ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Sky : Children of the light] OS/SF

    ลำดับตอนที่ #4 : 0 4 • My family [Re-write]

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 64


    0 4 • My family

     

     

    เคออส เป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่น

     

    ตัวเขานั้นเจิดจรัสดั่งดวงตะวันอันสูงส่ง งดงามและบริสุทธิ์เหนือสิ่งใด จนบางทีก็หวาดหวั่นว่าจะทำให้อีกฝ่ายต้องแปดเปื้อนแม้จะด้วยความไม่ตั้งใจก็ตาม

     

    แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ตัวอพอลโล่ในครานั้นยังคงเด็กเกินกว่าที่จะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ในดินแดนอันงดงามนี้ได้

     

    น่าเสียดาย ...

     

    อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จะต้องไปใส่ใจดูแลเด็กคนอื่นด้วยในเมื่อก็มีเขาเป็น้องชายแล้วแท้ๆ

     

    อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จะต้องคอยช่วยเหลือคนที่ไม่รูจักด้วยในเมื่อหลายๆ อย่างตัวเขาเองยังทำไม่ได้เลย

     

    อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จึงช่วยเหลือผู้คนไปมากมายเสียขนาดนั้น

     

    คล้ายกับแก้วใบหนึ่งที่เกิดร้อยร้าวเล็กๆ ขึ้นมาโดยที่แม้แต่อพอลโล่ก็ไม่รู้ตัว ...

     

    ...

     

    วันหนึ่งเคออสพาคนสองคนกลับมา อพอลโล่รู้ภายหลังว่าทั้งสองคนนั้นมีชื่อว่า 'ไซโค' และ 'ชินิงามิ'

     

    ไซโคเป็นคนที่แข็งกระด้างและดุดัน ชินิงามิเป็นคนที่แช่มช้อยละมุนตาแม้จะเป็นผู้ชาย

     

    ทั้งคู่มักจะมีเรื่องให้มีปากเสียงกันได้ทุกครั้งทุกคราตั้งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องยันเรื่องละเอียดอ่อนของอีกฝ่าย ถึงแบบนั้นทั้งสองคนก็เป็นคนที่ใช้ไม้พลุได้มากกว่าการจุดพลุส่งสัญญาณ

     

    ไซโคมักวาดมันไปในอากาศด้วยท่วงท่าที่รุนแรง ดูเข้มแข็งสมกับที่เป็นนักรบ กลับกันชินิงามิมักวาดมันไปในอากาศด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยคล้ายกับเขากำลังร่ายรำ ถึงกระนั้ฝีมือการต่อสู้ของทั้งคู่ก็สูสีกันมากทีเดียว

     

    ผ่านการสั่งสอนของเคออสที่อพอลโล่มักจะนั่งดูอยู่ห่างๆ

     

    เคออสอ่อนโยนแต่ไม่ได้อ่อนแอ ตำราศิลปะการต่อสู้คร่ำครึที่มีจึงไม่ยากเลยที่เขาจะออกสอนผู้อื่นจนเก่งกาจได้เหมือนตนเองสมัยยังเยาว์วัย

     

    อพอลโล่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนเคออสไปทำอะไรมา รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขานั้นอบอุ่นและอ่อนโยน

     

    เพียงแต่สายตาที่อ่อนโยนคู่นั้นแทบไม่เคยตกมาถึงเขาเลย ...

     

    ...

     

    เด็กสาวคนหนึ่งถูกพากลับมา

     

    เธอเป็นเด็กสาวตัวเล็ก เล็กกว่าเขาเสียอีกและเธอนั้นต่างจากพี่ๆ ของเธอในกลุ่มและต่างจากเขา

     

    เธอนั้นมีพรสวรรค์ พรสวรรค์ในการบรรเลงเพลง เพียงแค่เล่นเพลงแบบงูๆ ปลาๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องแต่ถึงกระนั้นไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าในอนาคตอันใกล้เธอจะเติบโตขึ้นในฐานะนักดนตรีเลื่องชื่ออย่างแน่นอน

     

    ด้วยเหตุนี้ ไซโคกับชินิงามิก็มีปากเสียงกันน้อยลง แม้จะเขม่นกันอยู่บ้างแต่ก็น้อยลงจนเห็นได้ชัด

     

    และอาจจะเพราะยังเป็นเด็กอยู่ด้วยกันทั้งคู่ อพอลโล่และเรเนียร์ก็สนิทสนมและกลายเป็นเพื่อนซี้กันอย่างรวดเร็ว

     

    ...

