ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #107 : ตอนที่ 107 ไม่พยายามจะรู้ได้อย่างไร

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 66


       ในขณะที่จูหยงอันเหม่อลอยถึงขีดสุด ชายหนุ่มสะพายกระบี่นามหลินมู่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “หากเจ้าคิดว่าตนเองเป็นไม้ซีก แต่ใดจึงไม่คิดว่าเริ่มแรกข้าก็เป็นไม้ซีกเช่นกัน”

    จูหยงอันที่กำลังจะดื่มสุราย้อมใจก็หยุดชะงัก ดวงตาเริ่มกลับมามีประกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ถูกต้องตามที่ท่านกล่าว แต่ท้ายสุดข้าก็ไม่มีความสามารถ จะไล่ตามพลังและท้าประลองกับท่าน เพื่อแก้แค้นให้พ่อข้าอยู่ดี”

     

       หลินมู่ที่นอนอยู่บนกิ่งไม้ก็นิ่งเงียบ ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่จูหยงอันต้องสั่นสะท้าน 

    “มีพรสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์มันต่างกันเช่นไร หากไม่พยายาม มีพรสวรรค์ไปก็ไร้ค่า หากไม่พยายาม ก็เป็นได้แค่คนขี้แพ้คนหนึ่ง หากเจ้าไม่เคยพยายาม จะรู้หรือไม่ว่ามีพรสวรรค์หรือไม่มี แม้จะไปไม่ถึงจุดสูงสุด แต่ก็ได้พยายามแล้ว จะเสียใจอันใดอีก ดีกว่ามานั่งเสียใจภายหลังเพราะไม่พยายาม ความพยายามคือตัวแทนของการ ที่เจ้ายังต่อสู้อยู่บอกว่าเจ้าไม่ได้ยอมแพ้กับชีวิต”

     

       ริมฝีปากของชายหนุ่มสั่นระริก เขามองมือของตนที่เริ่มสั่นเทา “ใช่…ข้าไม่เคยพยายาม ข้าเอาสิ่งใดมาตัดสินตนเองว่าไม่อาจไล่ตามความแข็งแกร่ง ลมปากของพวกชาวบ้านหรือ หรือเพราะจิตใจอันอ่อนแอของข้า”

    ชายหนุ่มเริ่มเกิดประกายไฟในการต่อสู้ขึ้นมา ดวงตาที่เคยขุ่นมัวแต่แรกเห็น เริ่มเปล่งประกายดุจอัญมณี เขาลุกขึ้นยืนโค้งตัวป้องหมัดให้หลินมู่ พร้อมตะโกนขึ้นอย่างหึกเหิม

     

       “ขอบคุณอาวุโส!! ข้าจูหยงอันที่ได้รับคำสั่งสอน ได้ตระหนักรู้ว่าตนเองไม่เคยพยายาม เกือบยอมแพ้ให้กับชีวิต แต่หลังจากผู้อาวุโสสั่งสอน ข้าก็ได้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าควรพยายาม ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย”

    สายลมพัดเข้ามาจากนอกหุบเขา กระทบชายเสื้อสีฟ้าของอีกฝ่าย ใบไม้ปลิวไสวเงาบนพื้นคล้ายจะเต้นรำขึ้นมา “แล้วเป้าหมายของเจ้าคือสิ่งใด” หลินมู่ยังคงหลับตาเอนตัวนอนบนกิ่งไม้ รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

     

       จูหยงอันยกยิ้มขึ้นสูง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยความมั่นใจ “ข้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ จนเมื่อข้าแข็งแกร่งวันนั้นข้าจะไปท้าประลองกับผู้อาวุโส!!” รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของชายหนุ่มสะพายกระบี่

    “ดี! ค่อยดูสมเป็นลูกชายของจอมยุทธ์ใหญ่จูหน่อย ข้าจะรอละกันรอวันที่เจ้ามาท้าประลอง กำหนดเวลาคือ 100 ปี หากภายในหนึ่งร้อยปีนี้ เจ้าไม่แม้แต่จะปรากฏตัวให้ข้าเห็น เจ้าก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่หากเจ้ามาภายในร้อยปี แม้จะแพ้การประลอง แต่หากข้าเห็นสมควร เจ้าก็จะเป็นฝ่ายชนะ อย่าให้เสียชื่อจอมยุทธ์ใหญ่จูหล่ะ”

     

       พูดจบอีกฝ่ายก็กระโดดลงจากกิ่งไม้ คว้าน้ำเต้าจากมือชายหนุ่มพร้อมกรอกสุราเข้าปากตนเอง จูหยงอันใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สักพักก็แข็งทื่อก่อนจะกลายเป็นความหนักใจ

