ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #109 : [ภาค 2 จงลืมตา] ตอนที่ 109 สกุลหลัวแตกตื่น

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 66


       ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่เดินจูงลาไปตามเส้นทาง โดยบนหลังลาสีเทาลายด่างตัวนั้น มีดรุณีน้อยในชุดสีแดงสดใส กอดกระบี่ไม้มองจวนขนาดให้อย่างตื่นตา

    “หยุดก่อน! เจ้าเป็นใครเหตุใดจึงมายังจวนสกุลหลัว!” ผู้คุ้มกันประตูที่ยืนเฝ้าประตูเข้าออกหลักอยู่ ตะโกนห้ามชายหนุ่มที่กำลังตรงเข้ามาด้วยความสงสัย

     

       เมื่อได้ยินคำถามจากผู้คุ้มกันประตู หลินมู่จึงหยุดลงพร้อมป้องหมัดให้อีกฝ่าย แล้วจึงอธิบายเป้าหมายของตนอย่างตรงไปตรงมา “ขออภัย ข้ามาเพราะคำสั่งเสียของคนผู้หนึ่ง ข้าจึงนำสิ่งของที่อีกฝ่ายไหว้วานมาส่งที่จวนสกุลหลัว”

    ผู้คุ้มกันประตูแสดงสีหน้าแปลกใจปนสงสัยในจุดประสงค์ของอีกฝ่าย เขาขบคิดสักพักก่อนจะพูดออกมา “เช่นนั้น ท่านรอข้าอยู่หน้าประตูก่อน ข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งคนระดับสูง”

     

       “ขอบคุณ” หลินมู่ป้องหมัดขอบคุณอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม จนอีกฝ่ายหันมาโบกไม้โบกมือห้ามเอาไว้ “ไม่เป็นไร นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” พูดจบอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าไปภายในตัวเรือน

    พร้อมกับทวนคู่ใจของตนวิ่งหายจากสายตาไป หลินมู่ยืนรออย่างอดทนไม่คิดจะสร้างความวุ่นวายใดๆ “ศิษย์น้องเหตุใดไม่ให้ข้าแสดงตัว หากทำเช่นนั้นเราอาจจะเข้าไปได้ง่ายๆ?”

     

       หลัวกงฟานถามชายหนุ่มผ่านกระแสจิตอย่างสงสัย หากให้เขาแสดงตัวมันจะไม่ง่ายกว่าหรือในการเข้าไปภายในจวน ไม่ต้องมายืนรอตากแดดเช่นนี้

    หลินมู่ที่ได้ยินก็ทำได้เพียงยกยิ้มเล็กน้อย “เอิ่ม….ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้คาดเดาความเป็นไปได้อื่นเลยหรือ อย่างเช่นผู้คุ้มกันผู้นั้นไม่รู้จักบรรพชนตัวเอง หรือคนที่รู้จักท่านสิ้นอายุขัยลาโลกไปหมดแล้ว ไม่ว่ายังไงหากเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา สถานการณ์ก็จะลากยาวออกไป บางทีอาจจะเกินควบคุม เน้นปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด”

     

       หลัวกงฟานที่ได้ยินเหตุผลก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ มันก็จริงหากทะเล่อทะล่าออกไปแล้วบอกว่าตนคือ บรรพชนของพวกเขา ผีตนใดกันจะเชื่อ แถมจากสถานะปัจจุบันตอนนี้

    ที่ไม่ต่างอะไรจากผีตัวเป็นๆ ชนรุ่นหลังเหล่านั้นคงเชื่อกระมัง ผ่านไปไม่ถึง 1 ถ้วยชา ผู้คุ้มกันประตูก็เดินกลับมา พร้อมชายชราคนหนึ่งในชุดภูมิฐาน ปลดปล่อยกลิ่นอายเข้มงวดออกมา ตามหลังมาพร้อมพ่อบ้านวัยกลางคน ที่เพียงปาดตามอง ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรจากอีกฝ่าย

     

       คาดจากการแต่งตัวของชายชราแล้ว อีกฝ่ายน่าจะเป็นคนระดับสูงของฝ่ายคุมกฏของจวน “ขอโทษที่ปล่อยให้ท่านคอยนาน นี้คืออาวุโสผู้คุมกฏของจวนสกุลหลัว ท่านหลัวเฟิงจิน”