     

    วันหนึ่งเรเนียร์บอกอะไรบางอย่างที่น่าประหลาดใจ

     

    เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ขับกล่อมได้แม้กระทั่งมังกรทมิฬที่หิวโหยให้จมลงสู่นิทรา

     

    เรื่องราวของเจ้าของนามผู้สรรสร้างเครื่องดนตรีที่ราวกับได้รับพรจากมารดาแห่งแสงสว่าง

     

    เรื่องราวของคนที่ชื่อว่า 'เอ็กโซเซียร์'

     

    คล้ายว่าเคออสจะรู้จักเธอ เพราะเมื่อเขาได้ยินชื่อของเธอสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

     

    และใช่ หลังจากนั้นเคออสก็ตามเรนียร์ออกไปหาคนที่ชื่อเอ็กโซเซียร์ จนสามารถทำให้เธอเข้าร่วมกลุ่มของเราได้ในที่สุด ...

     

    ... ไม่ชอบเลย ... ไม่ชอบเลยนะรู้มั้ยเคออส ...

     

    เขาอยู่ตรงนี้นะมองมาหน่อยสิ ...

     

    แต่กระนั้นท้ายที่สุดเด็กน้อยก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแม้แต่น้อย

     

    ...

     

    เอ็กโซเซียร์เป็นพี่สาวที่พูดไม่เก่ง แต่หากมองเธอด้วยด้านอื่นๆ เธอกลับเก่งกาจจนน่ากลัว

     

    เธอสามารถนำทางผู้คนไปยังเวสแลนด์ได้โดยไม่หลงทางไปกับความมืดมิดและไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว

     

    เธอสามารถวาดลวดลายศิลปะการต่อสู้ได้ลื่นไหลแม้ว่าเคออสจะยังไม่ได้สอนเธอ

     

    เธอสามารถประพันธ์เพลงที่ไพเราะชวนฝันขึ้นมาได้จากทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาของเธอ

     

    และนอกจากเครื่องดนตรี เธอก็สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาได้และพวกมันยังแสนวิเศษเกินกว่าของที่สามารถหาได้ดากดื่นทั่วๆ ไปในดินแดนแห่งนี้

     

    อพอลโล่เองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหน้ากากจิ้งจอกสีแดงของเขาที่เธอบรรจงแกะสลักและบรรจงลงสีให้เขานั้นสามารถสัมผัสได้จึงไออุ่นจางๆ อยู่เสมอยามลูบไล้ไปมา

     

    นอกจากนั้นเธอยังเป็นนักดนตรีที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง

     

    เป็นคนที่สอนเรเนียร์เล่นดนตรีและเพลงต่างๆ จนเด็กสาวในผ้าคลุมสีชมพูหวานเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีขึ้นมา

     

    แต่ที่อพอลโล่กลับชื่นชอบที่จะอยู่กับพี่สาวคนนี้ ไม่ใช่เพราะเธอเก่งกาจ

     

    แต่เป็นเพราะเธอเป็นผู้ฟังที่ดี

     

    ไม่ว่าเขาจะบ่นเคออสหรือใครยาวเหยียดแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาเธอจะฟังมันเสมอไม่ว่ามันจะหยาบคายแค่ไหน

     

    เธอไม่ได้พูดขัดขึ้นมา เธอไม่ได้พูดว่าเขาไม่ควรทำอย่างนี้ เธอไม่ได้พูดว่าเขาไม่ควรทำอย่างงั้น แม้จะมีบ้างที่เธอตำหนิเขาหลังพูดจาหยาบคายแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังตำหนิเขาอยู่

     

    มันเหมือนกับเธอเป็นห่วงเขาเสียมากกว่า

     

    เธอเพียงฟังอย่างเงียบๆ และถามไถ่ความในใจของเขาเป็นประจำ เธอจึงเปรียบเสมือนใครสักคนที่เขาสามารถที่จะระบายและปรึกษาเรื่องที่เจอได้ทุกอย่าง

     

    เขาชอบที่จะอยู่กับเอ็กโซเซียร์ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่ายังคงมีคนที่สังเกตุเห็นและรับรู้ตัวตนของเขาอยู่

     

