงก็หนีไม่รอดขอดื่มด่ำกับบรรยากาศหน่อยเถอะ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วว่า

    เงื่อนตายที่กำลังเผชิญอยู่จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหรือจะจบลงด้วยเคราะห์ร้ายกันแน่ หวังแค่ให้ฟ้าดินปราณี

     

       ในปัจจุบันหลินมู่นั้นวางหมากไม่ลง ไม่กล้าตัดสินใจใดๆผลีผลามอีกเหมือนตอนไปพบไป๋หยุนเฉิน

    เขาไม่ได้แส่หาที่ตายแต่เขาเสี่ยงเดินพันมากเกินไป จากการกระทำในครั้งนั้นราวกับหลบหลุมพลาดตกบ่อ 

     

       แถมยังเป็นบ่อที่ใหญ่มากไม่สามารถปีนไปได้ด้วยตนเอง ต้องหวังความปราณีจากอีกฝ่ายให้ปล่อยตนไป

    เขาจึงได้แต่คิดและสงสัย ว่าหากตนเลือกทิศทางที่ต่างไปผลจะต่างจากนี้มากไหม?

     

       ราวกับนี้เป็นทางสายยาวไร้สิ้นสุด แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นทางตันที่ไม่อาจไปต่อ ยังมีไป๋หลานหลงที่เขาค่อนข้างระแวงพอสมควร

    มีบิดาเช่นนี้ย่อมมีบุตรเช่นเดียวกัน คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะจ้องเล่นงานตนอยู่บ้างแล้ว ซึ่งหลินมู่หารู้ไม่ว่าตัวของไป๋หลานหลงไม่ได้มีใจคิดจะเล่นงานตนเลยแม้แต่น้อย

     

       เพียงแค่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่านั้น แต่พอมารดาของเขายืมดาบสังหารคน เป่าหูผู้เป็นบุตรชายเขาจึงเกิดใจคิดสังหารตนขึ้นมา

    การคาดเดาของหลินมู่ในสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างแม่นใช้ได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาคาดการณ์และสรุปผิดไปหลายจุด

     

       และมีหลายจุดที่เขามองไม่ถี่ถ้วน เช่นความหวังดีของไป๋หยุนเฉิน หลินมู่ก็ด่วนสรุปว่าอีกฝ่ายมีอะไรแอบแฝงอาจเป็นเรื่องร้ายที่กำลังรอตนอยู่ก็ได้

    กลายเป็นว่าไป๋หยุนเฉินที่มีเจตนาดีกลายเป็นเครื่องในลาไปแล้ว ไม่เพียงหลินมู่ไม่อาจคิดถึงจุดนั้นเขายังคิดว่าชายชราชุดคลุมเมฆสีครามเจตนาร้ายกับตนอีก

     

       ยิ่งคิดเหมือนหลินมู่ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าไป๋หยุนเฉินอาจมีเจตนาดี

    แต่อีกฝ่ายจะมีเจตนาดีกับเขาไปทำไม? ไม่มีสาเหตุหรือเหตุผลที่อีกฝ่ายต้องทำดีกับตน ความคิดนี้จึงถูกปัดตกไป

     

       แม้เขาจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้นัก แต่ที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ในตอนนี้คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก 

    สำหรับตอนนี้ไป๋หยุนเฉินคือปลาใหญ่ที่หลินมู่ต่อกรใดๆไม่ได้ ตัวหลินมู่เองก็ไม่ต่างอะไรจากปลาเล็กที่อ่อนแอ

     

       ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด คิดไปทางไหนก็มืดแปดด้าน 

    บางทีนะบางทีเขาอาจจะมองโลกแง่ลบเกินไปในบางจุด แต่มองโลกแง่บวกในตอนนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเท่าไหร่นัก

     

       ปล่อยความคิดฟุ้งซ่านตามสัญชาตญาณสักพัก ชายหนุ่มก็ปรับทัศนคติมองโลกกลางๆ ไม่บวกหรือลบ

    เพียงมองในมุมมองของคนกลาง เขาหวนคิดไปยังเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นอีกครั้ง มันใช่การขุดหลุมฝังตนเองหรือเปล่า

     

       หรือมีบางอย่างที่เขาไม่รู้แอบแฝงอยู่ จะเรื่องอะไรก็ช่างมันปะไรก่อน พับเก็บเรื่องที่คิดไปก็ไม่ช่วยอะไรนั้นไว้ก่อน

