ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธ์เซียนกระบี่

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 ใช่และไม่ใช่

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 65


       ในระหว่างที่บรรยากาศระหว่างหลินมู่และหลินหลง เริ่มเข้าสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์แบบ

    เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แม้เสียงนั้นจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ก็ตะโกนออกมาหวังให้ทั้งสองรับรู้

     

       “คุณหลินมู่ คุณหลินหลง!! ผมเอาน้ำมาให้!!” เป็นซูตงที่วิ่งมาพลางโบกมือให้ทั้งสอง ในอ้อมแขนกอดถุงใส่น้ำจำนวนหกถุง

    “ไม่ต้องเติมคำว่าคุณก็ได้ เรียก หลินมู่ หรือ มู่มู่ ก็ได้” หลินมู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง

     

       ก่อนจะรับถุงใส่มาจากซูตง “อืม! นี่ครับ คุณหลินหลง” ซูตงยื่นถุงใส่น้ำให้กับหลินหลงด้วยรอยยิ้ม

    “ขอบคุณ ไม่ต้องเรียกฉันด้วยคุณก็ได้ ฉันไม่ได้หัวสูงขนาดนั้น เรียกฉัน หลินหลง เถอะ” ซูตงแย้มยิ้มพร้อมพยักหน้าประมาณว่าตนเข้าใจแล้ว

     

       ไม่นานนักอีกสามคนก็กลับมา พวกเขาบอกว่าคนพวกนั้นแปลกมาก เพียงพวกเขาเดินเข้าไปใกล้

    คนเหล่านั้นก็หลีกเลี่ยงจะเข้าใกล้พวกเขา ราวกับเป็นโรคระบาดก็มิปาน

     

       “ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ!! ไอ้พวกบ้านั่น!! ทำไมมีแต่พวกเราหกคนที่ถูกเมินละ!!” ตงเสี่ยวซานพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

    “เสี่ยวซาน ใจเย็นลงหน่อย” เป็นโจวเป่ยซานที่บอกให้ตงเสี่ยวไท่ให้ควบคุมอารมณ์ตัวเอง

     

       ไป๋เทียที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไรเพียงทำสีหน้าขบคิด “พวกคุณใจเย็นลงก่อนเถอะครับ นี่ครับน้ำ”

    “ขอบใจนะ” ตงเสี่ยวซาน โจวเป่ยซาน และ ไป๋เทีย รับมาพร้อมพูดขอบคุณกับซูตง

     

       ทำเอาหนุ่มขี้อายที่ไม่มั่นใจในตัวเอง อมยิ้มอย่างดีใจ “พวกนายคิดว่าไง ทำไมพวกนั้นถึงได้ดูหลีกเลี่ยงเราหล่ะ”

    เป็นโจวเป่ยซานที่พูดขึ้นด้วยความสงสัย ทำให้ทุกคนแสดงสีหน้าขบคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

     

       หลินมู่ที่ได้ยินคำถาม ก็เหลือบตาไปมองทางที่เหล่าห้าผู้แกร่งกล้ายืนรวมตัวกันอยู่

    ทั้งห้ามองมาทางพวกเขาอย่างไม่ละสายตา “ก็ไม่รู้สิ…” หลินมู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมีลับลมคมในบางอย่าง

     

       หลินหลงที่มองไปตามสายตาของหลินมู่ ก็เห็นกับเหล่าห้าผู้แกร่งกล้าที่จองมองมาทางพวกตน

    เธอเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อทันที ไม่ใช่พวกตนโดนเมิน แต่พวกตนสำคัญเกินไป เกินกว่าการเชิญธรรมดาจะใช้ได้

     

       ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นักเรียนร่วมสามร้อยกว่าชีวิต ก็ถูกเชื้อเชิญไปจนเกือบหมด เหลือเพียงหกคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มห้าตระกูล

    ทันใดนั้นเหล่าห้าผู้แกร่งกล้าก็เดินออกมา พวกเขามีสีหน้าจริงจังอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

     

       ทำเอาบรรยากาศรอบตัวดูจริงจังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเหมือนพูดคุยปรึกษากันมาเรียบร้อยแล้ว

    จึงไม่เกิดการสับประยุทธ์เพื่อแย่งทั้งหกคนนั้น เป็นกู่ไห่ปาที่เริ่มก่อนเขาชี้นิ้วไปทาง ตงเสี่ยวไท่ก่อนจะพูดขึ้น

     

       “เจ้าชื่ออะไร?” แม้เป็นเสียงพูดปกติแต่มันโดนหนุนเสริมด้วยลมปราณ ทำให้เสียงดังสนั่นเหมือนอัสนีกัมปนาท

    ตงเสี่ยวไท่มึนงงเล็กน้อยก่อนจะกลับมารู้สึกตัว เขาตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ผมชื่อ ตงเสี่ยวซาน ครับ!!” 