    ครานั้นไซโคกับชินิงามิพาเด็กสองคนกลับมาจากเวสแลนด์ เป็นฝาแฝดที่พบได้ยากที่ดินแดนแห่งนี้

     

    ทั้งคู่นั้นนอกจากที่มักจะพูดจาฉะฉานคล่องแคล่วแล้ว ทั้งคู่ยังเหมือนกับภาพลวงตา

     

    ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่ไม่จริงใจจนเหมือนภาพลวงตา แต่ทั้งคู่นั้นถนัดการร่ายรำจนบางครั้งก็รู้สึกเหมือนทั้งคู่เป็นจินตนาการอันสวยงามของพวกเขาเพียงเท่านั้น

     

    และอาจจะเพราะเป็นเด็กพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็วอย่างเคย

     

    ...

     

    อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้วนะ!

     

    เมื่อไหร่จะเลิกสนใจคนอื่นเสียทีในเมื่อน้องชายของตัวเองก็ยืนอยู่ตรงนี้!?

     

    ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่อพอลโล่มีปากเสียงกับเคออสจนคนอ่นต้องเข้ามาห้ามปราม เป็นครั้งแรกที่เด็กชายเกรี้ยวกราดใส่คนอื่นที่ไม่ใช่พี่สาวของเขา

     

    เป็นครั้งแรกที่ได้ระบายความในใจออกไปทั้งหมด และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใจคำว่าเสียใจภายหลัง ...

     

    " ใช่สิ! ใช่สิ! ใช่สิ!! ผมไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นนิ!! "

     

    ไม่ได้เก่งกาจเหมือนกับไซโคกับชินิงามิและเอ็กโซเซียร์

     

    ไม่ได้สวยงามเหมือนอาคุโอะกับโอเนรอยและเรเนียร์

     

    เพราะตัวเขานั้นจืดจางมากใช่มั้ยพี่ถึงไม่เคยจะ ...

     

    " พี่ถึงไม่เคยคิดจะสนใจผมเหมือนกับคนอื่นๆ น่ะ!!? "

     

    เด็กชายไม่สนใจว่าเขาจะออกวิ่งไปที่ไหน ไม่สนใจด้วยว่าตัวเขานั้นจะชนใครไปบ้าง ไม่สนใจด้วยว่าเคออสจะรู้สึกอย่างไรหลังจากที่ตัวเขาตวาดออกไปแบบนั้น

     

    น่าเสียดายที่อพอลโล่เด็กเกินกว่าที่จะสามารถเข้าใจสิ่งที่เคออสพยายามที่จะทำอยู่ในตอนนั้นได้ ...

     

    แต่ถึงจะวิ่งหนีไป เข้าไปในสถานที่ที่ดำมืดที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ถึงจะวิ่งหนีเข้าไป ถึงจะพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นๆ ไปมากมายขนาดนั้น ในใจของเขากลับหวังจะให้ใครสักคนเข้ามาตามหาเขา

     

    ใครสักคนที่ไม่ใช่เคออสก็ได้ เข้ามาตามและและปลอบประโลมเด็กชายผู้สับสนและยังคงอ่อนต่อโลกอยู่มากโข

     

    แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครเข้ามาตามหาเขาเลย แม้แต่พี่สาวที่เขาคิดว่าเข้าใจเขามาที่สุดแล้วนั้นก็ไม่มีวี่แววแม้แต่เงา ...

     

    เพราะแบบนั้นเด็กชายจึงมีความคิดหนึ่งผุดเข้ามา

     

    ถ้า ... ไม่มีใครสนใจจะตามหาเขา ... ก็ไม่ต้องมีใครพบเจอเขาอีกเลย

     

    นับตั้งแต่วันนั้นอพอลโล่จึงออกเดินทางเพียงลำพัง ไร้ซึ่งพี่ชายที่คอยดูแล ไร้ซึ่งพี่ชายที่คอยเฝ้าระวังอันตราย ไร้ซึ่งพี่สาวที่จะรอคอยรับฟังเขา ไร้ซึ่งน้องสาวที่คอยปลอบโยน

     

    ออกเดินทางเพียงลำพังพร้อมความโดดเดี่ยวที่เริ่มกัดกินตัวของเด็กชายจากภายใน

     

