ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11 คุ้มกันแน่นหนา

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 65


       ขบวนเดินทางเป็นประสบการณ์ของตระกูลไป๋ กำลังออกเดินทางกันอย่างเอิกเกริก

    แม้จะไม่มีใครมองความมั่งคั่งและทรงพลังของพวกเขา แต่พวกเขาต้องแสดงมันออกมา

     

       เพื่อโอ้อวดบารมีของหนึ่งในห้าตระกูลมหาอำนาจ ทุกทางที่ขบวนเดินทางนี้วิ่งผ่าน

    ก็มักจะทิ้งฝุ่นควันลอยตลบอบอวล เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลไป๋แสดงสีหน้าฮึกเหิมอย่างไม่เคยมีบางก่อน

     

       พวกเขาใช้สายตาสอดส่องทั่วบริเวณอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดหลุดพ้นสายตาตนไปได้

    แม้แต่เหล่าคนรุ่นเยาว์จากต่างภพยังได้รับอิทธิพลจากการกระทำครั้งนี้ด้วย พวกเขาที่พึ่งได้ห่อตะบึงบนหลังม้าครั้งแรก

     

       ก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างมากแต่ไม่นานนัก พอนั่งนานไปพวกเขาเริ่มปวดเมื่อยตัวจากการขี่ม้าระยะไกลครั้งแรก

    พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าการขี่ม้าตัวหนึ่งถึงได้ลำบากลำบนขนาดนี้ หนึ่งในสามผู้อาวุโสที่ถูกจัดออกมากกับขบวนเดินทางเก็บประสบการณ์

     

       เขายกแขนขวาขึ้นเป็นสัญญาณให้ขบวนชะลอตัว ไม่นานนักความเร็วของขบวนก็ค่อยๆลดลงจนนิ่งสนิท 

    อาวุโสคนนั้นเดินไปหน้าขบวนก่อนจะมอบไปรอบข้าง ที่เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตานอกจากทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่มีวี่แววสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์แม้แต่น้อย

     

       “หยุดพักก่อน เราจะเดินทางอีกครั้งเมื่อถึงยามบ่าย” เมื่อได้ยินสัญญาณแต่ละคนก็ถอนหายใจยาว

    เส้นประสาทของพวกเขาตึงเครียดมาตลอดทาง พวกเขายังไม่ชินเท่าไหร่เพราะรู้ว่าด้านนอกมีอันตรายนานาชนิด

     

       แม้ตอนนี้จะไม่มีอะไรโผล่มาก็ตามพวกเขาก็ไม่ลดการป้องกันอย่างสมบูรณ์ ต่างจากคนอีกกลุ่มที่ผ่อนคลายไปแล้ว

    พวกเขาลงจากหลังม้าและเริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไป๋เทียที่เห็นก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะจูงม้าไปให้มันกินน้ำ หรือ หญ้าอ่อนบริเวณริมทะเลสาบ

     

       เมื่อจัดการเสร็จไป๋เทียจึงเดินกลับมายังขบวน หามุมสงบๆนั่งกินเนื้อตากแห้งอย่างเงียบๆ

    ขณะเดียวกันหลินมู่ที่รู้ว่าขบวนรถม้าหยุดพักแล้ว ก็เดินออกมายืดเส้นยืดสายกะจะใช้จังหวะนี้หาโอกาสหลบหนีดู

     

       แต่…. “หลินมู่ เจ้าก็ออกมายืดเส้นยืดสายเหมือนกันหรอ?” ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงกับการโผล่มากระทันหันของ ไป๋หยงซุน

    มือดาบขี้เหล้าคนนี้ไปมาไม่มีปี่มีขลุ่ย เดินไปไหนมาไหนก็ฝีเท้าไร้เสียง ราวกับผีสางที่ตามรังควานชีวิตก็มิปาน

     

       หลินมู่เอามือทาบอกสีหน้าประมาณว่า อกอิแป่นจะแตก “อะ…อาวุโสหยงซุน เวลาไปไหนมาไหนช่วยให้ชุ่มให้เสียงได้หรือไม่? ข้าเกือบหัวใจวาย”

    ไป๋หยงซุนหัวเราะยาว “ขอโทษเจ้าด้วยละกัน ข้ามันเคยชินไปแล้ว แต่ถ้าจะให้พูดมีคนที่เจ้าต้องระวังมากกว่าข้า เวลาเขาโผล่มาหรือจากไปราวกับภูติผีก็มิปาน"