    ตอนนี้เขาต้องโฟกัสกับปัจจุบันไม่ใช่อดีตหรืออนาคต คิดได้เช่นนั้นจิตใจของหลินมู่ก็โปร่งโล่งขึ้นมาหลายส่วน

     

       อารมณ์ที่มืดมนค่อนไปทางทุกข์ใจในหลายวันนี้ ค่อยๆดีขึ้นดีขึ้นเรื่อยๆ

    ในเมื่อเขายังทำอะไรไม่ได้คงต้องได้แต่ ทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่อนคลายจิตใจ

     

       ในเมื่อมาอยู่ในยุทธจักรควรทำสิ่งใด? ก็ฝึกวรยุทธ์สิ! แม้เขาไม่อาจได้รับผลประโยชน์จากการฝึกแต่นั้นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้

    จะให้ผดุงยุติธรรมปราบมารช่วยสาวงามเขาคงทำไม่ได้ ทำได้แค่ฝึกฝนแบบพื้นฐานเพื่อบรรเทาความตึงเครียด

     

       เรื่องน่าปวดหัวและไร้ประโยชน์พวกนั้นโยนทิ้งไปได้เลย เขาจะไม่คิดมันอีกจนกว่าเขาจะมีมุมมองที่กว้างกว่านี้ หรือเขาแข็งแกร่งกว่านี้จึงกลับมามองเรื่องนี้อีกครั้ง

    ร่างของชายหนุ่มภายใต้ม่านราตรีที่อันแน่นไปด้วยดวงดาวละลานตา บนฟ้ามีดวงจันทร์สามดวงลอยเด่นสง่าบนฝากฟ้า

     

       ปล่อยแสงสีเงินลงมากระทบร่างของชายหนุ่ม ที่ฝึกวรยุทธ์แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์

    แต่นี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ภายใต้การฝึกฝนภายใต้ม่านราตรี ไป๋หยงซุนที่ยืนอยู่ห่างๆมองภาพนี้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า

     

       “หากบอกว่าเจ้ากับนายน้อยคือคนเดียวกัน ข้าก็ไม่คิดจะปริปากแย้งเลยสักนิด” มือดาบขี้เหล้าแห่งตระกูลไป๋พึมพำพร้อมตัดพ้อออกมา

    ยิ่งนานไปอีกฝ่ายก็ยิ่งคล้าย ราวกับเป็นคนเดียวกันแต่ก็เป็นคนละคน เขาต้องคอยเตือนตนเองว่านั้นคือหลินมู่

     

       ไม่ใช่ไป๋มู่นายน้อยที่ตนรู้จัก ไป๋หยงซุนจิบเหล้าไปพลางมองภาพที่ชายหนุ่มฝึกฝนวรยุทธ์หมัดใต้แสงจันทร์ไปพลาง

    แม้จะธรรมดาไม่มีพลังปราณพัวพัน แต่มันกลับทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเสียอีก

     

       ราวกับทุกหมัดประสานไปกับธรรมชาติ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน แสดงปณิธานอันแรงกล้าออกมา 

    ทุกครั้งที่ปล่อยออกไปปณิธานยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะต้องรอด! ฉันจะกลับไปกลับไปให้ได้!!

     

       แม้จะไร้ซึ่งตบะลมปราณ แต่ทุกหมัดสามารถสร้างคลื่นสายลมหมุนเวียน คล้ายเกราะกำบังกาย

    ไป๋หยงซุนที่นั่งมองอยู่ห่างๆถึงกับอ้าปากค้าง ขนาดน้ำเต้าก็ยังหลุดมือไปแล้ว

     

       “ตัวอ่อนยุทธ์…..เป็นตัวอ่อนยุทธ์แท้จริงๆ!!" สวรรค์นี่หลินมู่คือตัวอ่อนยุทธ์แท้จริงๆ แต่ฟ้าดินกลับตลกร้าย

    สาปร่างกายของเขาให้พิการวรยุทธ์แต่กำเนิด หลินมู่ออกหมัดต่อไปโดยไม่สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย

     

       ออกหมัดหนึ่งครั้งก็คือการขัดเกลาจิตใจของตนเอง และมุ่งมั่นกับปณิธานที่ไม่มีวันสั่นคลอน