    “เอิ่ม…ผู้อาวุโส ท่านช่วยยืดเวลาออกไปสักนิดได้หรือไม่?” เมื่อได้ยินคำขอกระทันหันจากอีกฝ่าย หลินมู่ก็แสดงสีหน้าสงสัยก่อนจะถามขึ้น “ทำไม?” จูหยงอันแสดงท่าทีอึดอัดก่อนจะตอบกลับ

     

       “คือว่า….ข้าไม่มีแม้แต่วรยุทธ์ฝึกฝนลมปราณ แม้แต่วรยุทธ์ฝึกกายก็ยังไม่มี ข้าคิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าข้าจะหาวิชาฝึกฝนได้ จึงขอให้อาวุโสยืดเวลาการประลองออกไปอีก”

    พูดจบอีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงเหมือนเด็กชายที่มีความผิด เขาจะบอกไม่ได้ว่าตั้งแต่ข่าวว่าพ่อของเขาเสียชีวิต และ แม่ของเขาด่วนจากไป เขาก็นำตำราวรยุทธ์ทั้งหมดออกมาเผาทำลาย 

     

       เพราะเกือบยอมแพ้จะมีชีวิต เลือกจะใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับยุทธจักรแม้แต่น้อย แต่มาตอนนี้ เขารู้สึกโทษตนเองในตอนนั้นอย่างเหลือล้น เหตุใดไม่เก็บไว้สักเล่มไว้เป็นของดูต่างหน้ากันนะ

    เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายหลินมู่ก็ลูบคางตนอย่างครุ่นคิด “ไม่เป็นไร เรื่องวิชาข้าน่าจะหาให้เจ้าได้…ตอนนี้ยังได้” พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป พร้อมกวักมือเรียกอีกฝ่ายให้ตามตนมา

     

       เดินวนเวียนอยู่สักพักก็พบกับหัวหน้าหมู่บ้าน ที่กำลังจัดแจงงานต่างๆอยู่กับเหล่าชาวบ้าน “โอ้ท่านราชายุทธ์ เหตุใดท่านจึงตามหาตัวข้ากัน?” หัวหน้าหมู่บ้านทำท่าจะโค้งคำนับชายหนุ่ม

    แต่ก็ถูกหลินมู่ห้ามเอาไว้ ก่อนจะพูดคุยด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “คืออย่างงี้ จูหยงอันเขาอยากจะฝึกวรยุทธ์ แต่เขาไม่มีวิชาฝึกฝน บนตัวของผู้นำกองโจรหรือเหล่าคนระดับสูงของพวกมัน น่าจะมีหนังสือตำราเก็บติดตัวไว้บ้าง”

     

       หัวหน้าหมู่บ้านกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเหลือบตาไปมองจูหยงอันที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย เมื่อสบตากันจูหยงอันก็ส่ายหน้าราวกับตุ๊กตาไขลาน ว่าท่านห้ามพูดเรื่องนั้นออกมานะ

    หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้างึกงัก ก่อนจะเดินจากไป จูหยงอันเอามือกุมอกอย่างโล่งอก โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของเขาอยู่ในขอบเขตการมองเห็นรอบตัวของหลินมู่

     

       หลินมู่ไม่ได้สนใจอันใดอยู่แล้ว ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องขุดคุ้ยจนถึงแก่น

    “จะว่าไปเจ้าอ่านออกเขียนได้หรือไม่?” จูหยงอันที่ได้ยินคำถามกระทันหัน ก็พยักหน้าตอบรัวเร็วราวกับไก่จิกข้าวสาร “ได้ๆ ข้าอ่านออกเขียนได้ ไม่ต้องให้ผู้อาวุโสสละเวลามาสอนเลยครับ!!”

     

       ทีนี้เป็นฝ่ายหลินมู่ต้องกระพริบตาปริบๆ ในหัวบังเกิดคำว่าเป็นอะไรของมัน หลังจากนั้นไม่รู้อีกฝ่ายดีดอะไรรีบวิ่งแจ้นไปทางหัวหน้าหมู่บ้าน พร้อมตะโกนขึ้นเหมือนกลัวว่าหลินมู่จะไม่ได้ยิน

    “ผู้อาวุโส ข้าจะไปช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน พอได้วิชามาแล้วข้าจะกลับมาหาท่าน!!” สิ้นเสียงร่างนั้นก็วิ่งหายลับไปแล้ว ทิ้งให้หลินมู่ยืนอ้าปากพะงาบพะงาบ จะพูดก็พูดไม่ทัน “ช่างเถอะ”