     

       พูดจบไป๋หยงซุนก็ดื่มเหล้าด้วยสีหน้าสุขใจ “ท่านพูดถึงข้าหรืออาวุโสหนึ่ง?” เสียงแหบพร่าราวกับเอาเหล็กสนิมเกอะสองชิ้นมาขูดกันดังขึ้น

    ไป๋หยงซุนที่กำลังดื่มเหล้าอย่างสุขใจ ก็พ่นพรวดออกมาเป็นละอองกลิ่นเหล้าลอยไปทั่ว

     

       “ถ้าเจ้าจะมาขอให้ข้าเห็นตัวก่อนได้หรือไม่? ไม่ใช่เดินเข้าข้างหลังแล้วพูดขึ้นมาดื่อๆ หัวใจข้าจะวายเอา" 

    ไป๋หยงซุนกุมหน้าอกของตนด้วยสีหน้าเหยเก ไม่คิดว่าแค่พูดถึงไม่กี่อึดใจอีกฝ่ายจะโผล่มาแบบนี้ อีกฝ่ายสวมชุดคลุมดำปกปิดมิดชิดไม่สามารถแยกเทพสภาพหรือระบุอายุได้เลย ถ้าจะให้คาดเดาอีกฝ่ายน่าจะเป็นบุรุษ ช่วงวัยน่าจะประมาณไป๋หยงซุนหรืออาจจะแก่กว่า

     

        “เช่นนั้นหรือ?” แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับมันไม่เกี่ยวกับตนเอง เขามองไปทางหลินมู่ที่มีสีหน้าตกตะลึงอยู่

    แค่มองสีหน้าเขาก็รู้แล้วว่าหลินมู่คิดอะไรอยู่ คนเดินออกมาจากอากาศเปล่าๆ…. ชายชุดคลุมดำปกปิดมิดชิดโผล่ไปไหนมาไหนคล้ายภูผี

     

        หันไปมองทางไป๋หยงซุนประมาณว่าสรุปเจ้าเรียกข้าทำไม? เห็นอย่างงั้นไป๋หยงซุนก็รีบพูดขึ้น “ข้าแค่แนะนำเจ้ากับเจ้าหนูหลินมู่ แล้วจู่ๆเจ้าก็โผล่มา ถามจริงเถอะ ไป๋หยาง นอกจากวิธีนี้แล้วเจ้าไม่มีวิธีทักทายอื่นเลยรึ?”

    ไป๋หยงซุนถามด้วยสีหน้าคาดคั้น ไป๋หยางที่แต่งตัวด้วยชุดคลุมดำมิดชิดก็ทำท่าทางราวครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น

     

       “ข้าแก้ไม่ได้ คิดซะว่าข้าเป็นอากาศละกัน…” ไป๋หยงซุนกับหลินมู่ที่ได้ยินถึงกับมุมปากกระตุก เจ้าตอบง่ายงี้เลย?

    ไป๋หยางที่รออยู่สักพักก็ยังไม่มีเรื่องให้ตนไปทำ ก็ค่อยๆจางไปกับอากาศก่อนจะหายไปจากสายตาอย่างสมบูรณ์

     

       หลินมู่ถลึงตามองกระบวนการทั้งหมดด้วยความตกใจ นี่จู่ๆคิดว่าหายก็หายไปกลางคันดื่อๆงี้เลย? ไม่ให้ไป๋หยงซุนเรียกภูติผีจะให้เรียกอะไรอีก?

    ไป๋หยงซุนที่เห็นว่าไป๋หยางจากไปแล้วก็ยกเหล้าดื่มดับความสับสนในจิตใจของตน “เขาชื่อไป๋หยาง ผู้อาวุโสลำดับ 7 เรื่องต่อสู้เขาไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่เรื่องแฝงตัวล้วงข้อมูลข่าวสาร หรือ การสอดแนม ไม่มีใครสู้เขาได้ในหมู่อาวุโส”

     

       ไป๋หยงซุนพูดแนะนำอีกฝ่ายคร่าวๆก่อนจะหันมายิ้มให้หลินมู่ “ท่านจะออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายไม่ใช่หรือ?” 

    หลินมู่ที่ยืนสมองเออเร่ออยู่ก็กลับมาเป็นปกติ ‘ใช่ตนจะเดินออกมาหาทางหนีทีไล่หนิ….’ เขามองไปทางมือดาบขี้เหล้าประมาณว่า ท่านไม่มีงานทำรึไง? ถึงยังไม่ไปที่อื่นอีก?