     

       เหมือนชื่อจะถูกชะตากับตาเฒ่าไห่ปา เขาอมยิ้มก่อนจะหัวเราะดังสนั่น “ดี! ดี!! ภูเขาน้อย เจ้าจะมาเป็นลูกศิษย์สืบทอดข้าหรือไม่!!?” 

    ครั้งนี้ตาเฒ่าไห่ปาไม่ได้ใช้ลมปราณเพื่อพูด แต่เป็นการตะโกนออกมาปกติ แต่ก็ทำเอาแก้วหูของแต่ละคนสั่นสะเทือนได้เลย

     

       ตงเสี่ยวซานที่ได้ยินข้อเสนอที่ไม่คาดคิด ก็แสดงสีหน้าขบคิดปนตกตะลึง เขาเงียบไม่พูดตอบกลับอยู่นาน 

    จนโจวเป่นซานต้องเดินมาตบไหล่ของผู้เป็นเพื่อนสนิท “นายลังเลอะไรอยู่ ไม่มีใช่ไหมล่ะก็ตอบไปสิ”

     

       ตงเสี่ยวซานที่ได้ยินคำพูดจากเพื่อนสนิทของตน เขาก็แสดงสีหน้าแน่วแน่ก่อนจะตะโกนกลับไป “ดูแลศิษย์คนนี้ด้วยครับ ท่านอาจารย์!!!”

    กู่ไห่ปายกยิ้มขึ้นสูง เพียงมองหน้าของเขาก็รู้ได้เลยว่าเขามีความสุขมากขนาดไหน

     

       “ดี! ดีมาก!! ภูเขาน้อย มายืนข้างอาจารย์เร็ว!” ตงเสี่ยวซานตอบรับทันที เขาวิ่งไปยืนอยู่ด้านข้างกู่ไห่ปาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    เมื่อกู่ไห่ปารับตงเสี่ยวซานเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว เหลียนฮวาเม่ยลี่ก็ก้าวออกมา หันไปมองทางผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม

     

       “เจ้ามีนามว่า…” นางถามออกมาด้วยสายตาพินิจวิเคราะห์ มองสำรวจปฎิกริยาของหลินหลงอย่างละเอียด

    “ผู้น้อยมีนามว่า หลินหลง ค่ะ” หลินหลงปรับเปลี่ยนวิธีการพูดอย่างรวดเร็ว เธอแนะนำชื่อตนเองกับเหลียนฮวาเม่ยลี่

     

       เหลียนฮวาเม่ยลี่หลี่ตาเรียวงามของนางลง ก่อนจะพูดขึ้นมา “เจ้าจะมาเป็นศิษย์สืบทอดของข้าไหม?”

    หลินหลงไม่ลังเลเหมือนตงเสี่ยวซาน เธอพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ โปรดดูแลศิษย์ด้วย”

     

       หลินหลงโค้งตัวไปทางเหลียนฮวาเม่ยลี่ เหลียนฮวาเม่ยลี่เองก็พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะส่งสายตาให้หลินหลงมายืนข้างตน

    เมื่ออีกหนึ่งสำเร็จไปได้ด้วยดี ก็เป็นคิวของอีกคน เพียงไม่ถึงห้านาที ห้าในหกก็ได้อาจารย์แล้ว

     

       กู่ไห่ปา เป็นอาจารย์ของ ตงเสี่ยวซาน เหลียนฮวาเม่ยลี่ เป็นอาจารย์ของ หลินหลง ไป๋หยุนเฉิน เป็นอาจารย์ของ ไป๋เทีย

    เป่ยฮัวตู๋ เป็นอาจารย์ของ โจวเป่ยซาน และ ต้าเจียงไท่เซี่ย เป็นอาจารย์ของ ซูตง

     

