ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #112 : ตอนที่ 112 ปรึกษา

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 66


       ระหว่างที่หลินมู่กำลังนวดขมับตนเองอยู่ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ปรึกษาจริงๆจังๆ เรื่องสถานะของดรุณีน้อยเลย

    ทำเอาชายหนุ่มปวดหัวขึ้นอีกหลายส่วน “ไว้ค่อยเข้าไปคุยด้วยล่ะกัน….” พูดจบชายหนุ่มก็ปลดเสื้อนอก พร้อมนำกระบี่ที่ตนสะพายอยู่เกือบตลอดเวลาวางไว้บนโต๊ะ

      

       ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เอามือก่ายหน้าผาก ขบคิดหลายอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ “สุดท้าย เราก็ยังไม่คืบหน้าใดๆ” พูดจบหลินมู่ก็เปลี่ยนไปนั่งบนเบาะรองนั่ง

    ทำสมาธิใช้เคล็ดกำหนดจิตกระบี่ ฝึกฝนขัดเกลาจิตใจของตนเอง ร่างจิตมายาปรากฏขึ้นภายในห้วงจิต รอบข้างเต็มไปด้วยกระบี่โปร่งใส บินไปมาอย่างฉวัดเฉวียนเบิกทาง เปิดฟ้าดินของพวกมันอย่างห้วงจิตแห่งนี้ ให้กว้างขวางขึ้นไปอีก

     

       ใจกลางของห้วงจิตแห่งนี้ คือบางอย่างคล้ายดวงอาทิตย์สองดวง ที่กำลังหมุนวนโคจรกันและกัน ทุกๆชั่วยาม จะมีจิตกระบี่หนึ่งเล่ม บินออกมาเป็นการเติบโตตลอดเวลาของชายหนุ่ม โดยไม่ต้องทำสิ่งใด

    โดยเฉพาะเวลาฝึกฝนอัตราการกำเนิดจิตกระบี่ ยิ่งทวีคูณขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ นับคร่าวๆตอนนี้ก็ 139 เล่ม ที่กำลังบินไปมา ขยับขยายห้วงจิตออกไปอย่างไม่หยุดพัก

     

       ชายหนุ่มมองบางสิ่งที่คล้ายดวงอาทิตย์ด้วยความใคร่รู้ “พวกมันคือสิ่งใดกันแน่…” เขาพึมพำพร้อมขยับร่างจิตมายา เข้าไปใกล้ใจกลางอย่างรวดเร็ว

    เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็พบว่า เจ้าบางสิ่งคล้ายดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีความร้อนใดๆมีเพียงแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้า ขับไล่ความมืดมิดภายในห้วงจิตให้มลายหายไป

     

       “มาแบบนี้ศิษย์พี่คงไม่รู้อะไรแน่ หากรู้คงบอกไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ชายหนุ่มกลับออกมาจากห้วงจิต ค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมเห็นผิงฮวา ที่กำลังยกถาดชาอย่างทุลักทุเล

    ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินไปยกถาดชาด้วยตนเอง “ท่านอาจารย์ ท่านออกจากการทำสมาธิแล้วหรือ?” นางถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ที่แฝงไปด้วยความกระตือรือร้นบางอย่าง

     

       หลินมู่ยิ้มน้อยๆ เขาถูกดรุณีน้อยนางนี้เรียกว่าท่านอาจารย์จนเคยชิน แต่พอมานึกใคร่ควรอย่างละเอียด กลับเป็นฝ่ายนางที่เรียกเขาว่าท่านอาจารย์ โดยที่เขาไม่เคยรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์เลย

    นึกได้เช่นนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ข้าจะไปคุยกับอาจารย์ลุงเจ้าหน่อย รออยู่ที่นี่เดี๋ยวข้ากลับมา” เขาพูดพร้อมลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน

     

       เด็กสาวพยักหน้างึกงัก รอยยิ้มฉาบไว้บนใบหน้ากลมๆของนาง เพียงเห็นก็อยากลองหยิกเล่นสักครั้ง บอกจุดประสงค์ของตนเสร็จ ชายหนุ่มก็สวมเสื้อนอก

    เปิดประตูก้าวออกจากห้องไป พร้อมกระจายขอบเขตการรับรู้ เพื่อค้นหาที่ตั้งของห้องบรรพชน เดินวนเวียนอยู่สักพัก ถามทางกับคนระหว่างทางอีกเล็กน้อย

     

       ในที่สุดเขาก็หยุดอยู่หน้าห้องบรรพชน หลังจากเดินวนเวียนค้นหาอยู่เกือบ 1 ถ้วยชา เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบกับหลัวกงฟานที่หันหลังให้ตน อีกฝ่ายกำลังมองป้ายวิญญาณมากมายบนหิ้ง ที่ตลบอบอวลถ้วยควันธูป

    ไม่รู้ว่าการแสดงสีหน้าของอีกฝ่ายมีสีหน้าเช่นไร แต่แผ่นหลังนั้นช่างดูหมองหม่น โดดเดี่ยวและรู้สึกผิดจากก้นบึ้ง “ศิษย์พี่” หลินมู่พูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ ดึงอีกฝ่ายกลับมาจากอาการเหม่อลอย

     

       หลัวกงฟานที่รู้สึกตัวเพราะมีคนเรียกชื่อของตน ก็หันมายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร ราวกับความหมองหม่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