     

       ไป๋หยงซุนทำเป็นไม่เห็นสายตาตั้งคำถามนั้น ทำเพียงยกน้ำเต้าขึ้นมาจิบเหล้า

    หลินมู่แน่ใจแล้วว่าสลัดอีกฝ่ายไม่ออกแน่นอน จึงทำได้แค่ทำใจเดินยืดเส้นยืดสายและทำท่าทางพิรุธให้น้อยที่สุด

     

       เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรับคำสั่งอะไรมาจากไป๋หยุนเฉิน แสดงความผิดปกติออกมาให้น้อยที่สุดจะดีกว่า

    หลินมู่ในชุดคลุมสีเทาเดินไม่ช้าไม่เร็วไปรอบบริเวณ ด้านหลังก็มีมือดาบขี้เหล้าเดินตามไม่ห่าง

     

        อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นประมาณว่า นี่เรากำลังไปทางเดียวกันหรือนี้? หลินมู่ปวดหัวจะตายชัก

    เมื่อเดินจนมาถึงทะเลสาบที่ทุกคนปล่อยม้าให้มาพักผ่อนเล็มหญ้า ชายหนุ่มก็เดินไปมองเงาสะท้อนตนเองที่ทะเลสาบ

     

       ภาพสะท้อนบนผิวน้ำใบหน้าของชายหนุ่ม ดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ออกไปทางค่อนข้างทุกข์ใจด้วยซ้ำ

    ด้านหลังก็มีมือดาบขี้เหล้าตามติดมาเป็นขนมตังเม ไม่คิดจะปล่อยให้ห่างสายตาเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

     

       หลินมู่ถอนหายใจยาวก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบจุดพักแห่งนี้ ก่อนจะไปสะดุดตากับชายวัยกลางคนค่อนไปทางแก่

    กำลังยืนลูบแผงคอม้าคู่ใจของตนด้วยสีหน้าสนิทสนม “นั้นคือไป๋อาน อาวุโส ลำดับ 11 พวกเรามักเรียกเขาว่าคนบาม้า แต่เกิดจนโตเขาก็คลั่งไคล้ม้าเป็นพิเศษ ตระกูลไป๋ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เรามีม้าดีๆใช้งานกัน”

     

       ไป๋หยงซุนจิบเหล้าพร้อมกับแนะนำอีกฝ่ายให้หลินมู่ได้รู้ ในระหว่างที่หลินมู่กับไป๋หยงซุนยืนมองอีกฝ่ายจากระยะไกล

    ราวกับอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองอยู่ จึงหันหน้ามามองทางพวกเขา ก่อนจะพยักหน้าให้

     

       ไป๋หยงซุนพยักหน้ากลับพวกเขาเลิกสนใจกันและกัน กลับไปทำเรื่องของใครของมัน

    “แล้วความสามารถในการต่อสู้ละ?” หลินมู่ถามกับไป๋หยงซุนระหว่างเดินกลับไปยังรถม้า

     

       มือดาบขี้เหล้าที่ตามติดหลินมู่ราวกับขนมตังเมขบคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

    “ถ้าเดี่ยวๆ เขาไม่ค่อยเก่งกาจเท่าไหร่ แต่พอเขาอยู่บนหลังม้าการต่อสู้กับเขาเปรียบเสมือนการฆ่าตัวตายทางอ้อม หากไม่มั่นใจในฝีมือหรือความแข็งแกร่ง ก็อย่าได้ให้เขาขึ้นควบม้าเด็ดขาด”

     

       หลินมู่พยักหน้าเงียบๆ แต่ภายในใจได้แต่ร้องโหยหวน เหตุใดไป๋หยุนเฉินจึงส่งอาวุโสที่รับมือยากขนาดนี้มากัน

    หากเป็นอาวุโสคนอื่นเขาอาจจะใช้โอกาสเมื่อเข้าไปเมืองใดเมืองหนึ่ง ปลีกตัวหนีออกมาแต่นี่แค่เดินออกมาดูลาดราว

     

       ก็มีอาวุโสลำดับ 1 มาเดินประกบติดแน่นเหมือนขนมตังเม และเหมือนเจ้าตัวจะไม่รำคาญแม้แต่น้อย

    ที่หลินมู่จงใจเดินช้าๆระหว่างเดินกลับ แถมในเงาก็มีอาวุโสคล้ายภูติผีอีกคน

     

