ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #104 : ตอนที่ 104 ข้าเป็นสหายของพ่อเจ้า

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 66


       ชายหนุ่มนำถุงใส่น้ำแผ่นแป้งจี่และเนื้อแห้งออกมา ส่งให้เด็กสาวที่แม้จะหิวแค่ไหนก็ยังยิ้มแย้มได้ “ข้าขอโทษ ข้าลืมนึกไปเลยว่าไม่ได้ทิ้งอาหารหรือน้ำไว้ให้เจ้า”

    ผิงฮวารับถุงใส่น้ำและแผ่นแป้งมาพร้อมคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไรท่านอาจารย์ ช้าอดทนได้” หลินมู่ได้แต่ยิ้มแห้งชายหนุ่มลูบศีรษะของนาง แล้วจึงหันไปมองเหล่าผู้รอดชีวิต ที่นอนเรี่ยราดราวกับปลาตากแห้ง

     

       “พวกเจ้ารออะไรอีก เหตุใดจึงมิจากไป” เพียงประโยคสั่นๆเหล่าโจรต่างแสดงสีหน้าแปลกใจ แต่ไม่นานนักพวกเขาก็โค้งตัวก่อนจะค่อยๆจากไปทีละคนสองคน 

    เมื่อได้รับการอภัยโทษพวกเจ้าจึงรีบรับไว้ ไม่ประวิงเวลาอยู่แถวนี้อีก หนึ่งในจำนวนนั้นเดินมาหาหลินมู่พร้อมโค้งคำนับให้ชายหนุ่ม ก่อนจะพากันเดินทางจากไป

     

       เหลือไว้เพียงชายหนุ่มกับเด็กสาวที่กำลังกินอาหารอยู่ ไม่นานนักผิงฮวาก็กลืนอาหารคำสุดท้ายลงกระเพาะ เมื่ออาหารตกถึงท้อง หนักตาของเด็กสาวก็คล้ายหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน

    ชายหนุ่มนำกระบี่ดำมาแขวนไว้ที่เอวข้างซ้ายเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเด็กสาวผลอยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เขาก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขน เดินตรงออกจากป่า

     

       ไม่มีอะไรต้องทำในที่แห่งนี้แล้ว นอกจากการตรงไปยังจวนสกุลหลัว ก็เหลือเพียงเรื่องค้างคาที่หมู่บ้านศิลานิล นอกจากนั้นก็เหลือเพียงเรื่องของเมืองหลิวบรรพต

    การเดินทางมาตะวันตกก็จะสิ้นสุดลง แล้วจึงเดินทางกลับตะวันออกเพื่อพบอาจารย์ ที่ภูเขาสุดขอบตะวันออกแล้วจึงเดินทางย้อนกลับไปยังตระกูลไป๋

     

       แผนในหัวของชายหนุ่มเริ่มเป็นรูปร่าง รู้ตัวอีกทีเขาก็ออกจากป่ามายืนบนถนนลูกรังเสียแล้ว ในระหว่างกำลังจะหยิบแผนที่ออกมาเพื่อดูว่าตนเองอยู่ที่ไหน

    ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “เฮ้เจ้าหนุ่ม!! ทางนี้ทางนี้!!” หลินมู่หันไปมองอย่างสงสัย ก็พบกับรถม้าคันหนึ่งที่คนบังคับบังเหียนคือเจ้าก้อนหิน และ คนที่ตะโกนเรียกเขาคือสาวใหญ่ที่เคยต่อว่าเขาตอนบุกตีค่าย

     

       “เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ ขึ้นมาสิพวกเราจะไปส่ง” หลินมู่ไม่พูดจาใดๆทำเพียงขึ้นรถม้า วางผิงฮวาลงให้นางได้นอนสงบๆ ก่อนจะนำแพนที่ออกมาให้เจ้าก้อนหินดู

    “เจ้ารู้จักหมู่บ้านศิลานิลหรือไม่?” เขาพูดขึ้นพร้อมกางแผนที่ออก เจ้าก้อนหินและสาวๆบางส่วนเข้ามามุงดูแผนที่ ก่อนจะหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม “อืม ไม่ไกลมากหากตรงไปทางนี้แล้วเลี้ยวอีกนิดหน่อย ก็จะถึงในอีก 2 ชั่วยาม”

