คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #104 : ตอนที่ 104 ข้าเป็นสหายของพ่อเจ้า
ชายหนุ่มนำถุงใส่น้ำแผ่นแป้งจี่และเนื้อแห้งออกมา ส่งให้เด็กสาวที่แม้จะหิวแค่ไหนก็ยังยิ้มแย้มได้ “ข้าขอโทษ ข้าลืมนึกไปเลยว่าไม่ได้ทิ้งอาหารหรือน้ำไว้ให้เจ้า”
ผิงฮวารับถุงใส่น้ำและแผ่นแป้งมาพร้อมคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไรท่านอาจารย์ ช้าอดทนได้” หลินมู่ได้แต่ยิ้มแห้งชายหนุ่มลูบศีรษะของนาง แล้วจึงหันไปมองเหล่าผู้รอดชีวิต ที่นอนเรี่ยราดราวกับปลาตากแห้ง
“พวกเจ้ารออะไรอีก เหตุใดจึงมิจากไป” เพียงประโยคสั่นๆเหล่าโจรต่างแสดงสีหน้าแปลกใจ แต่ไม่นานนักพวกเขาก็โค้งตัวก่อนจะค่อยๆจากไปทีละคนสองคน
เมื่อได้รับการอภัยโทษพวกเจ้าจึงรีบรับไว้ ไม่ประวิงเวลาอยู่แถวนี้อีก หนึ่งในจำนวนนั้นเดินมาหาหลินมู่พร้อมโค้งคำนับให้ชายหนุ่ม ก่อนจะพากันเดินทางจากไป
เหลือไว้เพียงชายหนุ่มกับเด็กสาวที่กำลังกินอาหารอยู่ ไม่นานนักผิงฮวาก็กลืนอาหารคำสุดท้ายลงกระเพาะ เมื่ออาหารตกถึงท้อง หนักตาของเด็กสาวก็คล้ายหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน
ชายหนุ่มนำกระบี่ดำมาแขวนไว้ที่เอวข้างซ้ายเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเด็กสาวผลอยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เขาก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขน เดินตรงออกจากป่า
ไม่มีอะไรต้องทำในที่แห่งนี้แล้ว นอกจากการตรงไปยังจวนสกุลหลัว ก็เหลือเพียงเรื่องค้างคาที่หมู่บ้านศิลานิล นอกจากนั้นก็เหลือเพียงเรื่องของเมืองหลิวบรรพต
การเดินทางมาตะวันตกก็จะสิ้นสุดลง แล้วจึงเดินทางกลับตะวันออกเพื่อพบอาจารย์ ที่ภูเขาสุดขอบตะวันออกแล้วจึงเดินทางย้อนกลับไปยังตระกูลไป๋
แผนในหัวของชายหนุ่มเริ่มเป็นรูปร่าง รู้ตัวอีกทีเขาก็ออกจากป่ามายืนบนถนนลูกรังเสียแล้ว ในระหว่างกำลังจะหยิบแผนที่ออกมาเพื่อดูว่าตนเองอยู่ที่ไหน
ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “เฮ้เจ้าหนุ่ม!! ทางนี้ทางนี้!!” หลินมู่หันไปมองอย่างสงสัย ก็พบกับรถม้าคันหนึ่งที่คนบังคับบังเหียนคือเจ้าก้อนหิน และ คนที่ตะโกนเรียกเขาคือสาวใหญ่ที่เคยต่อว่าเขาตอนบุกตีค่าย
“เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ ขึ้นมาสิพวกเราจะไปส่ง” หลินมู่ไม่พูดจาใดๆทำเพียงขึ้นรถม้า วางผิงฮวาลงให้นางได้นอนสงบๆ ก่อนจะนำแพนที่ออกมาให้เจ้าก้อนหินดู
“เจ้ารู้จักหมู่บ้านศิลานิลหรือไม่?” เขาพูดขึ้นพร้อมกางแผนที่ออก เจ้าก้อนหินและสาวๆบางส่วนเข้ามามุงดูแผนที่ ก่อนจะหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม “อืม ไม่ไกลมากหากตรงไปทางนี้แล้วเลี้ยวอีกนิดหน่อย ก็จะถึงในอีก 2 ชั่วยาม”
หลินมู่พยักหน้าแล้วกลับไปนั่งข้างผิงฮวา นำศีรษะของนางวางไว้บนตักของตน แล้วจึงเริ่มหลับตาพักผ่อน เหล่าสาวๆที่เห็นก็ซุบซิบอย่างสงสัย
“นี่ๆ เด็กคนนั้นใครอ่ะ ใช่คู่หมั่นหรือเปล่า” อีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับ “ข้าว่าไม่ใช่ ไม่ต้องพูดถึงคนรักเลยน่า เป็นน้องสาว หรือ ลูกสาวมากกว่า” หลายคนพยักหน้าให้กับความคิดนี้อย่างพร้อมเพรียง
