คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 12 ปณิธาน
ตกดึกขบวนเดินทางไกลของตระกูลไป๋ก็หยุดเดินทาง พวกเขาตั้งแคมป์พักแรมและเริ่มหุงหาอาหารเย็นกัน
หลินมู่ที่ออกมาเดินเล่นสูดอากาศยามค่ำคืน พร้อมกับไป๋หยงซุนที่ตามติดเป็นขนมตังเมเช่นเคย
เขาเองก็ปลงแล้วหล่ะ ยังไงก็หนีไม่รอดขอดื่มด่ำกับบรรยากาศหน่อยเถอะ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วว่า
เงื่อนตายที่กำลังเผชิญอยู่จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหรือจะจบลงด้วยเคราะห์ร้ายกันแน่ หวังแค่ให้ฟ้าดินปราณี
ในปัจจุบันหลินมู่นั้นวางหมากไม่ลง ไม่กล้าตัดสินใจใดๆผลีผลามอีกเหมือนตอนไปพบไป๋หยุนเฉิน
เขาไม่ได้แส่หาที่ตายแต่เขาเสี่ยงเดินพันมากเกินไป จากการกระทำในครั้งนั้นราวกับหลบหลุมพลาดตกบ่อ
แถมยังเป็นบ่อที่ใหญ่มากไม่สามารถปีนไปได้ด้วยตนเอง ต้องหวังความปราณีจากอีกฝ่ายให้ปล่อยตนไป
เขาจึงได้แต่คิดและสงสัย ว่าหากตนเลือกทิศทางที่ต่างไปผลจะต่างจากนี้มากไหม?
ราวกับนี้เป็นทางสายยาวไร้สิ้นสุด แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นทางตันที่ไม่อาจไปต่อ ยังมีไป๋หลานหลงที่เขาค่อนข้างระแวงพอสมควร
มีบิดาเช่นนี้ย่อมมีบุตรเช่นเดียวกัน คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะจ้องเล่นงานตนอยู่บ้างแล้ว ซึ่งหลินมู่หารู้ไม่ว่าตัวของไป๋หลานหลงไม่ได้มีใจคิดจะเล่นงานตนเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่านั้น แต่พอมารดาของเขายืมดาบสังหารคน เป่าหูผู้เป็นบุตรชายเขาจึงเกิดใจคิดสังหารตนขึ้นมา
การคาดเดาของหลินมู่ในสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างแม่นใช้ได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาคาดการณ์และสรุปผิดไปหลายจุด
และมีหลายจุดที่เขามองไม่ถี่ถ้วน เช่นความหวังดีของไป๋หยุนเฉิน หลินมู่ก็ด่วนสรุปว่าอีกฝ่ายมีอะไรแอบแฝงอาจเป็นเรื่องร้ายที่กำลังรอตนอยู่ก็ได้
กลายเป็นว่าไป๋หยุนเฉินที่มีเจตนาดีกลายเป็นเครื่องในลาไปแล้ว ไม่เพียงหลินมู่ไม่อาจคิดถึงจุดนั้นเขายังคิดว่าชายชราชุดคลุมเมฆสีครามเจตนาร้ายกับตนอีก
ยิ่งคิดเหมือนหลินมู่ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าไป๋หยุนเฉินอาจมีเจตนาดี
แต่อีกฝ่ายจะมีเจตนาดีกับเขาไปทำไม? ไม่มีสาเหตุหรือเหตุผลที่อีกฝ่ายต้องทำดีกับตน ความคิดนี้จึงถูกปัดตกไป
แม้เขาจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้นัก แต่ที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ในตอนนี้คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
สำหรับตอนนี้ไป๋หยุนเฉินคือปลาใหญ่ที่หลินมู่ต่อกรใดๆไม่ได้ ตัวหลินมู่เองก็ไม่ต่างอะไรจากปลาเล็กที่อ่อนแอ
ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด คิดไปทางไหนก็มืดแปดด้าน
บางทีนะบางทีเขาอาจจะมองโลกแง่ลบเกินไปในบางจุด แต่มองโลกแง่บวกในตอนนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเท่าไหร่นัก
ปล่อยความคิดฟุ้งซ่านตามสัญชาตญาณสักพัก ชายหนุ่มก็ปรับทัศนคติมองโลกกลางๆ ไม่บวกหรือลบ
เพียงมองในมุมมองของคนกลาง เขาหวนคิดไปยังเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นอีกครั้ง มันใช่การขุดหลุมฝังตนเองหรือเปล่า
หรือมีบางอย่างที่เขาไม่รู้แอบแฝงอยู่ จะเรื่องอะไรก็ช่างมันปะไรก่อน พับเก็บเรื่องที่คิดไปก็ไม่ช่วยอะไรนั้นไว้ก่อน
ตอนนี้เขาต้องโฟกัสกับปัจจุบันไม่ใช่อดีตหรืออนาคต คิดได้เช่นนั้นจิตใจของหลินมู่ก็โปร่งโล่งขึ้นมาหลายส่วน
อารมณ์ที่มืดมนค่อนไปทางทุกข์ใจในหลายวันนี้ ค่อยๆดีขึ้นดีขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อเขายังทำอะไรไม่ได้คงต้องได้แต่ ทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
ในเมื่อมาอยู่ในยุทธจักรควรทำสิ่งใด? ก็ฝึกวรยุทธ์สิ! แม้เขาไม่อาจได้รับผลประโยชน์จากการฝึกแต่นั้นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้
จะให้ผดุงยุติธรรมปราบมารช่วยสาวงามเขาคงทำไม่ได้ ทำได้แค่ฝึกฝนแบบพื้นฐานเพื่อบรรเทาความตึงเครียด
เรื่องน่าปวดหัวและไร้ประโยชน์พวกนั้นโยนทิ้งไปได้เลย เขาจะไม่คิดมันอีกจนกว่าเขาจะมีมุมมองที่กว้างกว่านี้ หรือเขาแข็งแกร่งกว่านี้จึงกลับมามองเรื่องนี้อีกครั้ง
ร่างของชายหนุ่มภายใต้ม่านราตรีที่อันแน่นไปด้วยดวงดาวละลานตา บนฟ้ามีดวงจันทร์สามดวงลอยเด่นสง่าบนฝากฟ้า
ปล่อยแสงสีเงินลงมากระทบร่างของชายหนุ่ม ที่ฝึกวรยุทธ์แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไร้ประโยชน์
แต่นี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ภายใต้การฝึกฝนภายใต้ม่านราตรี ไป๋หยงซุนที่ยืนอยู่ห่างๆมองภาพนี้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“หากบอกว่าเจ้ากับนายน้อยคือคนเดียวกัน ข้าก็ไม่คิดจะปริปากแย้งเลยสักนิด” มือดาบขี้เหล้าแห่งตระกูลไป๋พึมพำพร้อมตัดพ้อออกมา
ยิ่งนานไปอีกฝ่ายก็ยิ่งคล้าย ราวกับเป็นคนเดียวกันแต่ก็เป็นคนละคน เขาต้องคอยเตือนตนเองว่านั้นคือหลินมู่
ไม่ใช่ไป๋มู่นายน้อยที่ตนรู้จัก ไป๋หยงซุนจิบเหล้าไปพลางมองภาพที่ชายหนุ่มฝึกฝนวรยุทธ์หมัดใต้แสงจันทร์ไปพลาง
แม้จะธรรมดาไม่มีพลังปราณพัวพัน แต่มันกลับทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเสียอีก
ราวกับทุกหมัดประสานไปกับธรรมชาติ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน แสดงปณิธานอันแรงกล้าออกมา
ทุกครั้งที่ปล่อยออกไปปณิธานยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะต้องรอด! ฉันจะกลับไปกลับไปให้ได้!!
