ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10 ขบวนเดินทางไกล

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 65


       เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ผ่านมาแล้วสามวัน ขบวนรถม้าตระกูลไป๋รวมตัวกันยังลานกว้างหินอ่อนสีขาว

    เหล่าคนหนุ่มสาวกำลังตื่นเต้นกับการออกไปเก็บประสบการณ์ แต่ที่ตื่นเต้นไม่แพ้พวกเขาเลยก็คือเหล่าคนหนุ่มสาวจากยุคศิวิไลซ์

     

       คนกลุ่มแรกเกิดมาในยุคที่ความแข็งแกร่งคือที่สุด พวกเขาจึงมักมีนิสัยที่ขัดเกลามาอย่างดีเพื่อเอาตัวรอดในที่แห่งนี้

    แต่สำหรับกลุ่มหลังพวกเขาเกิดมาในยุคสมัยที่สงบสุข แม้จะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น มันก็มักจะอยู่ไกลตัวพวกเขา

     

       คนกลุ่มหลังจึงไม่เข้าใจคำว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กเท่าไหร่นัก การเก็บประสบการณ์ด้านนอกครั้งนี้

    จะเป็นสิ่งที่ใช้ขัดเกลาพวกเขา ไม่รู้ว่าระหว่างทางจะพบเจอกับอะไรบ้าง อาจจะถึงฆาตหรือขั้นนอนเป็นผักอยู่หลายเดือนก็เป็นไปได้

     

       ขบวนเดินทางเก็บประสบการณ์ครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นมาโดยไป๋หยุนเฉิน ตำแหน่งแต่ละคนจึงถูกระบุมาอย่างแน่ชัดว่าอยู่จุดใด

    หลินมู่ก็ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งปลอดภัยไปโดยปริยาย และยากจะหลบหนีหรือจะเล่นตุกติกใดๆ

     

       เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอาศัยระหว่างเดินทางไกล เพื่อหลบหนีออกจากขบวนเดินทาง

    เพราะเขาไม่รู้ว่าด้านนอกนั้นมีสิ่งใดรอเขาอยู่กันแน่ เป็นตายขึ้นอยู่กับการย้อนกลับมายังหุบเขาเมฆาหลังเก็บประสบการณ์

     

       นอกจากหลินมู่แล้วคนอื่นๆก็กลายเป็นผู้ฝึกหัดแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะการพัฒนาของไป๋เทียมันน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

    เขาพึ่งรู้ข่าวเมื่อเช้าว่าไป๋เทียพึ่งกลายเป็นเยี่ยมยุทธ์ มันสร้างความตกตะลึงให้หลายคนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลินมู่

     

       ตอนแรกที่ได้ยินข่าวเขาทำได้แต่ถอนหายใจพร้อมตัดพ้อกับตนเอง เหตุไฉนคนอื่นจึงสามารถเปลี่ยนแต่เขาไม่

    ตลอดสามวันที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปเหยียบห้องศึกษาเลย เอาแต่เก็บตัวเงียบคิดหาทางรอดชีวิตกับตนเอง

     

       หลังจากคืนนั้นภายในตระกูลไป๋ไม่ได้มีข่าวคราวใดๆหลุดลอดออกมา บรรยากาศทุกอย่างยังคงปกติ นอกจากสายตางุนงงของแต่ละคน

    ที่มองหลินมู่เชิงคำถามว่าชุดคลุมเมฆาของเจ้าไปไหนแล้ว? นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก

     

       ใช้เวลาไม่นานนักทุกคนก็เตรียมตัวเสร็จ หัวหน้านำขบวนเดินทางไกลครั้งนี้มีนามว่าไป๋หยงซุน

    เขาคือมือดาบขี้เหล้าที่หลินมู่เจอเมื่อมาถึงตระกูลไป๋วันแรก เขาพึ่งมารู้วันนี้เองว่าอีกฝ่ายก็เป็นอาวุโสเช่นกัน

     

       ตำแหน่งอาวุโสเหลียงคือลำดับ 9 อยู่ในเกณฑ์ต่ำค่อนไปกลางๆ แต่สำหรับไป๋หยงซุนคืออาวุโสลำดับ 1 เขาคือ ราชายุทธ์ ที่ห่างจาก ราชันย์ยุทธ์ เพียงหนึ่งก้าว

    หากไม่มีอะไรผิดพลาดในอีกไม่กี่ปีนี้ ไป๋หยงซุนจะกลายเป็นอาวุโสใหญ่คนที่ห้าของตระกูลไป๋แน่นอน

     

