ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #102 : ตอนที่ 102 กวาดล้างค่ายโจร

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 66


       เหล่าโจรจากกองโจรพิศดารที่รอดชีวิต ต่างใบหน้าซีดเผือดหนังหัวชาหนึบ ความคิดขาดช่วงไปดื่อๆ นัยตาที่ปะปนไปด้วยความกลัวและความยำเกรง

    มองไปยังหลินมู่ที่ลงมือสังหารคนโดยไม่พูดสิ่งใด เฉกเช่นเดียวกับเหล่าคนที่เดินออกมา 5 ก้าว เหล่าคนจำนวนเกือบ 30 คน ที่เดินออกมา 4 ก้าว ก็กลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก

     

       ร่างกายสั่นเทาแข้งขาอ่อนปวกเปียก พวกเขามีความรู้สึกเหมือนว่าเคียวของยมทูต กำลังจ่อที่ลำคอของพวกตนพร้อมจะเก็บเกี่ยวชีวิตได้ทุกเมื่อ

    หลินมู่กวาดสายตาหันไปมองรอบตัว ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สา ราวกับคนที่ตนพึ่งตัดสินประหารไปไม่สลักสำคัญใดๆ  “ใครที่ก้าวออกมาน้อยกว่า 3 ก้าว ให้เดินออกมา”

     

       สิ้นเสียงเหล่าโจรที่กล้าๆกลัวๆ ก็ก้าวขาอันอ่อนแรงเดินออกมา หลินมู่ไม่พูดสิ่งใดทำเพียงผายมือบ่งบอกว่า พวกเจ้าไปรอตรงนั้นก่อน

    คนเหล่านั้นที่ได้รับการอภัยโทษอย่างไม่คาดคิด ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพากันเดินไปรวมตัวยังจุดๆหนึ่ง โดยนับทั้งสิ้นมีเพียง ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

     

       เมื่อจัดการอีกพวกเสร็จ ชายหนุ่มก็หันไปมองคนที่เหลือก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “ใครในนี้ละอายต่อฟ้าดิน บิดามารดา ให้เดินออกมา…” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม

    คนเหล่านั้นก็เงียบกริบสักพักก่อนจะมีกลุ่มหนึ่งเดินออกมา ด้วยใบหน้าปลงในชีวิตพวกเขายืนเรียงหน้ากระดาน ก่อนจะพากันคุกเข่าโดยไม่บอกไม่กล่าว

     

        ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยการตัดสินใจบางอย่าง หลินมู่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูงอย่างแปลกใจ “เพราะเหตุใด?” ชายหนุ่มถามออกมาเพราะสงสัยการกระทำครั้งนี้

    หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นที่คล้ายจะเป็นตัวแทน เงยหน้าประสานสายตากับหลินมู่พร้อมกับพูดออกมา “อาวุโส พวกผู้น้อยไม่แย้งว่าตนบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันพวกเราก็ละอายใจต่อฟ้าดิน บิดามารดาอันแก่ชราของพวกเรา.…การกระทำของพวกเราไม่ควรค่าแก่การใช้อภัย หวังว่าอาวุโสจะปราณี”

     

       ดวงตาของหลินมู่คล้ายจะเปล่งประกายขึ้นมา แต่ก็กลับไปนิ่งสงบเช่นเดิม ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เพื่อเป็นการลงโทษ ข้าจะทำลายตบะของพวกเจ้าครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ตามข้าไปยังค่ายของกองโจรพงไพรสายลม เป็นอย่างไร?”

    คนเหล่านั้นที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลินมู่ หันมองหน้ากันและกันอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะหันหน้ามาตอบอย่างพร้อมเพรียง “พวกเราเห็นด้วย” หลินมู่พยักหน้าควบคุมจิตกระบี่ พุ่งออกไปทำลายตบะลมปราณของแต่ละคนครึ่งหนึ่ง

     

       คนเหล่านั้นที่ตบะถูกทำลายก็กระอักเลือดสีแดงสด ใบหน้าซีดเซียวไร้พลังชีวิต แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มดีใจที่ตนยังรอดชีวิต “หลังจากจบเรื่องนี้ หากพวกเจ้าละอายใจจริง ก็กลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ของเจ้าเสีย…..หากสิ่งที่พวกเจ้าพล่ามออกมานั้นเป็นเรื่องหลอกลวง ข้าคงได้แต่โทษตนเองที่อ่อนต่อโลกหลงเชื่อพวกเจ้า แต่หากข้าจับได้จะไม่มีโอกาสที่สองอีก”

    ทุกคนที่คุกเข่าอยู่แสดงใบหน้าเคร่งขรึม ก้มลงโขกหัวให้หลินมู่อย่างพร้อมเพรียง “ขอพระคุณผู้อาวุโสที่เมตตา พวกเราที่ได้รับโอกาสในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงตนเอง!!”