    ตัวเด็กชายที่ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง เด็กชายจึงได้เรียนรู้สถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเองโดยไม่มีพี่ชายผู้อ่อนโยนคนนั้นคอยพูดแนะนำมันเท่าให้เขาเริ่มเข้าใจ

     

    เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายจึงสนใจเด็กคนอื่นมากกว่าเขา

     

    เหตุใดจึงสั่งสอนเด็กคนอื่นทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ กัน

     

    เหตุใดจึงมองเด็กคนอื่นด้วยสายตาที่เขาไม่เคยได้รับ

     

    ไม่ใช่เพราะพี่ชายไม่เคยทำสิ่งพวกนั้น

     

    เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายจึงสนใจเด็กคนอื่นมากกว่าเขา เป็นเพราะเขามั่นใจว่าเมื่อน้องชายคนนี้อยู่ข้างๆ เขา น้องชายคนนี้จะปลอดภัยอย่างแน่นอน

     

    เหตุใดจึงสั่งสอนเด็กคนอื่นทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ กัน เป็นเพราะเขามั่นใจว่าน้องชายของเขาจะได้รับการสอนทุกสิ่งที่เขามีโดยไม่มีข้อโต้แย้งและไม่มีตกหล่น

     

    เหตุใดจึงมองเด็กคนอื่นด้วยสายตาที่เขาไม่เคยได้รับ เป็นเพราะเขามองคนอื่นด้วยสายตาปกติที่เขาใช้ยามมองผู้อื่น ส่วนสายตาที่อ่อนโยนจริงๆ ...

     

    มันตกลงบนร่างของเขาตลอดมา ...

     

    มันตกลงบนร่างของเขาตลอดมาอย่างไร้ข้อแม้ มันตกลงบนร่างของเขาเสมอมาโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ

     

    ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็ไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเด็กได้แล้วเช่นกัน

     

    ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะกลั้นความรู้สึกของตัวเองที่กลายเป็นก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ในลำคอได้แล้วเช่นกัน

     

    ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะกลั้นน้ำตาของตนที่ไหลรินได้แล้วเช่นกัน

     

    ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกผิดไม่ได้เช่นกัน ...

     

    ในรอบเกือบสิบปีที่เขาตัดสินใจที่จะกลับบ้าน และตัวเขานั้นเกิดเขาตั้งความหวัง ความหวังที่ว่ากลับไปที่นั่น สถานที่ที่เขาโหยหาอยู่ตลอดมานับจากที่เลือกที่จะจากมา

     

    ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะขอโทษทุกๆ คนที่เขาทำให้ต้องตกใจและขอโทษที่หายไปนานแสนนานเหลือเกิน

     

    แต่นั่นยามไปถึงที่แห่งนั้นแล้ว คล้ายกับถูกบางอย่างทุบเข้าที่ศรีษะอย่างแรงจนทุกอย่างอื้ออึงไปเสียหมด

     

    จนเขาต้องภาวนาคำขออันลมๆ แล้งๆ ให้มันเป็นเพียงฝันร้าย ให้มันเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นที่เมื่อลืมตาตื่นขึน้มาแล้วนั้นทุกคนจะยังอยู่พร้อมหน้าและยังคงยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนดั่งวันวาน

     

    น่าเสียดายที่กาลเวลามิอาจไหลย้อนกลับไป ตัวเขาชายหนุ่มในตอนนี้ได้แต่ขบคิดว่า ' ถ้าหากว่า ... ' ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสถานที่ ที่หนาวเหน็บ เงียบเหงาและอ้างว้าง

     

    สถานที่ ที่เขาเคยเรียกมันว่าบ้าน ...

     

    ไม่มีแล้วความอบอุ่น

    ไม่มีแล้วความคึกครื้น

    ไม่มีแล้วความอ่อนโยน

    ไม่มีแล้วพี่ชายที่เฝ้ามองด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน

    ไม่มีแล้วพี่ชายที่มักเข้ามาพูดคุยด้วยยามเขานั่งอยู่ตัวคนเดียว

    ไม่มีแล้วพี่สาวผู้แสนดี

    ไม่มีแล้วน้องสาวผู้สดใส

    ไม่มีแล้วน้องชายทั้งสองผู้งดงาม

    มีเพียงเขา

     

    เพียงเขาตัวคนเดียว ...

     

    ในบ้านที่เหน็บหนาวหลังนี้ ...