       หลินมู่ได้แต่คร่ำครวญกับสวรรค์เงียบๆ ว่าเหตุใดไป๋หยุนเฉินจึงเพ่งเล็งตนนัก

    ทางด้านไป๋หยงซุนกำลังเอนตัวนอนกระเดือกเหล้าในน้ำเต้า ก็เหลือบมองหลินมู่ในรถม้าด้วยสายตาขบคิด

     

       “จะบอกว่าคล้ายก็คล้าย ราวกับเห็นนายน้อยไป๋มู่คืนชีพเลย…” ไป๋หยงซุนพึมพำกับตนเองเบาๆ

    เมื่ออีกฝ่ายมาถึงหุบเขาเมฆาก็ได้ไปเยี่ยมมาแล้ว ได้แต่คิดว่าคล้ายมากพอหลายวันก่อนไป๋หยุนเฉินเรียกตนไปหา

     

       และเล่าสถานการณ์ที่หลินมู่ไปหาตนให้ฟัง ก็ไม่ได้ที่เขาจะโพล่งออกมาว่าผีชัดๆ

    การกระทำการวางตัวราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ราวกับเป็นนายน้อยไป๋มู่ที่ตายไปเมื่อ 30 ปีก่อน

     

       ไป๋หยงซุนเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่พรรคมารบุกทำลายเมืองการค้า ภายใต้ตระกูลไป๋อย่างกระทันหัน

    เมื่อตระกูลไป๋ตอบสนองได้ทันก็สายไปแล้ว เมืองการค้านั้นถูกกวาดล้างสภาพเมืองราวกับโรงฆ่าสัตว์

     

       ซากศพกลาดเกลื่อนโลหิตไหลรวมกันจนเป็นบ่อน้ำ เศษอวัยวะชิ้นส่วนร่างกายหล่นไปทั่วพื้น

    เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความอับอายให้ตระกูลไป๋เป็นอย่างมาก แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกผิดของไป๋หยุนเฉินที่จวบจนปัจจุบันยังไม่อาจคลี่คลายจากภายในใจ

     

       สภาพศพของนายน้อยไป๋มู่ในตอนนั้นค่อนข้างแปลก ร่างกายครบถ้วนแต่ก็ไม่ได้ไร้บาดแผลซะสมบูรณ์

    ร่างกายส่วนใหญ่ครบสมบูรณ์เหมือนไม่ได้ผ่านศึกเป็นตายมาก่อน ทำให้เขาสงสัยว่านายน้อยไป๋มู่ที่เป็นคนธรรมดา เหตุใดจึงมีบาดแผลน้อยนัก ที่แปลกกว่านั้นคือจุดที่พบร่างของนายน้อย

     

       คือใจกลางแอ่งโลหิตที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอัปมงคลออกมา แม้จะมีความสงสัยอยู่เต็มอกไป๋หยงซุนก็ไม่คิดจะสืบเสาะต่อ

    เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังครั้งนี้น่าจะเป็นจอมมารจากเขาร้อยอสูร ซึ่งมันมีความเป็นไปได้อย่างมาก

     

       นอกจากจอมมารแล้วก็มีไม่กี่คนที่มีอำนาจในพรรคมารมากพอ จะออกคำสั่งให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ชั่วร้ายเหล่านั้น 

    ยกโขยงมาถล่มเมืองการค้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความบกพร่องของตระกูลไป๋ก็ได้ ที่ไม่อาจรับรู้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของพวกพรรคมาร

     

       คิดไปคิดมาก็หนักหัวไป๋หยงซุนดื่มเหล้าดับความทุกข์ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ออกเดินทางได้

    “ขึ้นเหนือเยื้องไปตะวันออกตรงไปยังมณฑลไท่หยางซู เป้าหมายหุบเขาสำเร็จมาร!!” สิ้นเสียงของไป๋หยงซุน

     

       ขบวนรถม้าหลายสิบก็เดินขบวนออกจากหุบเขาเมฆา ภายใต้การจ้องมองของไป๋หยุนเฉินบนภูเขาที่สูงที่สุดของหุบเขาเมฆา

    ด้านข้างเขาคือผีเสื้อขนาดมหึมาขนาดเท่ากับช้างตัวเขื่องๆ ลำตัวสีฟ้าอ่อนสลับสีขาวดุจเมฆขาว

     

       ปีกโปร่งใสราวกับไม่มีอยู่จริงกำลังกระพือเล็กน้อย มันคือผีเสื้อเมฆาขาวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไป๋

    “ขอให้เดินทางราบรื่น….” ไป๋หยุนเฉินพึมพำก่อนจะหันไปจ้องดวงตาสีฟ้าขุ่นที่ดูโง่งมของผีเสื้อเมฆาขาว