     

       หลินมู่ไม่พูดสิ่งใดก่อนจะกวาดตามองไปยัง คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

    เขาไม่พูดจาสิ่งใดปลดปล่อยจิตกระบี่ออกไปทันที บางคนถูกสังหารบางคนพิการบางคนถูกทำลายตบะ ปะปนกันไปพริบตาเดียว จำนวนคนที่ยืนอยู่ก็เหลือจำนวนไม่ถึงครึ่ง

     

       “พวกเจ้าที่เหลืออยู่ ข้าไม่หวังให้พวกเจ้าเปลี่ยนตนเองใดๆ แต่หากยังคงยึดมั่นในจิตใจอันชั่วช้า ข้าก็ไม่รังเกียจออกกระบี่สังหารพวกเจ้า ข้าจะไปกับคนเหล่านี้เพื่อกวาดล้างค่ายของกองโจรพงไพรสายลม หากเมื่อข้ากลับมากองศพยังไม่ถูกเผา และ ไม่พบเงาของพวกเจ้าสักคน ข้าจะถือว่าพวกเจ้าหนีไปแล้ว ไม่ต้องห่วงข้าไม่ถือโกรธพวกเจ้า หวังว่าสหายของเจ้าในปรโลกจะยกโทษให้เช่นกัน” 

    พูดจบชายหนุ่มก็โบกมือบอกให้กลุ่มคนบางส่วน นำทางตนไปยังค่ายของพวกเขา ก่อนจะจากไปหลินมู่ก็ปลดกระบี่เฮ่ยซานออก ส่งให้ผิงฮวาเป็นคนถือไว้ก่อน

     

       เขากำชับกับเด็กสาวว่าให้มองดูคนเหล่านี้เอาไว้ หากใครหนีก็ไม่ต้องทำสิ่งใดทำเป็นมองไม่เห็น หากใครโจมตีเจ้าก็ให้ศิษย์พี่หลัวเป็นคนปกป้อง เขาไม่คิดจะพาเด็กสาวไปด้วย 

    เพราะการกวาดล้างครั้งนี้จะไม่มีความปราณีใดๆทั้งสิ้น พบหนึ่งก็สังหารหนึ่ง มันจะนองเลือดเสียยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก กำชับเด็กสาวเสร็จเขาก็จากไปพร้อมคนจำนวนหนึ่ง เหล่าโจรที่รอดชีวิตหลังจากหลินมู่จากไป

     

       พวกเขาก็เริ่มทำงานของตน แม้จะโกรธแค้นแต่ก็ไม่กล้าหืออือ ภายในป่าร่างหลายร่างกระโดดไปตามกิ่งไม้ หลินมู่ที่อยู่รั้งท้าย กำลังขบคิดกับตนเองอย่างเงียบงัน เขาไม่เห็นร่างของมือเกาทัณฑ์ทมิฬผู้นั้นเลย 

    แม้แต่ร่างของโต๋วเจิ่ง เขาละสายตาเพียงชั่วครู่ก็หายไป คาดว่ามือเกาทัณฑ์ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่การที่อีกฝ่ายไม่คิดจะต่อสู้ต่อ ก็มากพอจะไม่ให้เขาไล่สังหารอีกฝ่าย 

     

       แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้คำตอบ อีกฝ่ายทำเช่นไรจึงหลุดพ้นจากการควบคุม ปลุกตื่นสติปัญญากลายตัวตนที่หายากแม้ในหมู่ผีดิบ ในอนาคตอันใกล้ขอเพียงมีเวลา อีกฝ่ายก็จะสามารถไปถึงแม่ทัพผีดิบ หรือ กระทั่งราชาผีดิบ 

    หลินมู่หวังว่าจะไม่ได้เจอกับอีกฝ่ายอีกครั้ง หากพบเจอกันอีกเขาก็ทำได้เพียง กำจัดสิ่งชั่งร้ายเพื่อปุถุชนคนธรรมดา 

     

       ในขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงโตกำลังลับขอบฟ้า ดวงจันทร์เต็มดวงทั้งสามกำลังลอยขึ้นฟากฟ้า หลินมู่และคนจำนวนหนึ่งก็มาถึงยังค่ายของกองโจรพงไพรสายลม

    ชายหนุ่มสาดส่องสายตาใช้จิตสัมผัส สำรวจทั่วทั้งบริเวณค่าย ก่อนใบหน้าจะเริ่มมืดมนลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เขาขยับมือควบคุมให้ตงหยูบินออกจากฟัก 

     

       พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้าคอยสกัดคนที่หนีออกมา ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง หากสกัดไม่ได้ก็ปล่อยไป ข้าจะเก็บตกทีหลังเอง”

    พูดจบร่างในชุดคลุมฟ้าก็พุ่งตรงไปยังค่ายโจรด้วยความเร็วสูง ผมยาวสีดำโบกสะบัดราวกับผ้าคลุมของมัจจุราช หนึ่งในยามที่อยู่บนหอคอยสังเกตเห็นสิ่งปกติ

     

        ก็รีบหยิบไม้ขึ้นมาเตรียมตีระฆังแจ้งเตือน แต่สายเกินไปคมกระบี่กุดศีรษะของอีกฝ่ายหลุดจากบ่า โจรที่อยู่อยู่ใต้ประตูเห็นภาพนี้อย่างบังเอิญ

    ก็เตรียมตะโกนออกมาแต่ลำคอกลับมี มีดสั้นพุ่งมาทะลุลำคอเก็บเกี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายไป “ศัตรูบุก!!” เพียงไม่กี่พริบตาสองชีวิตก็ถูกเก็บเกี่ยว หลินมู่ที่มีใบหน้ามืดครึ้ม ยืนตรงถือกระบี่กลับหัว มองต่ำลงไปยังโจรหลายร้อยชีวิตด้านล่าง ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×