     

    ยามจากไปยังมีคนที่เฝ้าตามหา

    ใครจะรู้ว่ายามกลับมาไม่มีแล้วคนที่รอคอย ...

     

    นอกจากพร่ำเพ้อว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมาแล้วนั้น อพอลโล่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เลยในครานั้น

     

    คล้ายเสียงบางสิ่งขาดผึ่งลงแล้วจากนั้นตัวเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย นอกจากความว่างเปล่าที่คล้ายจะกัดกินตัวเขาจากภายใน

     

    เขาเคยมีความหวัง หวังว่าหากครอบครัวของเขายังอยู่ในดินแดนแห่งนี้แล้วนั้น คงจะสามารถตามหากันจนพบ

     

    เขาออกตามหาจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงจะก้าวเดินก็ไม่พบใครสักคนแม้แต่เงาเส้นผม ออกตามหาจนไม่เหลือน้ำตาให้หลั่งไหล ออกตามหาจนเกือบจะหลงลืมไปว่าตนนั้นตามหาอะไรอยู่กันแน่

     

    จนวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากป่าที่ฝนไม่เคยหยุดตก

     

    นอนแผ่ลงกับพื้นหญ้า ปล่อยให้สายลมโลมเลียร่างกายของตน ผลาญเวลาให้หมดไปอย่างไร้ค่า

     

    สายตากลับเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน

     

     

    คล้ายกับเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้นมานำทางเขาที่กำลังหลงทางในความมืดมิด

     

    กลิ่นหมึกยังคงสดใหม่ และกระดาษยังคงมีไออุ่นที่แสนโหยหา

     

    ด้วยลายมือที่แสนคุ้นตา ลักษณะคำประพันธ์ที่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็เป็นของพี่สาวผู้แสนดีคนนั้นอย่างแน่นอน มันทำให้อพอลโล่กลับมารู้สึกหลังจากที่ไม่เคยรู้สึกอะไรเลยมานานนับเดือน

     

    ความรู้สึกที่ตื้นขึ้นมาในอกจนมิอาจจะกล่าวเป็นคำพูด

     

    ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาทั้งๆ ที่คิดว่ามันเหือดแห้งไปจนหมดแล้ว

     

    สองมือกอบกุมเอากระดาษประพันธ์เพลงแผ่นนั้นขึ้นมาประคองเอาไว้แนบอกอย่างหวงแหน ราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าที่มีค่าเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าชีวิต

     

    ปล่อยให้น้ำตาแห่งความปิติยินดีหลั่งไหลออกมาอย่างเงียบงัน

     

    เท่านี้ก็พอจะบอกเขาได้แล้วไม่ใช่หรือ?

     

    ว่าครอบครัวของเขายังคงมีลมหายใจอยู่?

     

    นับตั้งแต่นั้นมาอพอลโล่ก็หัดเล่นดนตรีตั้งแต่ศูนย์ จนสามารถเล่นเพลงๆ นั้นได้อย่างไม่ติดขัด

     

    หวังว่าสักวัน หลังเพลงนี้ถูกบรรเลงจนจบ เสียงอันอ่อนโยนจะเรียกขานตนขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ ...

     

    นับตั้งแต่วันนั้นอพอลโล่ก็เล่นเพลงๆ นั้นนับสิบ นับร้อย นับพันรอบ จนกว่าเขาจะได้พบกับคนที่เฝ้ารอคอยให้หาพบ

     

    แม้ว่าจะเปลี่ยนเครื่องดนตรีไปมากมายกี่ชิ้นเขาก็ยังคงจะเล่นเพลงๆ เดิมเสมอ จนกว่าใครสักคนจะเรียกขานชื่อของเขาขึ้นมา

     

    จนกว่าจะมีคนฉุดเขาขึ้นมาจากความว่างเปล่าและความโดดเดี่ยวนี้เสียที ...

     

    .

    .

    .