แม้จะไร้ซึ่งตบะลมปราณ แต่ทุกหมัดสามารถสร้างคลื่นสายลมหมุนเวียน คล้ายเกราะกำบังกาย
ไป๋หยงซุนที่นั่งมองอยู่ห่างๆถึงกับอ้าปากค้าง ขนาดน้ำเต้าก็ยังหลุดมือไปแล้ว
“ตัวอ่อนยุทธ์…..เป็นตัวอ่อนยุทธ์แท้จริงๆ!!" สวรรค์นี่หลินมู่คือตัวอ่อนยุทธ์แท้จริงๆ แต่ฟ้าดินกลับตลกร้าย
สาปร่างกายของเขาให้พิการวรยุทธ์แต่กำเนิด หลินมู่ออกหมัดต่อไปโดยไม่สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย
ออกหมัดหนึ่งครั้งก็คือการขัดเกลาจิตใจของตนเอง และมุ่งมั่นกับปณิธานที่ไม่มีวันสั่นคลอน
ไม่นานนักก็มีคนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ไป๋หยางที่ยืนดูอยู่ไม่ห้างก็ตกตะลึงจนสถานะพลางตัวหลุดออกอัตโนมัติ
แม้จะอยู่ค่อนข้างห่างแต่เขาสัมผัสได้ ปณิธานหมัดอันบริสุทธิ์ราวกับพายุลูกใหญ่พัดผ่านร่างของเขา
แม้สิ่งที่หลินมู่แสดงอยู่ก็คือวิชาหมัดพื้นฐานของตระกูลไป๋ แต่ปณิธานที่หมุนวนรอบร่างกายคล้ายสายลมนั้นไม่อาจดูแคลนได้
ต่อมาคือไป๋อานเขามาถึงตรงนี้ด้วยความรวดเร็ว มองไปยังหลินมู่ที่แสดงวิชาหมัดพื้นฐานที่ราวกับกลมกลืนไปกับผืนฟ้า
หนึ่งหมัดราวกับสามารถสอยดวงดาว อีกหนึ่งหมัดราวกับจะชกให้มหามรรคทั้งใต้หล้าสั่นคลอน
เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และมั่นคง แมัจะไม่มีลมปราณหนุนเสริมแต่ทุกการออกหมันในยามนี้
หลินมู่ก็มากพอจะต่อยให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตเยี่ยมยุทธ์เต็มตัว ตกตายไปอย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มชุดคลุมเทาใต้แสงจันทร์ ออกหมัดโดยไม่สนใจรอบข้างเลย สายลมหมุนวนอยู่ภายในแขนเสื้อ
โบกสะบัดราวกับเขาพยายามจะฉีกม่านฟ้า ยิ่งนานเขาการออกหมัดก็ยิ่งหนักหน่วงและทรงพลัง
และทุกการออกหมัดก็ยากลำบากมากขึ้นมากขึ้น หากตอนแรกหลินมู่ในสภาวะนี้สามารถต่อยเยี่ยมยุทธ์ให้ตายอย่างง่ายดาย
ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธ์หรือยอดยุทธ์ก็ไม่อาจรับหมัดของเขาได้ สายลมราวกับพายุลูกใหญ่หมุนวนอยู่รอบกายของเขา
มันคือปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์แม้เขาไม่อาจฝึกฝน แต่ปราณฟ้าดินก็ไม่ได้รังเกียจในตัวเขา
พวกมันยิ่งเข้ามาพัวพันมากขึ้นมากขึ้น ตอนนี้แรงกดดันของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากยอดยุทธ์คนหนึ่ง
“ไม่ดีแล้ว! ร่างกายของเขารับไม่ไหว!!” ไป๋หยงซุนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันที หลินมู่ไม่มีตบะวรยุทธ์
ร่างกายของเขาจึงไม่อาจแบกรับพลังขนาดนั้นได้ นี้เขาฝึกหมัดมาแค่สามชั่วโมงก็เกือบจะแตะขอบเขตเจ้ายุทธ์แล้ว พูดได้แค่ว่า หลินมู่เป็นคนที่สวรรค์รักใคร่ ขณะเดียวกัน สวรรค์ก็รังเกียจเขาเช่นกัน
ร่างกายของคนธรรมดาไม่อาจแบกรับพลังมากขนาดนั้นไหว หากเขายังฝึกต่อไปและก้าวขาเข้าสู่เจ้ายุทธ์
นั้นก็จะหมายถึงความตายของเขา ไป๋หยงซุนพุ่งไปหาหลินมู่อย่างรวดเร็ว
หวังจะเข้าไปขัดจังหวะของการออกหมัด ไม่งั้นถ้าปล่อยต่อไปอีกนิดหลินมู่อาจจะตายอยู่ที่นี่
หลินมู่ที่จมปลักอยู่กับการออกหมัดไม่ได้สนเสียงร้องเดือนแม้แต่น้อย ในหัวคิดแต่ว่าหมัดต่อไปและหมัดต่อไป
ในขณะที่เขากำลังง้างแขนเพื่อจะต้อยหมัดต่อไปอยู่นั้น ไป๋หยงซุนก็เข้ามาคว้าข้อมือพร้อมตะโกนใส่เขาหน้าดำหน้าแดง
“หยุดเดี๋ยวนี้หลินมู่!! เจ้าอยากตายรึไง!?” สิ้นเสียงตะโกนหลินมู่ก็ได้สติ เขามองหน้าไป๋หยงซุนที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดด้วยความงุนงง
“มันเกิดอะไรขึ้น…” เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น!? เจ้าตกอยู่ในภวังค์และออกหมัดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!! ด้วยคุณสมบัติตัวอ่อนยุทธ์แท้และเจ้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดา หมายความว่าเจ้ากำลังจะฆ่าตัวตาย!!”