     

       หลินมู่พยักหน้าแล้วกลับไปนั่งข้างผิงฮวา นำศีรษะของนางวางไว้บนตักของตน แล้วจึงเริ่มหลับตาพักผ่อน เหล่าสาวๆที่เห็นก็ซุบซิบอย่างสงสัย

    “นี่ๆ เด็กคนนั้นใครอ่ะ ใช่คู่หมั่นหรือเปล่า” อีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับ “ข้าว่าไม่ใช่ ไม่ต้องพูดถึงคนรักเลยน่า เป็นน้องสาว หรือ ลูกสาวมากกว่า” หลายคนพยักหน้าให้กับความคิดนี้อย่างพร้อมเพรียง

     

       “เน่! พวกเจ้าเลิกซุบซิบได้แล้วเดี๋ยวคนอื่นก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนพอดี” เป็นสาวใหญ่ท่านเดิมที่กล่าวขึ้น นางสูบไปป์ก่อนจะพ้นควันออกมา

    พร้อมมองออกไปยังทิวทัศน์รอบข้าง เหล่าสาวๆที่ถูกเตือนก็กลับไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม โดยมีเจ้าก้อนหินน้อยคอยคุมม้าวิ่งไปตามทาง ร่างใต้เงามืดข้างทางมองรถม้าสักพัก ก่อนขึ้นพากันหายไปในป่า ผ่านไป 1 ชั่วยาม กับอีก 2 ก้านธูป 

     

       บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งค่ายชั่วคราวขนาดใหญ่ กลุ่มโจรที่รวมชนชั้นยอดพึ่งกลับมาถึง ก็พบว่าค่ายของพวกตนถูกเผาทำลายไม่เหลือชิ้นดี ซากศพเกลื่อนกลาดเลือดสีแดงย้อมดินจนแดงฉาน 

    “บัดซบ!! ใครมันกล้าดูหมิ่นข้าผู้นี้กัน!!” ผู้นำของพวกมันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ลมปราณระเบิดพวยพุ่งออกมา ทำลายซากปรักหักพังพัดซากศพให้ลอยออกไป “ผู้นำนั้นใช่ท่านหรือเปล่า!!” 

     

       เสียงตะโกนขึ้นอย่างแปลกใจดังออกมาจากป่า ผู้นำกองโจรพงไพรสายลมหันไปมองอย่างสงสัย ก็พบกับโจรกลุ่มหนึ่งที่บางคนแขนขาขาดพิกลพิการ บางคนก็ถูกทำลายลมปราณจนไม่เหลือสภาพ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า แล้วโต๋วเจิ่งอยู่ที่ใด?” มองเพียงแว๊บเดียวอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันที ว่าคนเหล่านี้มาจากกองโจรพิศดาร

    ที่เขาทิ้งไว้ดูแลค่ายชั่วคราวแห่งนี้ พวกนั้นเมื่อได้ยินคำว่าโต๋วเจิ่งก็ก้มหน้าลงก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ท่านโต๋วเจิ่งตายแล้ว…” เมื่อได้ยินคำตอบแต่ละคนก็สูดลมหายใจดังเฮือก

     

       นั้นคือโต๋วเจิ่งระดับการฝึกฝนเป็นอันดับแกนนำของกองโจรด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตกตายนี่มันบ้าแล้ว “แล้วใครเป็นคนบุกโจมตีพวกเรา” ผู้นำถามขึ้นพร้อมหรี่ตาเล็กลง

    ปลดปล่อยลมปราณออกมาจากร่างกาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น คนเหล่านั้นที่เห็นโอกาสแก้แค้นหลินมู่ ก็รีบพูดขึ้นมาทันที

     

       “พวกเราไม่ทราบ แต่จากเส้นทางอีกฝ่ายมีเป้าหมายเป็นหมู่บ้านศิลานิล” เมื่อได้ยินชื่อหมู่บ้านศิลานิลดวงตาของอีกฝ่ายก็เปล่งประกาย 