    หลินมู่หันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมป้องหมัดแนะนำตัว “ยินดีที่ได้พบท่านเฟิงจิน ข้าแซ่หลิน นามมู่” อีกฝ่ายยิ้มกลับอย่างเป็นมิตร พร้อมป้องหมัดคืนชายหนุ่ม

     

       “ยังหนุ่มยังแน่นก็บ่มเพาะอารมณ์ได้อย่างน่าชื่นชม แถมตบะยังลึกล้ำราวกับมหาสมุทร น่านับถือน่านับถือเชิญคุณชายหลินด้านในก่อน” หลัวเฟิงจินผายมือเชิญชายหนุ่มให้เข้าไปด้านใด

    ก่อนจะพากันเข้าไปด้านใด เขาก็หันไปสั่งพ่อบ้านที่เดินตามหลังตนมา “พ่อบ้านหลง ท่านนำลาของคุณชายผู้นี้ไปยังคอก และ พาดรุณีน้อยนางนี้ไปรอที่ห้องรับแขก อย่าลืมเตรียมที่พักให้แขกด้วย”

     

       พ่อบ้านหลงยกยิ้มบางพร้อมโค้งตัว “ข้าทราบแล้ว” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินเข้าหาเจ้าซุยโก๋อย่างเป็นมิตร “แม่นางน้อยท่านนี้ ลงจากหลังลาก่อน ข้าจะพาท่านไปยังห้องรับแขก”

    ผิงฮวาลงจากหลังเจ้าซุยโก๋อย่างว่าง่าย เดินตามพ่อบ้านหลัวไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อบ้านหลง รับใช้จวนสกุลหลัวมา 40 ปี ความน่าเชื่อถือของเขาข้าขอรับประกัน ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับดรุณีน้อย และ ลากับสัมภาระของท่าน”

     

       หลินมู่พยักหน้าแล้วจึงเดินตามหลัวเฟิงจินไป เมื่อเข้ามาภายในตัวจวน เหล่าคนสกุลหลัวมากมายก็หันสายตามาจับจ้องชายหนุ่มอย่างสงสัย

    พวกเขาสงสัยว่าชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดจึงมีอาวุโสสกุลหลัวคอยนำทาง ไม่นานนักเมื่อเดินผ่านหัวมุมไป อีกฝ่ายก็กล่าวอย่างตลกขบขัน

     

       “ขอโทษด้วยหากการจ้องมองทำให้คุณชายไม่สบายใจ สกุลหลัวของเราไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเยือนบ่อยนัก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าการที่แขกมีอาวุโสคอยเดินนำ ไม่ใช่เรื่องที่จะได้เห็นบ่อยๆ”

    หลินมู่เอามือสอดเข้าแขนเสื้อ พร้อมตอบกลับอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” คำตอบเพียงง่ายๆและการกระทำ ทำให้หลิวเฟิงจินชื่นชมการบ่มเพาะอารมณ์ของอีกฝ่าย 

     

       เขาคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนมีฐานะ ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีเยี่ยม เมื่อคิดถึงจุดนี้ อาวุโสเฟิงจินก็ปวดขมับ

    ไม่รู้เหตุใดชนรุ่นหลังพักหลังมานี้ ทำตัวหนักข้อแหกกฏกันอยู่เรื่อยๆ หรือเลือดบรรพบุรุษกำลังเดือดอยู่นะ คิดไปคิดมาพวกเขาก็เดินมาถึงห้องรับรองแห่งหนึ่ง

     

       ระหว่างทางที่เดินกันมา ไม่รู้เหตุให้หลัวกงฟานกลับเงียบเป็นเป่าสาก พอถามว่าเป็นอะไรอีกฝ่ายก็เงียบกริบไม่ยอมตอบ ทำเอาหลินมู่ปวดหัวตึบ

    "คุณชายหลินเชิญ นี้คือห้องรับรองสำหรับแขกพิเศษ โปรดทำตัวตามสบาย” หลินมู่ยิ้มพยักหน้าให้เล็กน้อย เขานั่งลงบนเบาะลองนั่ง ตรงหน้าคือโต๊ะชงชาสไตล์ดั้งเดิม ที่คงไว้ซึ่งความเก่าแก่และวิจิตรงดงาม

