ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #110 : ตอนที่ 110 หุบปาก!!

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 66


       บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นบรรยากาศแสนแปลกประหลาด จะกลืนก็กลืนไม่เข้าจะคายก็คายไม่ออก หลินมู่กระพริบตาปริบๆ ราวกับชายหนุ่มที่ไร้เดียงสา

    ตอนนั้นเขาค่อนข้างงุนงงเป็นอย่างมาก ตรงนี้ศิษย์พี่หลัวของตนควรปรากฏตัวออกมาสิ แล้วเหตุไฉนอีกฝ่ายจึงเงียบกริบทำตัวเป่าสาก เสมือนเป็นสิ่งไร้ตัวตนเช่นนี้ ไอ้ตอนอยากให้ออกดันไม่ออกมา แต่ไอ้ตอนไม่ก็กระตือรือร้นเหลือเกิน 

     

       อาวุโสเฟิงจินที่ตกอยู่ในภวังค์ก็ไอกลบเกลื่อน ก่อนเขาจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเข้มขรึม ‘คุณชายหลินถูกใครไหว้วานมากัน แล้วคนผู้นั้นมีกระบี่ของท่านผู้นำสกุลที่ 14 ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ามันต้องตกลงก้นเหวตามท่านไปแล้วหรือ…’

    เช่นเดียวกับอาวุโสเฟิงจิน คนอื่นๆก็ขบคิดไม่ตกเช่นเดียวกัน ว่าใครเป็นผู้ไหว้วานชายหนุ่มให้นำกระบี่เล่มนี้ มาส่งที่จวนสกุลหลัว และพวกเขาก็ยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้ ที่ผู้ไหว้วานเรื่องนี้คิดแผนการอะไรบางอย่างกับสกุลหลัว

     

       ยิ่งทุกคนในสกุลหลัวขบคิด ก็ยิ่งเหมือนดิ่งลงก้นทะเลโดยไม่ได้รับคำตอบ และ คำอธิบายใดๆ จากตอนแรกที่แค่จะสำรวจอีกฝ่าย กลายเป็นความระแวดระวังขั้นสุด

    มองชายหนุ่มแซ่หลินผู้นี้อย่างระมัดระวังขึ้นหลายเท่า ‘หรือว่าจะเป็นเรื่องของ สูตรยาลูกกลอน…’ อาวุโสเฟิงจินนึกขึ้นได้อย่างกระทันหัน หากเป็นเรื่องยาลูกกลอนคงไม่แปลก ที่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะปองร้ายสกุลหลัว

     

       ยาลูกกลอนใช้ความพยายามและความอุตสาหะ ของคนในสกุลหลัวร่วมร้อยปี คิดค้นและแกะสูตรยาลูกกลอนทั้งสองชนิด ที่ผู้นำที่ 14 ทิ้งเอาไว้

    จนเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ จึงทำให้สกุลหลัวพลิกวิกฤตกลับมาเป็นโอกาส ไม่เพียงรอดพ้นจากการถูกกวาดล้างเท่านั้น ยังสร้างเส้นสายความสัมพันธ์ในทุกกองกำลัง หลังจากนั้นพวกเขาก็ฟื้นตัวช้าๆจนถึงปัจจุบัน

     

       นี่ก็ 60 ปีมาแล้ว การที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวตอนนี้ต้องมีเป้าหมายบางอย่างแน่นอน ดวงตาอันคมกริบของอาวุโสเฟิงจิน จับจ้องไปยังชายหนุ่มแซ่หลิน ที่กำลังรินน้ำร้อนให้ตัวเองอย่างช้าๆ

    “อะแฮ่ม คุณชายหลินหากนี้เป็นการล้อเล่น มันก็เกินไปหน่อยกระมัง” หลัวเฟิงจินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สายตาคมกริบลมปราณเริ่มไหลวน ความชื่นชมในการวางตัวของชายหนุ่ม ถูกแทนที่ด้วยครับตื่นตัว

     

       หลินมู่ที่ภายนอกจะดูนิ่งสงบ แต่ภายในแทบตะโกนด่าศิษย์พี่หลัวของตน ‘บัดซบ!! เหตุใดท่านจึงนิ่งเงียบ!!! คิดจะให้ข้าละเลงเลือดชนรุ่นหลังท่านก่อนรึไง!!?’ จะเรียกก็เรียกไม่ได้จึงได้แต่จำใจ ทำเป็นใจดีสู้เสือ

    ฉีกยิ้มกว้างพร้อมอธิบายอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ “อาวุโสเฟิงจิน ท่านใจเย็นลงก่อนข้ามาเพราะมีคนไหว้วานจริงๆ ไม่ได้มีประสงค์ร้ายใดๆ” หลัวเฟิงจินที่ได้ยินก็ผ่อนลมปราณลงหลายส่วน

     

       หรี่ตาลงมองชายหนุ่มผู้นี้ประมาณว่า ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าหรอกนะ “แล้วใครเป็นผู้ไหว้วาน ให้เจ้านำกระบี่เล่มนี้มา” หลัวเฟิงจินถามคำถามพร้อมชี้นิ้วไปยัง กระบี่ดำที่มีตัวอักษรเขียนว่าเฮ่ยซานบนโต๊ะน้ำชา