       เหลือเพียงแค่หลินมู่เท่านั้นที่ยืนนิ่งอย่างอ้างว้าง เขาไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกอะไร เพียงสาดส่องสายตามองไปรอบตัว

    เป็นจังหวะนั้นเองที่เขาเห็น พวกจางหงหยูที่ยืนมองมาทางเขาอย่างเป็นห่วง ‘อืม…เธอเลือกตระกูลต้าเจียงสินะ’'

     

       หลินมู่เลิกสนใจอีกฝ่ายทำเพียงหันหน้าไปมอง เหล่าห้าผู้แกร่งกล้าที่กำลังแสดงสีหน้าจริงจังยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา

    พวกเขาพูดคุยกันไปมา มีเพียงเหลียนฮวาเม่ยลี่ที่ไม่เข้าไปร่วมวงครั้งนี้

     

       “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลย?” หลินหลงถามขึ้นมาอย่างสงสัย เหลียนฮวาเม่ยลี่เองก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ฟังให้ดีศิษย์ข้า ตระกูลเหลียนฮวา ของเราเป็นตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์สตรี หากมีบุรุษเกิดมา เขาจะใช้แซ่ของ ตระกูลเหลียน แทน เหลียนฮวา ข้าเป็นคนของตระกูลเหลียนฮวา ไม่มีกงการอะไรที่ข้าต้องดึงคนให้ตระกูลเหลียน”

     

       หลินหลงฟังเหตุผลของอาจารย์ของตน ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ ตระกูลที่นางอยู่ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

    ส่วนแรกคือ เหลียนฮวา และ ส่วนที่สองคือ เหลียน ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งตระกูล

     

       เมื่อนางสังเกตดีๆ คนทั้งหมดในตอนนี้คือสตรี แม้แต่นักเรียนที่รับมาก็ยังเป็นผู้หญิงทั้งหมด

    นางเข้าใจทันทีว่า สายเหลียนฮวา และ สายเหลียน มีความขัดแย้งภายในบางอย่างแน่นอน และอาจารย์ของนางยังเสริมอีกว่า ส่วนมากภายนอกมักเรียกตระกูลของอาจารย์นางว่า ตระกูลหยินหยาง

     

       ชายชราไท่เซี่ยก็เป็นอีกคนที่ไม่เข้าไปแย่งชิงในครั้งนี้ ทำเอาซูตงสงสัยแต่ไม่กล้าถาม และชายชราเองก็ไม่คิดจะไขข้อสงสัยให้ผู้เป็นลูกศิษย์แม้แต่น้อย

    ทำเพียงยืนมองและทำปากขมุบขมิบไปมา กู่ไห่ปาเองก็ไม่ได้เข้าไปเสวนาด้วยเขาพอใจกับตงเสี่ยวซานแล้ว

     

       ปัจจุบันจึงมีเพียง ไป๋หยุนเฉิน และ เป่ยฮัวตู๋ ที่กำลังโต้วาทีว่าใครจะได้ตัวของ หลินมู่ ไปเพิ่มอีกคน

    “หญิงชราเช่นเจ้าจะเอาชายหนุ่มไปทำไมเยอะแยะ ให้เขาเป็นศิษย์ของข้า ข้ารับรองได้เลยว่า เขาจะกลายเป็นตำนานยุทธ์แน่นอน!!”

     

       ไป๋หยุนเฉินพูดขึ้นอย่างเกี่ยวกราด ทางฝั่งเป่ยฮัวตู๋เองก็ไม่น้อยหน้า นางกระท่อนกระแท่นกลับใส่ไป๋หยุนเฉินอย่างเจ็บแสบ

    “ตำนานยุทธ์? ให้อาจารย์ที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์บ่มเพาะขึ้นมาเนี่ยนะ? สวรรค์เถอะเจ้ายังไปไม่ถึึงคิดเรอะว่าเจ้าจะสั่งสอนเขาจนถึงจุดนั้นได้ คิดว่าจะสั่งสอนได้ง่ายๆรึไง!?”

     

       ไป๋หยุนเฉินที่ได้ยินก็สะดุดกึก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด “ข้าเชื่อว่า เขาคือตัวอ่อนยุทธ์แท้ เขาต้องไปถึงตำนานยุทธ์ได้แน่นอน แม้ว่าข้าผู้เป็นอาจารย์จะเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ก็ตาม!!”