    “อ้าว ศิษย์น้องเหตุใดจึงมาหาข้าหล่ะ หรือเจ้าทนถูกคนเหล่านั้นเรียกปู่เล็กไม่ไหว เลยคิดจะมาฝากชื่อไว้ในห้องบรรพชนนี้กัน?" หลัวกงฟานกล่าวออกมาอย่างติดตลก จนชายหนุ่มต้องส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ

     

       “ก็ไม่เชิง แต่ข้ามาปรึกษาหารือกับท่าน” หลินมู่กล่าวจุดประสงค์ของตนออกมา ระหว่างเดินตามอีกฝ่ายที่ลอยละล่อง ไปยืนอยู่นอกระเบียงมองดวงตะวัน ที่กำลังจะลับขอบฟ้า

    “แล้วเจ้ามาปรึกษาข้าเรื่องอะไร?” หลัวกงฟานถามออกมาพร้อมเอามือขัดหลัง รอฟังคำอธิบายจากศิษย์น้องของตน หลินมู่เองก็ยืนเอามือกอดอก สอดแขนไว้ในแขนเสื้อมองดวงตะวันพร้อมพูดออกมา

     

       “เรื่องที่ข้าจะมาปรึกษากับท่าน คือเรื่องของดรุณีน้อย…เรื่องของผิงฮวาน้อย ตามจริงข้าควรปรึกษากับท่านเรื่องนี้ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่หาเวลาไม่ได้เลย อย่างที่ท่านรู้นางมักเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ โดยที่ข้ายังไม่เคยรับนางเป็นศิษย์ หรือ สั่งสอนเคล็ดวิชา หลักธรรม คำสอนใดๆเลย…”

    หลินมู่อธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนฟ้ามืดค่ำประดับด้วยดวงดารา และ จันทร์เสี้ยวทั้งสาม “ข้าจึงมาปรึกษากับท่านว่าควรทำเช่นไรดี จะรับนางเป็นศิษย์แทนอาจารย์ อย่างที่ท่านรับข้าแทนอาจารย์ หรือ ข้าควรรับนางเป็นศิษย์ แต่ข้าก็กลัวว่าข้าไม่สามารถสั่งสอนอะไรนางได้เลย จึงมาเพื่อให้ศิษย์พี่ช่วยตัดสินใจ”

     

       กล่าวจบหลินมู่ก็รอฟังคำตอบจากหลัวกงฟาน ศิษย์พี่หลัวเองก็แสดงท่าทีครุ่นคิด ระหว่างนั้นก็มีคนในสกุลหลัวผ่านมา แม้คราแรกจะตกใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็โค้งตัวคำนับทั้งสอง แล้วจึงเดินจากไป

    ผ่านไปอีก 2 เค่อ ในที่สุดหลัวกงฟานก็เปิดปากพูด “เท่าที่ข้าฟังเจ้ามา ปัญหาก็ง่ายๆ เจ้าคิดว่าตนเองด้อยประสบการณ์ ไม่อาจสั่งสอนใดๆ ให้แม่หนูน้อยนางนั้นได้เลย ใช่หรือไม่?”

     

       หลินมู่พยักหน้าพร้อมพูดเสริม “ถูกของศิษย์พี่ ข้าคิดว่าตนเองยังมีประสบการณ์ไม่พอ แถมยังบ่มเพาะฝึกตนมาได้ไม่นาน เกรงว่าข้าไม่อาจจะแนะนำ หรือชี้แนะอะไรนางได้เลย จะเป็นการเสียพรสวรรค์ด้านกระบี่ของนางเปล่าๆ”

    หลัวกงฟานฟังชายหนุ่มอธิบายเพิ่มเติมเสร็จ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย ระหว่างนั้นเองเจ้าเชือกวิเศษที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ก็เลื้อยไปมาราวกับอสรพิษเข้าหาหลินมู่อย่างสนิทสนม

     

       หลัวกงฟานที่เตรียมพูดออกไปก็นิ่งงัน มองตาเบิกโพลงราวกับไข่ห่าน “ศิษย์น้อง…นี้มันคือเชือกวิเศษ?” ศิษย์พี่หลัวใช้นิ้วสั่นๆ ชี้ไปทางเชือกวิเศษที่กำลังเลื้อยเข้าไปในแขนเสื้อ

    “ใช่นี้คือเชือกวิเศษ ข้าเองก็ตกใจเช่นเดียวกับท่าน ตอนรับรู้ว่ามันทำอะไรเช่นนี้ได้” หลินมู่พูดพร้อมมองไปยังขอบฟ้า รับรู้ถึงความรู้สึกคุ้นเคย ที่เจ้าเชือกมาม้วนตัวอยู่ที่แขนของตน

     

       หลัวกงฟานที่ตกตะลึงอยู่ ก็ปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ของวิเศษพวกนี้ช่างเกินจินตนาการจริงๆ” พูดเสร็จเขาก็นึกขึ้นมาได้ ว่าตอนกำลังปรึกษากับศิษย์น้องอยู่

    จึงไอแห้งๆสองครั้งพร้อมจะพูดต่อในสิ่งที่จะพูด ก่อนเจ้าเชือกวิเศษจะเข้ามาขัด ด้วยการลอกเลียนแบบการเป็นอสรพิษ

     

     

     

    วันนี้ก็ตอนเดียวอีกแล้ว (⁠´⁠;⁠ω⁠;⁠`⁠)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×