ฆ่าตัวตาย? ทำไม? เขาไปฆ่าตัวตายตอนไหนเขาแค่ออกหมัดไม่ใช่หรือ? เหมือนไป๋หยงซุนจะสังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของหลินมู่เขาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ..” ไป๋หยงซุนพูดอย่างถอดถอนใจ หลินมู่ที่ได้ยินก็ก้มลงมองตนเองก็ต้องถลึงตากว้าง
ตอนนี้ชุดคลุมสีเทาของเขากระพือเองแม้ไม่มีสายลม แถมรอบตัวยังราวกับล้อมรอบไปถ้วยพายุขนาดเล็ก
“เกิดอะไรขึ้น??” หลินมู่มองมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาของตนเอง เขาไม่อยากจะเชื่อนี้มันเกิดบ้าไรขึ้น!?
ไป๋หยงซุนถอนหายใจยาวก่อนจะอธิบาย “ตอนเจ้าฝึกหมัดเจ้าตกอยู่ในภวังค์ ภวังค์นั้นดึงปณิธานอันแรงกล้าของเจ้าเป็นกำลัง ยิ่งออกหมัดยิ่งแกร่งขึ้น นี้คือคุณสมบัติของตัวอ่อนยุทธ์แท้ น่าเสียดายเจ้าไม่อาจฝึกฝนได้…”
ไป๋หยงซุนพูดอย่างเสียดายหากหลินมู่สามารถฝึกฝนได้เสมือนคนทั่วไป ป่านนี้เขาอาจจะกลายเป็นราชายุทธ์แล้ว
แต่สวรรค์ช่างเล่นตลก ให้พรสวรรค์ฟ้าประทานแก่เขาแต่กลับไม่อนุญาตให้เขาฝึกฝน
หลินมู่แสดงสีหน้าตกใจ ตัวอ่อนยุทธ์แท้!? ไม่ใช่นั้นคือข้ออ้างของไป๋หยุนเฉินหรือ? แล้วทำไมตนถึงมีมันจริงๆละ!?
ไม่นานนักกระแสลมที่หมุนวนรอบตัวของชายหนุ่มก็เริ่มสลายไป พร้อมกับขอบเขตลดลงมาจากครึ่งก้าวเจ้ายุทธ์ลงมาเลื่อยๆจนไร้ตบะไปในที่สุด
พร้อมกับเรี่ยวแรงที่หายไปจนหมดสิ้น ร่างของหลินมู่อ่อนยวบเกือบล้มหน้าคว่ำหากไม่ได้ไป๋หยงซุนพยุงไว้ คงได้คุยกับต้นหญ้าแถวนั้นแล้ว
แม้เขาจะดึงปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่อาจกลั่นเป็นลมปราณเมื่อผ่านไปสักพัก
ปราณฟ้าดินเหล่านั้นก็ไหลออกจากร่างกาย พร้อมพละกำลังของเขาที่แห้งขอด
ไป๋หยงซุนแบกหลินมู่กลับไปยังรถม้า ก่อนจะกลับมาพูดคุยกับไป๋หยางและไป๋อาน
หลินมู่ที่นอนนิ่งไม่มีแรงแม้จะขยับนิ้วมือ ได้แต่มองหลังคารถม้าพร้อมทั้งตั้งคำถาม
ว่าเหตุใดตนถึงมีพรสวรรค์เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่กัน ร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่แค่นั้นยังปวดระบมไปทั้งร่าง ราวกับมีค้อนเหล็กคอยทุบร่างกายตนอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนักเขาก็พลอยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ทิ้งความสงสัยที่ยังไม่ไตร่ตรองไว้ในหัว
ความคิดเห็น