“เน่! พวกเจ้าเลิกซุบซิบได้แล้วเดี๋ยวคนอื่นก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนพอดี” เป็นสาวใหญ่ท่านเดิมที่กล่าวขึ้น นางสูบไปป์ก่อนจะพ้นควันออกมา
พร้อมมองออกไปยังทิวทัศน์รอบข้าง เหล่าสาวๆที่ถูกเตือนก็กลับไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม โดยมีเจ้าก้อนหินน้อยคอยคุมม้าวิ่งไปตามทาง ร่างใต้เงามืดข้างทางมองรถม้าสักพัก ก่อนขึ้นพากันหายไปในป่า ผ่านไป 1 ชั่วยาม กับอีก 2 ก้านธูป
บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งค่ายชั่วคราวขนาดใหญ่ กลุ่มโจรที่รวมชนชั้นยอดพึ่งกลับมาถึง ก็พบว่าค่ายของพวกตนถูกเผาทำลายไม่เหลือชิ้นดี ซากศพเกลื่อนกลาดเลือดสีแดงย้อมดินจนแดงฉาน
“บัดซบ!! ใครมันกล้าดูหมิ่นข้าผู้นี้กัน!!” ผู้นำของพวกมันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ลมปราณระเบิดพวยพุ่งออกมา ทำลายซากปรักหักพังพัดซากศพให้ลอยออกไป “ผู้นำนั้นใช่ท่านหรือเปล่า!!”
เสียงตะโกนขึ้นอย่างแปลกใจดังออกมาจากป่า ผู้นำกองโจรพงไพรสายลมหันไปมองอย่างสงสัย ก็พบกับโจรกลุ่มหนึ่งที่บางคนแขนขาขาดพิกลพิการ บางคนก็ถูกทำลายลมปราณจนไม่เหลือสภาพ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า แล้วโต๋วเจิ่งอยู่ที่ใด?” มองเพียงแว๊บเดียวอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันที ว่าคนเหล่านี้มาจากกองโจรพิศดาร
ที่เขาทิ้งไว้ดูแลค่ายชั่วคราวแห่งนี้ พวกนั้นเมื่อได้ยินคำว่าโต๋วเจิ่งก็ก้มหน้าลงก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ท่านโต๋วเจิ่งตายแล้ว…” เมื่อได้ยินคำตอบแต่ละคนก็สูดลมหายใจดังเฮือก
นั้นคือโต๋วเจิ่งระดับการฝึกฝนเป็นอันดับแกนนำของกองโจรด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตกตายนี่มันบ้าแล้ว “แล้วใครเป็นคนบุกโจมตีพวกเรา” ผู้นำถามขึ้นพร้อมหรี่ตาเล็กลง
ปลดปล่อยลมปราณออกมาจากร่างกาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น คนเหล่านั้นที่เห็นโอกาสแก้แค้นหลินมู่ ก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“พวกเราไม่ทราบ แต่จากเส้นทางอีกฝ่ายมีเป้าหมายเป็นหมู่บ้านศิลานิล” เมื่อได้ยินชื่อหมู่บ้านศิลานิลดวงตาของอีกฝ่ายก็เปล่งประกาย
“ดี!ดี!! ดีจริงๆไอ้พวกไม่สำนึกบุญคุณ ไปรวมพี่น้องที่กระจายตัวมาให้หมด เราจะไปหมู่บ้านศิลานิล!!” สิ้นคำสั่งเหล่าชนชั้นยอดของค่ายก็ตอบรับ ยิงพลุสัญญาณขึ้นฟ้าเรียกรวมพลคนที่หลบหนีอยู่ภายในป่า
ไม่นานนักพวกที่รอดจากการกวาดล้างก็วิ่งออกมาจากป่า รวมตัวกันอย่างรวดเร็วนอกจากพวกที่หลินมู่ปล่อยไป ก็มีเพียงพวกที่ถูกตัดแขนตัดขา และ ถูกทำลายลมปราณเท่านั้นที่กลับมาเข้าร่วมกองโจร
พวกที่อยู่ครบสามสิบสองกลับไม่โผล่มาสักคน เมื่อไม่มีใครมาอีกผู้นำกองโจรพงไพรสายลม ก็ดึงดาบโค้งจากฟักชูขึ้นฟ้าพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันแข็งกร้าว “เดินทาง!! ไปยังหมู่บ้านศิลานิล!!”