     

       ชายหนุ่มยักไหล่และยืนรอให้อีกฝ่ายกลับมา ไม่นานนักราวๆ 3 เค่อกว่า จูหยงอันก็กลับมาพร้อมหัวหน้าหมู่บ้าน และ ตำราหน้าปกเก่าๆสองเล่ม เมื่อเดินมาถึงจูหยงอันก็ยื่นตำราทั้งสองให้หลินมู่ดู

    “อืม เล่มทางซ้ายเป็นวิชาฝึกฝนลมปราณ ชื่อว่า ตะวันอุทัย ส่วนทางขวาเป็นเคล็ดวิชาดาบ” หลินมู่พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “หากข้าเดาไม่ผิดทั้งสองเป็นของผู้นำกองโจร ใช่หรือไม่”

     

       จูหยงอันพยักหน้าเป็นคำตอบ “ใช่ ผู้อาวุโสหากข้าฝึกวิชาลมปราณนี้ ข้าจะแข็งแกร่งมหาศาลเหมือนอีกฝ่ายหรือไม่?” ชายหนุ่มถามอย่างคาดหวัง หากเป็นจริงเวลาการฝึกฝนก็จะย่นลงมาอีก

    ไม่กี่สิบปีเขาก็จะท้าประลองกับอีกฝ่ายได้แล้ว หลินมู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ก็แน่นอนว่าไม่ อีกฝ่ายค่อนข้างพิเศษ ตอนข้าทำลายลมปราณของเขา ทำให้ข้ารู้ว่าหัวใจของเขาใหญ่กว่าคนทั่วไป ทำให้อวัยวะถายในที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนใหญ่ตามไปด้วย เขาจึงสั่งสมลมปราณได้มากกว่าคนทั่วไป เป็นคนที่เกิดมาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์โดยแท้จริง”

     

       ชายหนุ่มที่ได้ยินก็เกาแก้มของตนอย่างอายๆ หลินมู่ที่เห็นว่าเวลาถึงสมควรแล้ว ก็เริ่มจะบอกลาเตรียมจะเดินทางต่อ “เอาหล่ะ เรื่องที่ควรบอกก็บอกไปแล้ว เรื่องที่ควรทำก็ทำไปแล้ว เหลือแต่เรื่องที่เจ้าต้องรู้ ก่อนข้าจะจากไป”

    จูหยงอันที่ได้ยินก็แสดงสีหน้าตั้งใจฟัง หัวหน้าหมู่บ้านที่รู้ว่าเรื่องนี้ตนไม่ควรแทรกก็จากไปอย่างรู้เท่าทัน “พ่อของเจ้าถูกฝังอยู่ที่หมู่บ้านฉาซาน ทางตะวันออกที่มณฑลไท่หยางซู จุดที่ข้าฝังเขาไว้คือเนินเขานอกหมู่บ้านที่มีต้นไม้ยืนต้นเดี่ยวอยู่ นอกจากนั้นยังมีของของพ่อเจ้า ที่ข้าฝากหัวหน้าหมู่บ้านเอาไว้ มันเป็นม้าคู่ใจของพ่อเจ้า และ ดาบ ของอีกฝ่าย หากเจ้าแข็งแกร่งพอให้เดินทางไปรับพวกมันด้วยละ รวมถึงไปเฝ้าหลุมศพพ่อเจ้าด้วย”

     

       จูหยงอันพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อบอกไปหมดแล้วหลินมู่ก็เดินจากไป พร้อมกับตะโกนบอกอีกฝ่ายว่าจะไปหาตนได้ที่ใด “หากเจ้าพร้อมท้าประลอง ให้เดินทางไปยังจวนตระกูลหลัวที่มณฑลซ่งหลุย ให้พวกเขาส่งข่าวให้ โดยปลายทางคือตระกูลไป๋ หรือไม่เจ้าก็เดินทางไปหาข้าเองที่ตระกูลไป๋”

    สิ้นเสียงร่างนั้นก็เดินหายไปแล้ว ทิ้งให้จูหยงอันยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่เดินมาถึงรถม้า เจ้าก้อนหินก็ทักทายอย่างเป็นมิตร “ท่านพร้อมเดินทางต่อแล้วใช่ไหม?" หลินมู่พยักหน้ากระโดดขึ้นรถม้า ปล่อยให้เจ้าก้อนหินคุมบังเหียน ค่อยๆควบคุมรถม้าวิ่งออกจากหมู่บ้านศิลานิล

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×