       แม้จะไปถึงเมืองเขาก็ไม่น่าจะหลบหนีไปได้ คงได้แต่รับชะตารอวกกลับไปหุบเขาเมฆ 

    เพื่อรอให้ไป๋หยุนเฉินลงทัณฑ์ตนแล้ว นี่อีกฝ่ายแค้นเคืองตนที่ทำให้ชุดคลุมไหมเมฆาต้องไร้ประโยชน์ขนาดนี้เลย 

     

       คิดแล้วหนักใจสุดๆ หลินมู่ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบระหว่างคิ้ว เขาควรจะไปต่ออย่างไรดี

    เหมือนการไปสารภาพกับไป๋หยุนเฉินคืนนั้นตนจะเดินหมากพลาดไป หากยื้อเวลาออกไปเล็กน้อยและเก็บเงียบไว้

     

       การหลบหนีคงไม่อยากขนาดนี้ แต่ตัวของหลินมู่หารู้ไม่ว่าต่อให้ไป๋หยุนเฉินรู้หรือไม่รู้เรื่องตนพิการยุทธ์แต่กำเนิด

    ทีมเก็บประสบการณ์ที่หุบเขาสำเร็จมาร ยังไงก็จะมีไป๋หยงซุนและไป๋หยางมาแน่นอน

     

       พูดได้แค่ว่าค่าไม่ต่างกัน ไป๋หยุนเฉิน มองหลินมู่คือตัวแทนของบุตรชายที่จากไปของตนเมื่อ 30 ปีก่อน

    แม้จะไม่ค่อยออกนอกหน้าชายชราชุดคลุมเมฆสีครามก็ คอยช่วยเหลืออย่างลับๆทั้งทรัพยากรและชุดไหมเมฆาตัวนั้น

     

       เขาปฎิบัติกับหลินมู่ราวกับอีกฝ่ายเป็นบุตรชายของตนจริงๆ แต่น่าเสียดายหลินมู่ไม่ทราบเรื่องนี้เลย

    แม้จะทราบคงมีความหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะมาแผนไม้ไหน เมื่อกลับมาถึงรถม้าของตนไม่พูดไม่จาก็เดินดุ่มๆ

     

       หายเข้าไปภายในรถม้าทิ้งไป๋หยงซุนยืนทำหน้างุนงงว่า เจ้าไม่คิดจะบอกลาข้าหน่อยหรือ???

    เสียใจหลินมู่ในตอนนี้สมองกำลังจะรัดวงจร ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องยิบย่อยเขาต้องการพักผ่อน

     

       ปล่อยให้คิดหัวหมุนในสถานการณ์ที่เขาคิดไปเองว่า มันเป็นเงื่อนตายที่แก้ไม่ได้นี่อีกสักพัก

    คงได้มีสมองไหม้บ้างแหละ เมื่อกลับมาภายในรถม้าชายหนุ่มก็เคี้ยวเนื้อตากแห้งคนเดียวเงียบๆ

     

       พยายามทำให้ตนเองตึงเครียดน้อยที่สุด แม้สถานการณ์ตอนนี้ตนจะไม่อาจปล่อยวางได้ก็ตาม

    อีกด้านหนึ่งไป๋หลานหลง ที่ยืนอยู่กลางทุ่งหญ้าโดยทิ้งระยะกับขบวนพอสมควร และมีอีกหลายคนที่ยืนอยู่กับเขา แต่ละคนกำลังฝึกทักษะดาบอย่างผ่อนคลาย ไป๋หลานหลงรับรายงานจากลูกสมุนของตน ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา

     

       “ฮึ่ม!! เป็นเหมือนที่ท่านแม่พูดไว้ หลินมู่มันต้องทำอะไรสักอย่างทำให้ท่านพ่อห่วงใยมันเช่นนี้ ข้าต้องรีบกำจัดมันเพื่อท่านพ่อและท่านแม่” เหล่าลูกสมุนก็กล่าวสนับสนุนอย่างเห็นด้วย

    รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋หลานหลง “มีความสุขไปเถอะหลินมู่ เพราะเมื่อถึงหุบเขาสำเร็จมาร นั้นคือจุดจบของเจ้า!”

     

       ไป๋หลางหลงพูดด้วยความอาฆาต ก่อนจะสะบัดดาบปล่อยเส้นปราณดาบตัดต้นหญ้าจนโล่งเตียน

    “พวกเรากลับ!” สิ้นเสียงกลุ่มของไป๋หลางหลงก็กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ และขบวนเก็บประสบการณ์ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×