คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 0 4 • My family [Re-write]
0 4 • My family
เคออส เป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่น
ตัวเขานั้นเจิดจรัสดั่งดวงตะวันอันสูงส่ง งดงามและบริสุทธิ์เหนือสิ่งใด จนบางทีก็หวาดหวั่นว่าจะทำให้อีกฝ่ายต้องแปดเปื้อนแม้จะด้วยความไม่ตั้งใจก็ตาม
แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ตัวอพอลโล่ในครานั้นยังคงเด็กเกินกว่าที่จะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ในดินแดนอันงดงามนี้ได้
น่าเสียดาย ...
อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จะต้องไปใส่ใจดูแลเด็กคนอื่นด้วยในเมื่อก็มีเขาเป็น้องชายแล้วแท้ๆ
อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จะต้องคอยช่วยเหลือคนที่ไม่รูจักด้วยในเมื่อหลายๆ อย่างตัวเขาเองยังทำไม่ได้เลย
อพอลโล่ในตอนนั้นยังเด็กจนเกินไป เกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายคนนี้จึงช่วยเหลือผู้คนไปมากมายเสียขนาดนั้น
คล้ายกับแก้วใบหนึ่งที่เกิดร้อยร้าวเล็กๆ ขึ้นมาโดยที่แม้แต่อพอลโล่ก็ไม่รู้ตัว ...
...
วันหนึ่งเคออสพาคนสองคนกลับมา อพอลโล่รู้ภายหลังว่าทั้งสองคนนั้นมีชื่อว่า 'ไซโค' และ 'ชินิงามิ'
ไซโคเป็นคนที่แข็งกระด้างและดุดัน ชินิงามิเป็นคนที่แช่มช้อยละมุนตาแม้จะเป็นผู้ชาย
ทั้งคู่มักจะมีเรื่องให้มีปากเสียงกันได้ทุกครั้งทุกคราตั้งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องยันเรื่องละเอียดอ่อนของอีกฝ่าย ถึงแบบนั้นทั้งสองคนก็เป็นคนที่ใช้ไม้พลุได้มากกว่าการจุดพลุส่งสัญญาณ
ไซโคมักวาดมันไปในอากาศด้วยท่วงท่าที่รุนแรง ดูเข้มแข็งสมกับที่เป็นนักรบ กลับกันชินิงามิมักวาดมันไปในอากาศด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยคล้ายกับเขากำลังร่ายรำ ถึงกระนั้ฝีมือการต่อสู้ของทั้งคู่ก็สูสีกันมากทีเดียว
ผ่านการสั่งสอนของเคออสที่อพอลโล่มักจะนั่งดูอยู่ห่างๆ
เคออสอ่อนโยนแต่ไม่ได้อ่อนแอ ตำราศิลปะการต่อสู้คร่ำครึที่มีจึงไม่ยากเลยที่เขาจะออกสอนผู้อื่นจนเก่งกาจได้เหมือนตนเองสมัยยังเยาว์วัย
อพอลโล่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนเคออสไปทำอะไรมา รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขานั้นอบอุ่นและอ่อนโยน
เพียงแต่สายตาที่อ่อนโยนคู่นั้นแทบไม่เคยตกมาถึงเขาเลย ...
...
เด็กสาวคนหนึ่งถูกพากลับมา
เธอเป็นเด็กสาวตัวเล็ก เล็กกว่าเขาเสียอีกและเธอนั้นต่างจากพี่ๆ ของเธอในกลุ่มและต่างจากเขา
เธอนั้นมีพรสวรรค์ พรสวรรค์ในการบรรเลงเพลง เพียงแค่เล่นเพลงแบบงูๆ ปลาๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องแต่ถึงกระนั้นไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าในอนาคตอันใกล้เธอจะเติบโตขึ้นในฐานะนักดนตรีเลื่องชื่ออย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ไซโคกับชินิงามิก็มีปากเสียงกันน้อยลง แม้จะเขม่นกันอยู่บ้างแต่ก็น้อยลงจนเห็นได้ชัด
และอาจจะเพราะยังเป็นเด็กอยู่ด้วยกันทั้งคู่ อพอลโล่และเรเนียร์ก็สนิทสนมและกลายเป็นเพื่อนซี้กันอย่างรวดเร็ว
...
วันหนึ่งเรเนียร์บอกอะไรบางอย่างที่น่าประหลาดใจ
เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ขับกล่อมได้แม้กระทั่งมังกรทมิฬที่หิวโหยให้จมลงสู่นิทรา
เรื่องราวของเจ้าของนามผู้สรรสร้างเครื่องดนตรีที่ราวกับได้รับพรจากมารดาแห่งแสงสว่าง
เรื่องราวของคนที่ชื่อว่า 'เอ็กโซเซียร์'
คล้ายว่าเคออสจะรู้จักเธอ เพราะเมื่อเขาได้ยินชื่อของเธอสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
และใช่ หลังจากนั้นเคออสก็ตามเรนียร์ออกไปหาคนที่ชื่อเอ็กโซเซียร์ จนสามารถทำให้เธอเข้าร่วมกลุ่มของเราได้ในที่สุด ...
... ไม่ชอบเลย ... ไม่ชอบเลยนะรู้มั้ยเคออส ...
เขาอยู่ตรงนี้นะมองมาหน่อยสิ ...
แต่กระนั้นท้ายที่สุดเด็กน้อยก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแม้แต่น้อย
...