    ไม่นานนักก็มีคนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ไป๋หยางที่ยืนดูอยู่ไม่ห้างก็ตกตะลึงจนสถานะพลางตัวหลุดออกอัตโนมัติ

     

       แม้จะอยู่ค่อนข้างห่างแต่เขาสัมผัสได้ ปณิธานหมัดอันบริสุทธิ์ราวกับพายุลูกใหญ่พัดผ่านร่างของเขา

    แม้สิ่งที่หลินมู่แสดงอยู่ก็คือวิชาหมัดพื้นฐานของตระกูลไป๋ แต่ปณิธานที่หมุนวนรอบร่างกายคล้ายสายลมนั้นไม่อาจดูแคลนได้

     

       ต่อมาคือไป๋อานเขามาถึงตรงนี้ด้วยความรวดเร็ว มองไปยังหลินมู่ที่แสดงวิชาหมัดพื้นฐานที่ราวกับกลมกลืนไปกับผืนฟ้า

    หนึ่งหมัดราวกับสามารถสอยดวงดาว อีกหนึ่งหมัดราวกับจะชกให้มหามรรคทั้งใต้หล้าสั่นคลอน

     

       เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และมั่นคง แมัจะไม่มีลมปราณหนุนเสริมแต่ทุกการออกหมันในยามนี้

    หลินมู่ก็มากพอจะต่อยให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตเยี่ยมยุทธ์เต็มตัว ตกตายไปอย่างง่ายดาย

     

       ชายหนุ่มชุดคลุมเทาใต้แสงจันทร์ ออกหมัดโดยไม่สนใจรอบข้างเลย สายลมหมุนวนอยู่ภายในแขนเสื้อ

    โบกสะบัดราวกับเขาพยายามจะฉีกม่านฟ้า ยิ่งนานเขาการออกหมัดก็ยิ่งหนักหน่วงและทรงพลัง

     

       และทุกการออกหมัดก็ยากลำบากมากขึ้นมากขึ้น หากตอนแรกหลินมู่ในสภาวะนี้สามารถต่อยเยี่ยมยุทธ์ให้ตายอย่างง่ายดาย

    ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธ์หรือยอดยุทธ์ก็ไม่อาจรับหมัดของเขาได้ สายลมราวกับพายุลูกใหญ่หมุนวนอยู่รอบกายของเขา

     

       มันคือปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์แม้เขาไม่อาจฝึกฝน แต่ปราณฟ้าดินก็ไม่ได้รังเกียจในตัวเขา

    พวกมันยิ่งเข้ามาพัวพันมากขึ้นมากขึ้น ตอนนี้แรงกดดันของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากยอดยุทธ์คนหนึ่ง

     

       “ไม่ดีแล้ว! ร่างกายของเขารับไม่ไหว!!” ไป๋หยงซุนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันที หลินมู่ไม่มีตบะวรยุทธ์

    ร่างกายของเขาจึงไม่อาจแบกรับพลังขนาดนั้นได้ นี้เขาฝึกหมัดมาแค่สามชั่วโมงก็เกือบจะแตะขอบเขตเจ้ายุทธ์แล้ว พูดได้แค่ว่า หลินมู่เป็นคนที่สวรรค์รักใคร่ ขณะเดียวกัน สวรรค์ก็รังเกียจเขาเช่นกัน

     

       ร่างกายของคนธรรมดาไม่อาจแบกรับพลังมากขนาดนั้นไหว หากเขายังฝึกต่อไปและก้าวขาเข้าสู่เจ้ายุทธ์

    นั้นก็จะหมายถึงความตายของเขา ไป๋หยงซุนพุ่งไปหาหลินมู่อย่างรวดเร็ว

     

       หวังจะเข้าไปขัดจังหวะของการออกหมัด ไม่งั้นถ้าปล่อยต่อไปอีกนิดหลินมู่อาจจะตายอยู่ที่นี่ 

    หลินมู่ที่จมปลักอยู่กับการออกหมัดไม่ได้สนเสียงร้องเดือนแม้แต่น้อย ในหัวคิดแต่ว่าหมัดต่อไปและหมัดต่อไป

     

       ในขณะที่เขากำลังง้างแขนเพื่อจะต้อยหมัดต่อไปอยู่นั้น ไป๋หยงซุนก็เข้ามาคว้าข้อมือพร้อมตะโกนใส่เขาหน้าดำหน้าแดง

    “หยุดเดี๋ยวนี้หลินมู่!! เจ้าอยากตายรึไง!?” สิ้นเสียงตะโกนหลินมู่ก็ได้สติ เขามองหน้าไป๋หยงซุนที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดด้วยความงุนงง

     

       “มันเกิดอะไรขึ้น…” เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น!? เจ้าตกอยู่ในภวังค์และออกหมัดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!! ด้วยคุณสมบัติตัวอ่อนยุทธ์แท้และเจ้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดา หมายความว่าเจ้ากำลังจะฆ่าตัวตาย!!”