    ใบหน้าของหลินมู่เขียวปัด ดวงตาแทบกรอกไปมาเพราะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไม่ได้ “ข้าพูดออกไปท่านจะต้องไม่เชื่อข้าแน่ๆ” เมื่อได้ฟังคำตอบของหลินมู่ อาวุโสเฟิงจินก็เลิกคิ้วขึ้นสูง

     

        ไม่เพียงแค่หลัวเฟิงจิน คนอื่นๆที่แอบฟังบทสนทนาอยู่ในห้องลับ ก็เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัยเช่นกัน “ไหนลองพูดมาสิ” หลัวเฟิงจินพูดพร้อมนั่งตัวตรง พร้อมฟังคำตอบจากชายหนุ่ม

    หลินมู่มุมปากกระตุก ภายในใจแทบจะสาปแช่งศิษย์พี่หลัวของตนจนครบร้อยครั้ง แต่ริมฝีปากของเขาก็ขยับเปล่งเสียงตอบคำถามอย่างไม่อ้อมค้อม “คนที่ไหว้วานข้ามา คือ ผู้นำสกุลคนที่ 14 ของท่าน หลัวกงฟาน….”

     

       เงียบกริบเสมือนมีบางสิ่งขโมยเสียงทุกสรรพสิ่งไปดื้อๆ สีหน้าของหลัวเฟิงจินแปะไปด้วยความไม่อยากเชื่อ สายตาบ่งบอกว่าเจ้าเห็นข้าโง่งั้นหรือ? ผู้นำสกุลคนที่ 14 ของเราตายไปตั้งแต่เกือบ 200 ปีก่อนแล้วโว้ยยยย

    ในขณะที่อาวุโสเฟิงจินกำลังจะทุบโต๊ะ และตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว กลับมีผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากกำแพง พร้อมกระบี่หนักเล่มเบ้อเริ่ม “ไอ้หนู!! คิดว่าสกุลหลัวของพวกข้าไม่มีสมองรึไง!!!?”

     

       เสียงคำรามสั่นสะเทือนดุจราชสีห์ดังขึ้น สั่นสะเทือนจิตใจของทุกคนภายในจวน อีกฝ่ายตัวสูงใหญ่สวมใส่ชุดคลุมดำสลับแดง ตัดผมสั้นสีน้ำตาลดวงตาสีแดง ไว้หนวดเล็กน้อยที่ไม่เข้ากับเบ้าหน้าตนเองแม้แต่น้อย

    หลินมู่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ‘เอาสิ!! ถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้เรื่องใช่ไหม!?’ ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะลุกขึ้น ชักกระบี่ออกจากฟัก ร่างมายาในชุดคลุมก็ลอยออกจากกระบี่ ตะโกนห้ามเสียงดัง

     

       จนสถานการณ์หยุดนิ่งไปก่อน “หยุด!!! ไอ้พวกลูกหลานไม่รักดี!!” ภายในห้องตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดริมฝีปากสั่นเทา

    หนึ่งในนั้นชี้นิ้วที่สั่นเทามาทางร่างมายาของหลัวกงฟาน “ผีหลอก!!!” หลินมู่ที่อยู่ในท่าเตรียมลุกขึ้น ก็กระพริบตาปริบๆ ก็ออกมาได้นิ แล้วทำไมตอนนั้นมาออกมา จะมาออกทำเกลืออะไรตอนนี้

     

       ไม่รอคนตีกันเสร็จก่อนเลยหล่ะค่อยออกมา ชายร่างกำยำในชุดคลุมสีแดงสลับดำ ชี้กระบี่หนักไปทางหลัวกงฟานพร้อมตะโกนเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร!!? ถึงได้อ้างตัวว่าเป็นบรรพชนของพวกข้า!! หรือเจ้าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? เช่นนั้นข้าจะ…”

    ยังพูดไม่ทันจบร่างของอาวุโสเฟิงจิน ก็พุ่งไปด้วยความรวดเร็วดุจสายลม ลมปราณสีแดงพวยพุ่งออกมา ฝ่ามือของอีกฝ่ายตบเข้าศีรษะของชายร่างใหญ่อย่างจัง

     

       “หุบปาก!!!” ทุกคนเงียบ แม้แต่หลัวกงฟานที่อ้าปากเตรียมสวด ก็ยังต้องนิ่งงันมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง

    “หลัวซาง เจ้าตะโกนใส่ใครรู้บ้างไหม!?” ชายร่างใหญ่กระพริบตา หันไปมองที่หลัวกงฟานอีกครั้ง มองสักพักเขาก็รู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยเห็นมาจากที่ใด ก่อนจะสูดหายใจสุดปอดแล้วตะโกนขึ้น

     

       “ไอ้แก่นี้ เหมือนคนในภาพเหมือนของผู้นำสกุลที่ 14 เลย!!” สิ้นเสียงเสียงตบดังป้าบก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เหมือนกับผีแกสิ!! ตัวจริงต่างหาก!!” ทุกคนนิ่งอึ้งภายในหัวประมวลผลไม่หยุด

    หลินมู่ที่ไม่รู้กลับไปนั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็กระพริบตาด้วยความงุนงง ก่อนจะบังเกิดข้อสันนิษฐานว่า อาวุโสเฟิงจินผู้นี้อาจจะเป็นคนเก่าแก่เมื่อ 200 ปีก่อน แต่ไอ้บรรยากาศคล้ายตลกคาเฟ่นี้มันอะไรกัน….

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×