     

       “เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยตั่งแต่เด็กจนข้าโต เจ้าก็ตัวใหญ่ขึ้นอีกน่าอิจฉาอายุขัยเจ้าจริงๆ”

    ไป๋หยุนเฉินพูดคุยกับผีเสื้อเมฆาขาว ตัวผีเสื้อเองก็คล้ายจะเข้าใจภาษามนุษย์ มันส่งเสียงราวกับขลุ่ยใบไม้

     

       คล้ายจะพูดประมาณว่าเจ้าโทษข้ามิได้ ใครให้มนุษย์อย่างพวกเจ้าอายุขัยสั่นกันล่ะ

    และคล้ายไป๋หยุนเฉินจะเข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อ เขาหัวเราะอย่างมีความสุข “ก็จริงมนุษย์นั้นอายุขัยแสนสั้น หากอยากอยู่อย่างเป็นอมตะต้องเดินไปจนถึงปลายทางแห่งวรยุทธ์แห่งการฝึกฝน เพื่อไขว่คว้าชีวิตอมตะ”

     

       ไป๋หยุนเฉินพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้ม สายลมบนภูเขาพัดผ่านร่างของชายชราทำให้ชุดคลุมเมฆสีครามโบกสะบัดไปมา

    ราวกับภาพของเทพเซียนบนเขากำลังเหลือบมองใต้หล้า เฝ้ามองวัฏจักรของปุถุชนและความเป็นไปได้

     

       “วันนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ข้ามีหลายเรื่องที่อยากเล่าให้เจ้าฟังเลยล่ะ เจ้าว่าเขาคล้ายไป๋มู่ไหม?”

    ผีเสื้อเมฆาขาวขยับหนวดทั้งสองเส้นบนหัวของมันประมาณว่า คล้ายมากราวกับคนเดียวกัน

     

        “งั้นหรอ ไม่ใช่ข้าคนเดียวสินะที่คิดเช่นนั้น” ไป๋หยุนเฉินพูดอย่างอารมณ์ดี ไม่เพียงแค่ไป๋หยุนเฉินคิดว่าคล้าย

    แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ในตระกูลหรือคนระดับสูง ที่ยังคงจำไป๋มู่ได้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคล้ายมาก ราวกับหลินมู่คือไป๋มู่กลับชาติมาเกิด ต่างเพียงแซ่เท่านั้นที่เปลี่ยนไปนอกจากนั้นคล้ายเกือบหมด

     

       หนึ่งผีเสื้อหนึ่งชายชราพูดคุยกันถึงแม้จะเป็นฝ่ายชายชราที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม ด้านนอกหุบเขาเมฆา

    ในขบวนรถม้าหลินมู่ที่นั่งขบคิดกับตนเองเงียบๆ เขาคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

     

       ตบะฝึกฝนลมปราณก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไปอาจจะแย่กว่าคนทั่วไปเล็กน้อย

    หากเจอสถานการณ์ชุลมุนสุ่มเสี่ยงเข้า ถ้าไม่อยากตายก็ต้องนั่งโง่ๆในรถม้า

     

       ถ้าอยากจะทอยเต๋ากับโชคชะตาแขวนชีวิตตนเองไว้กับดวง นั้นคือการกระทำที่หลินมู่ไม่อยากจะทำซักเท่าไหร่

    คงมีแต่รอให้การเก็บประสบการณ์ครั้งนี้จบลง แล้วจึงรอให้ไป๋หยุนเฉินตัดสินตนทีหลัง

     

       เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ สถานการณ์นี้ราวกับเงื่อนตายที่เขาแก้ไม่ได้

    ต้องปล่อยให้โชคชะตาตัดสิน ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น นี้คือสภาพของหลินมู่ตอนนี้

     

       ว่าหนึ่งในหมื่นความเป็นไปได้นั้นจะมีอะไรที่ยิ่งกว่าเงื่อนตายรอเขาอยู่รึป่าว

    นอกจากนั้นเขายังไม่ด้วยซ้ำว่ามารดาของไป๋หลานหลงกำลังยืมดาบสังหารคน นางเป่าหูบุตรชายของนางให้สังหารตนที่หุบเขาสำเร็จมาร

     

       พูดได้แค่ว่าเส้นทางของหลินมู่ต้องบุกฝ่าพันภูผาหมื่นวารี ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจประสบความสำเร็จหรือรอดชีวิต

    เขายังอยากจะกลับไปฝั่งนั้น กลับไปหาพ่อแม่และน้องสาวที่ยังรอตนอยู่ เขาไม่ยอมแพ้หรอก

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×