สิ้นเสียงกองโจรร่วมหลายร้อยชีวิต พากันวิ่งออกจากค่ายไปตามถนนหนทางตรงไปยังหมู่บ้านศิลานิล อีกฝั่งหนึ่งเจ้าก้อนหินคุมรถม้าวิ่งผ่านหุบเขาเข้าไปด้านในหุบเขา
ไม่ถึงถ้วยชาก็เห็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในร่องเขาสีดำ เหล่าชาวบ้านพากันเดินออกมาจากบ้าน มองรถม้าอย่างสงสัย เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านร่างหนึ่งก็กระโดดลงจากรถม้า
เดินเข้าหาชาวบ้านด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาที่หมู่บ้านแห่งนี้” ชายชราในชุดคลุมเก่าๆใช้ไม้เท้ายืนพยุงตัว พูดคุยกับหลินมู่อย่างสงสัย
“ท่านคงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านกระมัง เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าบ้านของจอมยุทธ์ใหญ่จู คือหลังใด” เมื่อแต่ละคนได้ยินหลินมู่พูดถึงแซ่จู ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนสี หัวหน้าหมู่บ้านที่เคยแสดงสีหน้าสงสัย
ก็แสดงสีหน้าระมัดระวัง “เจ้าถามหาบ้านแซ่จูทำไม?" หัวหน้าหมู่บ้านถามคำถาม พร้อมกำไม้เท้าของตนแน่น
ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ ตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าเป็นสหายของจอมยุทธ์ใหญ่จู ข้านำคำสั่งเสียของเขากลับมาบอกที่บ้านของเขา” ทุกคนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่พูดสิ่งใด หัวหน้าหมู่บ้านมองหลินมู่ขึ้นลง
ก่อนจะชี้นิ้วไปยังบ้านหลังหนึ่งที่แทบจะอยู่หลังหมู่บ้าน “ขอบคุณอาวุโส” ชายหนุ่มป้องหมัดให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปภายในหมู่บ้าน ตรงไปยังบ้านที่เกือบจะอยู่ท้ายหมู่บ้านหลังนั้น
เมื่อมาถึงภายในลานบ้าน มีชายหนุ่มอายุราวๆ 15 ปี กำลังผ่าฟืนด้วยขวานเก่าๆ ใบหน้าคับคล้ายคับคลากับจอมยุทธ์ใหญ่หลายส่วน “เจ้าใช่จูหยงอันหรือไม่?” ในระหว่างที่เขายกขวานขึ้น เตรียมผ่าฟืนอีกท่อน
ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมา จนเขาต้องหยุดมือหันไปดูทางต้นเสียง ก็พบเป็นชายหนุ่มสะพายกระบี่สวมชุดคลุมฟ้า กำลังมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ใช่ข้าจูหยงอัน ว่าแต่ท่านเป็นใครแล้วทำไมจึงมาหาข้า” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเดินมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย พร้อมกับขวานขึ้นสนิมในมือของตน “ข้าหรือ? ข้าแซ่หลิน นามมู่ ข้าเป็นสหายของพ่อเจ้า ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งเสียงของเขา”
ความคิดเห็น