คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10 ขบวนเดินทางไกล
เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ผ่านมาแล้วสามวัน ขบวนรถม้าตระกูลไป๋รวมตัวกันยังลานกว้างหินอ่อนสีขาว
เหล่าคนหนุ่มสาวกำลังตื่นเต้นกับการออกไปเก็บประสบการณ์ แต่ที่ตื่นเต้นไม่แพ้พวกเขาเลยก็คือเหล่าคนหนุ่มสาวจากยุคศิวิไลซ์
คนกลุ่มแรกเกิดมาในยุคที่ความแข็งแกร่งคือที่สุด พวกเขาจึงมักมีนิสัยที่ขัดเกลามาอย่างดีเพื่อเอาตัวรอดในที่แห่งนี้
แต่สำหรับกลุ่มหลังพวกเขาเกิดมาในยุคสมัยที่สงบสุข แม้จะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น มันก็มักจะอยู่ไกลตัวพวกเขา
คนกลุ่มหลังจึงไม่เข้าใจคำว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กเท่าไหร่นัก การเก็บประสบการณ์ด้านนอกครั้งนี้
จะเป็นสิ่งที่ใช้ขัดเกลาพวกเขา ไม่รู้ว่าระหว่างทางจะพบเจอกับอะไรบ้าง อาจจะถึงฆาตหรือขั้นนอนเป็นผักอยู่หลายเดือนก็เป็นไปได้
ขบวนเดินทางเก็บประสบการณ์ครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นมาโดยไป๋หยุนเฉิน ตำแหน่งแต่ละคนจึงถูกระบุมาอย่างแน่ชัดว่าอยู่จุดใด
หลินมู่ก็ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งปลอดภัยไปโดยปริยาย และยากจะหลบหนีหรือจะเล่นตุกติกใดๆ
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอาศัยระหว่างเดินทางไกล เพื่อหลบหนีออกจากขบวนเดินทาง
เพราะเขาไม่รู้ว่าด้านนอกนั้นมีสิ่งใดรอเขาอยู่กันแน่ เป็นตายขึ้นอยู่กับการย้อนกลับมายังหุบเขาเมฆาหลังเก็บประสบการณ์
นอกจากหลินมู่แล้วคนอื่นๆก็กลายเป็นผู้ฝึกหัดแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะการพัฒนาของไป๋เทียมันน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก
เขาพึ่งรู้ข่าวเมื่อเช้าว่าไป๋เทียพึ่งกลายเป็นเยี่ยมยุทธ์ มันสร้างความตกตะลึงให้หลายคนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลินมู่
ตอนแรกที่ได้ยินข่าวเขาทำได้แต่ถอนหายใจพร้อมตัดพ้อกับตนเอง เหตุไฉนคนอื่นจึงสามารถเปลี่ยนแต่เขาไม่
ตลอดสามวันที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปเหยียบห้องศึกษาเลย เอาแต่เก็บตัวเงียบคิดหาทางรอดชีวิตกับตนเอง
หลังจากคืนนั้นภายในตระกูลไป๋ไม่ได้มีข่าวคราวใดๆหลุดลอดออกมา บรรยากาศทุกอย่างยังคงปกติ นอกจากสายตางุนงงของแต่ละคน
ที่มองหลินมู่เชิงคำถามว่าชุดคลุมเมฆาของเจ้าไปไหนแล้ว? นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ใช้เวลาไม่นานนักทุกคนก็เตรียมตัวเสร็จ หัวหน้านำขบวนเดินทางไกลครั้งนี้มีนามว่าไป๋หยงซุน
เขาคือมือดาบขี้เหล้าที่หลินมู่เจอเมื่อมาถึงตระกูลไป๋วันแรก เขาพึ่งมารู้วันนี้เองว่าอีกฝ่ายก็เป็นอาวุโสเช่นกัน
ตำแหน่งอาวุโสเหลียงคือลำดับ 9 อยู่ในเกณฑ์ต่ำค่อนไปกลางๆ แต่สำหรับไป๋หยงซุนคืออาวุโสลำดับ 1 เขาคือ ราชายุทธ์ ที่ห่างจาก ราชันย์ยุทธ์ เพียงหนึ่งก้าว
หากไม่มีอะไรผิดพลาดในอีกไม่กี่ปีนี้ ไป๋หยงซุนจะกลายเป็นอาวุโสใหญ่คนที่ห้าของตระกูลไป๋แน่นอน