     

       “ไม่ทราบว่าที่คุณชายหลิน เดินทางรอนแรมมาไกลขนาดนี้ มีธุระอันใดกับสกุลหลัวเรางั้นหรือ” ระหว่างถามคำถามอาวุโสเฟิงจิน ก็ขยับมือชงชาอย่างชำนาญด้วยท่วงท่างดงาม

    ที่ผ่านการขัดเกลาฝึกฝนมาหลายต่อหลายครั้ง ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่า อีกฝ่ายมีตบะเป็นถึงราชายุทธ์ตัวจริงเสียงจริง ต่างจากคนแอบอ้างอย่างหลินมู่ที่ไม่มีลมปราณสักเสี้ยวเดียว

     

       การได้ดื่มชาที่ราชายุทธ์ชงให้ ก็ถือเป็นวาสนาที่อยากจะได้พานพบแล้วสักครั้งในชีวิต หลินมู่แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยพูดอธิบายพร้อมปลดกระบี่สีดำจากเอวซ้ายของตน

    “ข้าได้รับการไหว้วานจากสหายท่านหนึ่ง ให้นำสิ่งของมาคืนสกุลหลัวไม่ได้มีเป้าหมายแอบแฝงใดๆ” เหตุที่ช่วงสุดท้ายชายหนุ่มพูดเช่นนั้น เพราะเขาสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ ที่จับจ้องมายังเขาในที่ลับตา

     

       เมื่อตรวจสอบด้วยขอบเขตสัมผัสพิเศษ ก็พบกับผู้ฝึกฝนวรยุทธ์์หลายคน ที่ตบะไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสเฟิงจินเท่าใดเลย คาดว่าน่าจะเป็นเจ้ายุทธ์สองถึงสามคน หรือ ไม่ก็อาจจะมีราชายุทธ์อีกคนคอยจับตาดูเขาอยู่ก็ได้

    อาวุโสเฟิงจินที่ชงชาเสร็จก็วางถ้วยชาลงอย่างนุ่มนวล พร้อมแสดงรอยยิ้มขยับริมฝีปากถามถึงของสิ่งนั้นอย่างสงสัย “แล้วของที่สหายท่านนั้นไหว้วานท่านคือสิ่งใด” พูดจบเขาก็ผลักถ้วยชาไปใช้ชายหนุ่ม

     

       ชายหนุ่มยกยิ้มพร้อมรับถ้วยชา มายกดื่มด้วยท่วงท่าสะกดตา มันไม่ยากหรอกที่จะแสดงออก หากเข้าร่วมงานสังคมบ่อยๆ ซึ่งหลินมู่ไม่ได้ชอบสักนิด แต่เพื่อลดความระมัดระวังของอีกฝั่งในตัวของตน

    จึงต้องทำแม้จะมีพิธีการมากเกินไปก็ตาม เมื่อวางถ้วยชาลงชายหนุ่มก็วางกระบี่สีดำไว้บนโต๊ะชา ผลักมันไปทางอาวุโสเฟิงจิน หลัวเฟิงจินแสดงสีหน้างุนงงมองกระบี่สีดำที่คุ้นตาตนเล็กน้อย

     

       เขารับกระบี่สีดำมาสำรวจดู แต่ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ นอกจากน้ำหนักของมันและความคมกริบที่เปล่งออกมาแล้ว มันก็เหมือนกับกระบี่ดำธรรมดาทั่วไป

    “ท่านลองดึงมันออกจากฟักสิ” ทันใดนั้นหลินมู่ก็พูดแนะนำขึ้นมา อาวุโสเฟิงจินจึงทำตามด้วยความสงสัย ชิ้ง!! คมกระบี่สั่นสะเทือนคลื่นความคมอันหนักอึ้งราวขุนเขาปลดปล่อยออกมา

     

       ตัวอักษรสีทองที่เขียนอยู่บนใบกระบี่ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นตะโกนออกมา ด้วยความตกตะลึงปนความกวาดกลัวไม่ได้

    “มันคือเฮ่ยซาน!! กระบี่ดำของผู้นำสกุลคนที่ 14 !!!” เสียงสูดหายใจดังเฮือกดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังชายหนุ่มแซ่หลินอย่างสงสัย เขาได้มันมาจากใคร?

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×