    ฆ่าตัวตาย? ทำไม? เขาไปฆ่าตัวตายตอนไหนเขาแค่ออกหมัดไม่ใช่หรือ? เหมือนไป๋หยงซุนจะสังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของหลินมู่เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

     

       “ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ..” ไป๋หยงซุนพูดอย่างถอดถอนใจ หลินมู่ที่ได้ยินก็ก้มลงมองตนเองก็ต้องถลึงตากว้าง

    ตอนนี้ชุดคลุมสีเทาของเขากระพือเองแม้ไม่มีสายลม แถมรอบตัวยังราวกับล้อมรอบไปถ้วยพายุขนาดเล็ก

     

       “เกิดอะไรขึ้น??” หลินมู่มองมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาของตนเอง เขาไม่อยากจะเชื่อนี้มันเกิดบ้าไรขึ้น!?

    ไป๋หยงซุนถอนหายใจยาวก่อนจะอธิบาย “ตอนเจ้าฝึกหมัดเจ้าตกอยู่ในภวังค์ ภวังค์นั้นดึงปณิธานอันแรงกล้าของเจ้าเป็นกำลัง ยิ่งออกหมัดยิ่งแกร่งขึ้น นี้คือคุณสมบัติของตัวอ่อนยุทธ์แท้ น่าเสียดายเจ้าไม่อาจฝึกฝนได้…”

     

       ไป๋หยงซุนพูดอย่างเสียดายหากหลินมู่สามารถฝึกฝนได้เสมือนคนทั่วไป ป่านนี้เขาอาจจะกลายเป็นราชายุทธ์แล้ว

    แต่สวรรค์ช่างเล่นตลก ให้พรสวรรค์ฟ้าประทานแก่เขาแต่กลับไม่อนุญาตให้เขาฝึกฝน

     

        หลินมู่แสดงสีหน้าตกใจ ตัวอ่อนยุทธ์แท้!? ไม่ใช่นั้นคือข้ออ้างของไป๋หยุนเฉินหรือ? แล้วทำไมตนถึงมีมันจริงๆละ!?

    ไม่นานนักกระแสลมที่หมุนวนรอบตัวของชายหนุ่มก็เริ่มสลายไป พร้อมกับขอบเขตลดลงมาจากครึ่งก้าวเจ้ายุทธ์ลงมาเลื่อยๆจนไร้ตบะไปในที่สุด

     

       พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หายไปจนหมดสิ้น ร่างของหลินมู่อ่อนยวบเกือบล้มหน้าคว่ำหากไม่ได้ไป๋หยงซุนพยุงไว้ คงได้คุยกับต้นหญ้าแถวนั้นแล้ว

    แม้เขาจะดึงปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่อาจกลั่นเป็นลมปราณเมื่อผ่านไปสักพัก 

     

       ปราณฟ้าดินเหล่านั้นก็ไหลออกจากร่างกาย พร้อมพละกำลังของเขาที่แห้งขอด

    ไป๋หยงซุนแบกหลินมู่กลับไปยังรถม้า ก่อนจะกลับมาพูดคุยกับไป๋หยางและไป๋อาน

     

       หลินมู่ที่นอนนิ่งไม่มีแรงแม้จะขยับนิ้วมือ ได้แต่มองหลังคารถม้าพร้อมทั้งตั้งคำถาม

    ว่าเหตุใดตนถึงมีพรสวรรค์เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่กัน ร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนเพลียเป็นอย่างมาก

     

       ไม่ใช่แค่นั้นยังปวดระบมไปทั้งร่าง ราวกับมีค้อนเหล็กคอยทุบร่างกายตนอยู่ตลอดเวลา

    ไม่นานนักเขาก็พลอยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ทิ้งความสงสัยที่ยังไม่ไตร่ตรองไว้ในหัว

     

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×