     

       ทั้งคู่แลกหมัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร จนแล้วจนรอดไป๋หยุนเฉินก็ทนไม่ไหว โพล่งออกมาอย่างเดือดดาล

    “ถ้าเจ้ายอมข้าครั้งนี้ ข้าจะให้ชุดคลุมที่ถักด้วยไหมเมฆา!!” เพียงสิ้นเสียงเสมือนสรรพเสียงถูกช่วงชิงไป

     

       ทุกสายตามองไปทางไป๋หยุนเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะมองไปทางหลินมู่ 

    ภายในใจของพวกเขาคิดเป็นสิ่งเดียวกัน ชายคนนี้มีค่ามากขนาดเลยหรือ? ถึงจะเป็นตัวอ่อนยุทธ์แท้ ก็ยังต้องคิดหลายตลบถึงจะเอาไหมเมฆาออกมา…

     

       เป่ยฮัวตู๋ที่ได้ยินถึงกลับหยุดคิดทบทวน เธอชั่งข้อดีข้อเสียไปมาก่อนจะหันไปมอง หลินมู่อย่างชั่งใจ

    ก่อนจะหันไปพูดกับไป๋หยุนเฉิน “ข้ายอมให้เจ้า…” ใครจะไม่ยอมล่ะ ไหมเมฆาของตระกูลไป๋ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและแปลกประหลาด เพียงสวมเอาไว้ก็สามารถฝึกฝนได้ตลอดเวลา

     

       แม้หลินมู่จะเป็นคนดูมีพรสวรรค์สูง แต่ระหว่างเสื้อคลุมที่ถักจากไหมเมฆาแล้ว อย่างหลังมีค่ามากกว่าเห็นๆ

    ไป๋หยุนเฉินถอนหายใจอย่างโล่งใจ ก่อนจะหันไปมองทางหลินมู่ “เจ้าหนุ่มเจ้าอยากเป็นศิษย์ของข้าไหม?”

     

       หลินมู่ไม่พิรี้พิไรเขารีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยหลินมู่ อยากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์” ไป๋หยุนเฉินยกยิ้มอย่างดีใจ

    “ดีมาก!! ข้าเชื่อว่าในอนาคตเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จได้มากกว่าอาจารย์ เจ้าต้องไปถึงตำนานยุทธ์แน่นอน!!”

     

       หลินมู่ไม่ได้เก็บไปใส่ใจเพียงพยักหน้าอย่างนอบน้อม และเดินไปรวมกลุ่มกับคนของตระกูลไป๋ 

    เมื่อทุกอย่างถูกจัดแจงเรียบร้อย โชควาสนาก็แบ่งกันแล้ว พวกเขาก็ไปทางใครทางมัน

     

       กลุ่มห้าตระกูลแยกตัวกันออกไป กลับไปยังที่ตั้งของตระกูลของตน หลินมู่ที่นั่งอยู่ในรถม้าก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยสีหน้าขบคิด

    เขามีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงไม่รู้ก็เถอะว่าไอ้ ตัวอ่อนยุทธ์แท้ และ ไหมเมฆา คือสิ่งใด แต่มันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

     

       จากสายตาของแต่ละคนที่มองมาทางตนสลับไปมากับไป๋หยุนเฉิน คุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าไหมเมฆาต้องมหาศาลอย่างมากเป็นแน่ ตัวอ่อนยุทธ์แท้คงมิต่างกัน

    ชายหนุ่มเอามือรองท้ายทอยก่อนจะเอนตัวลงนอน เขาหลับตาลงขบคิดหลายอย่าง

     

       นี่คือจุดเริ่มต้นของตนในโลกใบนี้หรือ? เป็นเวลาเดียวกันที่หลินมู่กำลังขบคิดอย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องต่อจากนี้และเรื่องในอนาคต

    ชายชราไท่เซี่ยที่นั่งอยู่บนนกกระเรียนขาวคล้ายปุยเมฆ เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพึมพำออกมา “เป็นอย่างงี้นี่เอง” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเหี่ยวย่นของชายชรา

     

       “โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเขาและไม่ใช่เขาในขณะเดียวกัน แปลกประหลาดยิ่งนัก”

    ชายชราไท่เซี่ยลูบเคราของตนด้วยสีหน้าขบคิดอย่างหนัก มันหายากมากที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีโชคชะตาเช่นนี้ 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×