หลินมู่ได้แต่คร่ำครวญกับสวรรค์เงียบๆ ว่าเหตุใดไป๋หยุนเฉินจึงเพ่งเล็งตนนัก
ทางด้านไป๋หยงซุนกำลังเอนตัวนอนกระเดือกเหล้าในน้ำเต้า ก็เหลือบมองหลินมู่ในรถม้าด้วยสายตาขบคิด
“จะบอกว่าคล้ายก็คล้าย ราวกับเห็นนายน้อยไป๋มู่คืนชีพเลย…” ไป๋หยงซุนพึมพำกับตนเองเบาๆ
เมื่ออีกฝ่ายมาถึงหุบเขาเมฆาก็ได้ไปเยี่ยมมาแล้ว ได้แต่คิดว่าคล้ายมากพอหลายวันก่อนไป๋หยุนเฉินเรียกตนไปหา
และเล่าสถานการณ์ที่หลินมู่ไปหาตนให้ฟัง ก็ไม่ได้ที่เขาจะโพล่งออกมาว่าผีชัดๆ
การกระทำการวางตัวราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ราวกับเป็นนายน้อยไป๋มู่ที่ตายไปเมื่อ 30 ปีก่อน
ไป๋หยงซุนเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่พรรคมารบุกทำลายเมืองการค้า ภายใต้ตระกูลไป๋อย่างกระทันหัน
เมื่อตระกูลไป๋ตอบสนองได้ทันก็สายไปแล้ว เมืองการค้านั้นถูกกวาดล้างสภาพเมืองราวกับโรงฆ่าสัตว์
ซากศพกลาดเกลื่อนโลหิตไหลรวมกันจนเป็นบ่อน้ำ เศษอวัยวะชิ้นส่วนร่างกายหล่นไปทั่วพื้น
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความอับอายให้ตระกูลไป๋เป็นอย่างมาก แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกผิดของไป๋หยุนเฉินที่จวบจนปัจจุบันยังไม่อาจคลี่คลายจากภายในใจ
สภาพศพของนายน้อยไป๋มู่ในตอนนั้นค่อนข้างแปลก ร่างกายครบถ้วนแต่ก็ไม่ได้ไร้บาดแผลซะสมบูรณ์
ร่างกายส่วนใหญ่ครบสมบูรณ์เหมือนไม่ได้ผ่านศึกเป็นตายมาก่อน ทำให้เขาสงสัยว่านายน้อยไป๋มู่ที่เป็นคนธรรมดา เหตุใดจึงมีบาดแผลน้อยนัก ที่แปลกกว่านั้นคือจุดที่พบร่างของนายน้อย
คือใจกลางแอ่งโลหิตที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอัปมงคลออกมา แม้จะมีความสงสัยอยู่เต็มอกไป๋หยงซุนก็ไม่คิดจะสืบเสาะต่อ
เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังครั้งนี้น่าจะเป็นจอมมารจากเขาร้อยอสูร ซึ่งมันมีความเป็นไปได้อย่างมาก
นอกจากจอมมารแล้วก็มีไม่กี่คนที่มีอำนาจในพรรคมารมากพอ จะออกคำสั่งให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ชั่วร้ายเหล่านั้น
ยกโขยงมาถล่มเมืองการค้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความบกพร่องของตระกูลไป๋ก็ได้ ที่ไม่อาจรับรู้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของพวกพรรคมาร
คิดไปคิดมาก็หนักหัวไป๋หยงซุนดื่มเหล้าดับความทุกข์ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ออกเดินทางได้
“ขึ้นเหนือเยื้องไปตะวันออกตรงไปยังมณฑลไท่หยางซู เป้าหมายหุบเขาสำเร็จมาร!!” สิ้นเสียงของไป๋หยงซุน
ขบวนรถม้าหลายสิบก็เดินขบวนออกจากหุบเขาเมฆา ภายใต้การจ้องมองของไป๋หยุนเฉินบนภูเขาที่สูงที่สุดของหุบเขาเมฆา
ด้านข้างเขาคือผีเสื้อขนาดมหึมาขนาดเท่ากับช้างตัวเขื่องๆ ลำตัวสีฟ้าอ่อนสลับสีขาวดุจเมฆขาว
ปีกโปร่งใสราวกับไม่มีอยู่จริงกำลังกระพือเล็กน้อย มันคือผีเสื้อเมฆาขาวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไป๋
“ขอให้เดินทางราบรื่น….” ไป๋หยุนเฉินพึมพำก่อนจะหันไปจ้องดวงตาสีฟ้าขุ่นที่ดูโง่งมของผีเสื้อเมฆาขาว
“เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยตั่งแต่เด็กจนข้าโต เจ้าก็ตัวใหญ่ขึ้นอีกน่าอิจฉาอายุขัยเจ้าจริงๆ”
ไป๋หยุนเฉินพูดคุยกับผีเสื้อเมฆาขาว ตัวผีเสื้อเองก็คล้ายจะเข้าใจภาษามนุษย์ มันส่งเสียงราวกับขลุ่ยใบไม้
คล้ายจะพูดประมาณว่าเจ้าโทษข้ามิได้ ใครให้มนุษย์อย่างพวกเจ้าอายุขัยสั่นกันล่ะ
และคล้ายไป๋หยุนเฉินจะเข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อ เขาหัวเราะอย่างมีความสุข “ก็จริงมนุษย์นั้นอายุขัยแสนสั้น หากอยากอยู่อย่างเป็นอมตะต้องเดินไปจนถึงปลายทางแห่งวรยุทธ์แห่งการฝึกฝน เพื่อไขว่คว้าชีวิตอมตะ”
ไป๋หยุนเฉินพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้ม สายลมบนภูเขาพัดผ่านร่างของชายชราทำให้ชุดคลุมเมฆสีครามโบกสะบัดไปมา
ราวกับภาพของเทพเซียนบนเขากำลังเหลือบมองใต้หล้า เฝ้ามองวัฏจักรของปุถุชนและความเป็นไปได้
“วันนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ข้ามีหลายเรื่องที่อยากเล่าให้เจ้าฟังเลยล่ะ เจ้าว่าเขาคล้ายไป๋มู่ไหม?”
ผีเสื้อเมฆาขาวขยับหนวดทั้งสองเส้นบนหัวของมันประมาณว่า คล้ายมากราวกับคนเดียวกัน
“งั้นหรอ ไม่ใช่ข้าคนเดียวสินะที่คิดเช่นนั้น” ไป๋หยุนเฉินพูดอย่างอารมณ์ดี ไม่เพียงแค่ไป๋หยุนเฉินคิดว่าคล้าย
แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ในตระกูลหรือคนระดับสูง ที่ยังคงจำไป๋มู่ได้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคล้ายมาก ราวกับหลินมู่คือไป๋มู่กลับชาติมาเกิด ต่างเพียงแซ่เท่านั้นที่เปลี่ยนไปนอกจากนั้นคล้ายเกือบหมด
หนึ่งผีเสื้อหนึ่งชายชราพูดคุยกันถึงแม้จะเป็นฝ่ายชายชราที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม ด้านนอกหุบเขาเมฆา
ในขบวนรถม้าหลินมู่ที่นั่งขบคิดกับตนเองเงียบๆ เขาคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
ตบะฝึกฝนลมปราณก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไปอาจจะแย่กว่าคนทั่วไปเล็กน้อย
หากเจอสถานการณ์ชุลมุนสุ่มเสี่ยงเข้า ถ้าไม่อยากตายก็ต้องนั่งโง่ๆในรถม้า
ถ้าอยากจะทอยเต๋ากับโชคชะตาแขวนชีวิตตนเองไว้กับดวง นั้นคือการกระทำที่หลินมู่ไม่อยากจะทำซักเท่าไหร่
คงมีแต่รอให้การเก็บประสบการณ์ครั้งนี้จบลง แล้วจึงรอให้ไป๋หยุนเฉินตัดสินตนทีหลัง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ สถานการณ์นี้ราวกับเงื่อนตายที่เขาแก้ไม่ได้
ต้องปล่อยให้โชคชะตาตัดสิน ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น นี้คือสภาพของหลินมู่ตอนนี้
ว่าหนึ่งในหมื่นความเป็นไปได้นั้นจะมีอะไรที่ยิ่งกว่าเงื่อนตายรอเขาอยู่รึป่าว
นอกจากนั้นเขายังไม่ด้วยซ้ำว่ามารดาของไป๋หลานหลงกำลังยืมดาบสังหารคน นางเป่าหูบุตรชายของนางให้สังหารตนที่หุบเขาสำเร็จมาร
พูดได้แค่ว่าเส้นทางของหลินมู่ต้องบุกฝ่าพันภูผาหมื่นวารี ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจประสบความสำเร็จหรือรอดชีวิต
เขายังอยากจะกลับไปฝั่งนั้น กลับไปหาพ่อแม่และน้องสาวที่ยังรอตนอยู่ เขาไม่ยอมแพ้หรอก
ความคิดเห็น