     

    เนิ่นนานเท่าไรที่เขาตระเวนเล่นเพลงๆ นี้จนร่างกายเกิดชินชาราวเครื่องดนตรีกลายเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย ตัวเขาไม่อาจจะบอกกล่าวให้ทราบได้

     

    น้ำเสียงของบรรดาพี่ชาย พี่สาวหรือน้องชาย น้องสาว เป็นอย่างไรนั้นเขาเองก็เริ่มที่จะลืมเลือนไปช้าๆ แล้วเช่นกัน

     

    ตัวเขาที่นั่งลงบรรเลงเพลงๆ นั้นอยู่ที่เกาะกลางบ่อน้ำเล็กๆ ในเรสล็อบบี้ของเดย์ไลท์ แพร์รี่อย่างทุกคราที่ไม่รู้จะออกตัวทำสิ่งใด

     

    ยามโน๊ตตัวสุดท้ายถูกดีดออกอันเป็นสัญญาณว่าเพลงนั้นจบลง เสียงปรบมือและเสียงเอ่ยคำชื่นชมของบรรดาคนแปลกหน้าก็ดังขึ้นจนกลบเสียงอื่นๆ ไปจนหมด

     

    แต่กระนั้นอพอลโล่ก็ไม่เคยดีใจเลยกับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมเหล่านั้น ...

     

    เขาปรารถนาอะไรที่เรียบง่ายกว่านั้นมากมายนัก

     

    เพียงใครสักคนที่เรียกชื่อ ...

     

    " อพอลโล่? "

     

    ของเขา ...

     

    เด็กชายที่บัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มชะงักฝีเท้าของตนเองลงหลังจากที่เสียงอันสั่นเครือของหญิงสาวผู้หนึ่งรั้งเรียกเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างเชื่องช้า แววตาที่นิ่งสนิทมาเนิ่นนานเริ่มสั่นไหว

     

    ไวกว่าความคิด ร่างที่สูงพอๆ กันกับเขาของหญิงสาวคนหนึ่งก็เข้าประชิดตัวของเขาได้ มือเรียวหยาบกร้านคู่นั้นกอบกุมมือของเขาเอาไว้ราวกับมันเป้นของล้ำค่าที่ต้องถนอมเท่าชีวิต

     

    นัยน์ตาสีมรกตที่สะท้อนกับแสงตะวันที่สาดส่องจนเป็นประกายคล้ายอัญมณีเลอค่าที่บัดนี้กำลังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาที่รื้อขึ้นมาที่ขอบตาคู่สวย

     

    " อพอลโล่ใช่มั้ย? จำพี่ได้มั้ย? เธอจำพี่ได้มั้ย? "

     

    น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นเครือจนแทบจับใจความไม่ได้ แต่ฉไนเลยเขาจะจำไม่ได้

     

    เสียงของพี่สาวแสนดีคนนั้นที่นั่งหลังขดหลังแข็งบรรจงสลักและมอบหน้ากากชิ้นนี้ให้เขาน่ะเหรอเขาจะจำไม่ได้?

     

    " พี่ ... เอ็กโซเซียร์? "

     

    แค่เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ใบหน้าไร้หน้ากากปิดบังของเธอก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและโผเข้าสวมกอดเขาอย่างไม่อายใคร ลูบศรีษะและเอ่ยถ้อยคำปลอบประโลนที่เขาแสนจะคิดถึงและต้องการจะได้ยินตลอดมา

     

    " เหงาใช่มั้ย? ที่ผ่านมาคงจะเหงาสินะ แล้วกลัวหรือเปล่า? ที่ผ่านมาเธอกลัวหรือเปล่า? อ่า ฮึก ใช่ เธฮคงจะคิดถึงบ้านใช่มั้ย? "

     

    ตัวเขาก็กอดตอบอ้อมกอดนี้ที่โหยหา ฝังใบหน้าของตนลงกับลาดไหล่เล็กๆ ของพี่สาวต่างสายเลือดของตน

     

    " ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร เรากลับบ้านของเรากันนะ "

     

    ทั้งๆ ที่น้ำเสียงของเธอนั้นก็สั่นเครือไปไม่น้อยกว่าเขาเลย แต่เหตุใดถ้อยคำนั้นกลับฟังดูหนักแน่นและเข้มแข็งได้ขนาดนี้กันนะ

     

    น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อาจจะห้ามไม่ให้มันไหลรินออกมาได้อีกต่อไปเมื่อผู้เป็นพี่สาวเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น

     

    หนักแน่นและเข้มแข็ง ในขณะเดียวกันแผ่วเบาและปลอบประโลมตัวเขาผู้สับสนและขลาดเขลา

     

    ในที่สุด ...

     

    ในที่สุดก็เจอแล้ว ...

     

    ครอบครัวของเขา ...

     

    อย่า ...

     

    เราอย่าได้พรากจากกันอีกเลยนะ ...

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×