    “ดี!ดี!! ดีจริงๆไอ้พวกไม่สำนึกบุญคุณ ไปรวมพี่น้องที่กระจายตัวมาให้หมด เราจะไปหมู่บ้านศิลานิล!!” สิ้นคำสั่งเหล่าชนชั้นยอดของค่ายก็ตอบรับ ยิงพลุสัญญาณขึ้นฟ้าเรียกรวมพลคนที่หลบหนีอยู่ภายในป่า

     

       ไม่นานนักพวกที่รอดจากการกวาดล้างก็วิ่งออกมาจากป่า รวมตัวกันอย่างรวดเร็วนอกจากพวกที่หลินมู่ปล่อยไป ก็มีเพียงพวกที่ถูกตัดแขนตัดขา และ ถูกทำลายลมปราณเท่านั้นที่กลับมาเข้าร่วมกองโจร

    พวกที่อยู่ครบสามสิบสองกลับไม่โผล่มาสักคน เมื่อไม่มีใครมาอีกผู้นำกองโจรพงไพรสายลม ก็ดึงดาบโค้งจากฟักชูขึ้นฟ้าพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันแข็งกร้าว “เดินทาง!! ไปยังหมู่บ้านศิลานิล!!”

     

       สิ้นเสียงกองโจรร่วมหลายร้อยชีวิต พากันวิ่งออกจากค่ายไปตามถนนหนทางตรงไปยังหมู่บ้านศิลานิล อีกฝั่งหนึ่งเจ้าก้อนหินคุมรถม้าวิ่งผ่านหุบเขาเข้าไปด้านในหุบเขา

    ไม่ถึงถ้วยชาก็เห็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในร่องเขาสีดำ เหล่าชาวบ้านพากันเดินออกมาจากบ้าน มองรถม้าอย่างสงสัย เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านร่างหนึ่งก็กระโดดลงจากรถม้า

     

       เดินเข้าหาชาวบ้านด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาที่หมู่บ้านแห่งนี้” ชายชราในชุดคลุมเก่าๆใช้ไม้เท้ายืนพยุงตัว พูดคุยกับหลินมู่อย่างสงสัย

    “ท่านคงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านกระมัง เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าบ้านของจอมยุทธ์ใหญ่จู คือหลังใด” เมื่อแต่ละคนได้ยินหลินมู่พูดถึงแซ่จู ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนสี หัวหน้าหมู่บ้านที่เคยแสดงสีหน้าสงสัย

     

      ก็แสดงสีหน้าระมัดระวัง “เจ้าถามหาบ้านแซ่จูทำไม?" หัวหน้าหมู่บ้านถามคำถาม พร้อมกำไม้เท้าของตนแน่น

    ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าสะพายกระบี่ ตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าเป็นสหายของจอมยุทธ์ใหญ่จู ข้านำคำสั่งเสียของเขากลับมาบอกที่บ้านของเขา” ทุกคนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่พูดสิ่งใด หัวหน้าหมู่บ้านมองหลินมู่ขึ้นลง

     

       ก่อนจะชี้นิ้วไปยังบ้านหลังหนึ่งที่แทบจะอยู่หลังหมู่บ้าน “ขอบคุณอาวุโส” ชายหนุ่มป้องหมัดให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปภายในหมู่บ้าน ตรงไปยังบ้านที่เกือบจะอยู่ท้ายหมู่บ้านหลังนั้น

    เมื่อมาถึงภายในลานบ้าน มีชายหนุ่มอายุราวๆ 15 ปี กำลังผ่าฟืนด้วยขวานเก่าๆ ใบหน้าคับคล้ายคับคลากับจอมยุทธ์ใหญ่หลายส่วน “เจ้าใช่จูหยงอันหรือไม่?” ในระหว่างที่เขายกขวานขึ้น เตรียมผ่าฟืนอีกท่อน

     

       ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมา จนเขาต้องหยุดมือหันไปดูทางต้นเสียง ก็พบเป็นชายหนุ่มสะพายกระบี่สวมชุดคลุมฟ้า กำลังมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มบางๆ

    “ใช่ข้าจูหยงอัน ว่าแต่ท่านเป็นใครแล้วทำไมจึงมาหาข้า” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเดินมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย พร้อมกับขวานขึ้นสนิมในมือของตน “ข้าหรือ? ข้าแซ่หลิน นามมู่ ข้าเป็นสหายของพ่อเจ้า ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งเสียงของเขา”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×