เอ็กโซเซียร์เป็นพี่สาวที่พูดไม่เก่ง แต่หากมองเธอด้วยด้านอื่นๆ เธอกลับเก่งกาจจนน่ากลัว
เธอสามารถนำทางผู้คนไปยังเวสแลนด์ได้โดยไม่หลงทางไปกับความมืดมิดและไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว
เธอสามารถวาดลวดลายศิลปะการต่อสู้ได้ลื่นไหลแม้ว่าเคออสจะยังไม่ได้สอนเธอ
เธอสามารถประพันธ์เพลงที่ไพเราะชวนฝันขึ้นมาได้จากทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาของเธอ
และนอกจากเครื่องดนตรี เธอก็สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาได้และพวกมันยังแสนวิเศษเกินกว่าของที่สามารถหาได้ดากดื่นทั่วๆ ไปในดินแดนแห่งนี้
อพอลโล่เองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหน้ากากจิ้งจอกสีแดงของเขาที่เธอบรรจงแกะสลักและบรรจงลงสีให้เขานั้นสามารถสัมผัสได้จึงไออุ่นจางๆ อยู่เสมอยามลูบไล้ไปมา
นอกจากนั้นเธอยังเป็นนักดนตรีที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง
เป็นคนที่สอนเรเนียร์เล่นดนตรีและเพลงต่างๆ จนเด็กสาวในผ้าคลุมสีชมพูหวานเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีขึ้นมา
แต่ที่อพอลโล่กลับชื่นชอบที่จะอยู่กับพี่สาวคนนี้ ไม่ใช่เพราะเธอเก่งกาจ
แต่เป็นเพราะเธอเป็นผู้ฟังที่ดี
ไม่ว่าเขาจะบ่นเคออสหรือใครยาวเหยียดแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาเธอจะฟังมันเสมอไม่ว่ามันจะหยาบคายแค่ไหน
เธอไม่ได้พูดขัดขึ้นมา เธอไม่ได้พูดว่าเขาไม่ควรทำอย่างนี้ เธอไม่ได้พูดว่าเขาไม่ควรทำอย่างงั้น แม้จะมีบ้างที่เธอตำหนิเขาหลังพูดจาหยาบคายแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังตำหนิเขาอยู่
มันเหมือนกับเธอเป็นห่วงเขาเสียมากกว่า
เธอเพียงฟังอย่างเงียบๆ และถามไถ่ความในใจของเขาเป็นประจำ เธอจึงเปรียบเสมือนใครสักคนที่เขาสามารถที่จะระบายและปรึกษาเรื่องที่เจอได้ทุกอย่าง
เขาชอบที่จะอยู่กับเอ็กโซเซียร์ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่ายังคงมีคนที่สังเกตุเห็นและรับรู้ตัวตนของเขาอยู่
ครานั้นไซโคกับชินิงามิพาเด็กสองคนกลับมาจากเวสแลนด์ เป็นฝาแฝดที่พบได้ยากที่ดินแดนแห่งนี้
ทั้งคู่นั้นนอกจากที่มักจะพูดจาฉะฉานคล่องแคล่วแล้ว ทั้งคู่ยังเหมือนกับภาพลวงตา
ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่ไม่จริงใจจนเหมือนภาพลวงตา แต่ทั้งคู่นั้นถนัดการร่ายรำจนบางครั้งก็รู้สึกเหมือนทั้งคู่เป็นจินตนาการอันสวยงามของพวกเขาเพียงเท่านั้น
และอาจจะเพราะเป็นเด็กพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็วอย่างเคย
...
อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้ว อีกแล้วนะ!
เมื่อไหร่จะเลิกสนใจคนอื่นเสียทีในเมื่อน้องชายของตัวเองก็ยืนอยู่ตรงนี้!?
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่อพอลโล่มีปากเสียงกับเคออสจนคนอ่นต้องเข้ามาห้ามปราม เป็นครั้งแรกที่เด็กชายเกรี้ยวกราดใส่คนอื่นที่ไม่ใช่พี่สาวของเขา
เป็นครั้งแรกที่ได้ระบายความในใจออกไปทั้งหมด และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใจคำว่าเสียใจภายหลัง ...
" ใช่สิ! ใช่สิ! ใช่สิ!! ผมไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นนิ!! "
ไม่ได้เก่งกาจเหมือนกับไซโคกับชินิงามิและเอ็กโซเซียร์
ไม่ได้สวยงามเหมือนอาคุโอะกับโอเนรอยและเรเนียร์
เพราะตัวเขานั้นจืดจางมากใช่มั้ยพี่ถึงไม่เคยจะ ...
" พี่ถึงไม่เคยคิดจะสนใจผมเหมือนกับคนอื่นๆ น่ะ!!? "
เด็กชายไม่สนใจว่าเขาจะออกวิ่งไปที่ไหน ไม่สนใจด้วยว่าตัวเขานั้นจะชนใครไปบ้าง ไม่สนใจด้วยว่าเคออสจะรู้สึกอย่างไรหลังจากที่ตัวเขาตวาดออกไปแบบนั้น
น่าเสียดายที่อพอลโล่เด็กเกินกว่าที่จะสามารถเข้าใจสิ่งที่เคออสพยายามที่จะทำอยู่ในตอนนั้นได้ ...
แต่ถึงจะวิ่งหนีไป เข้าไปในสถานที่ที่ดำมืดที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ถึงจะวิ่งหนีเข้าไป ถึงจะพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นๆ ไปมากมายขนาดนั้น ในใจของเขากลับหวังจะให้ใครสักคนเข้ามาตามหาเขา
ใครสักคนที่ไม่ใช่เคออสก็ได้ เข้ามาตามและและปลอบประโลมเด็กชายผู้สับสนและยังคงอ่อนต่อโลกอยู่มากโข
แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครเข้ามาตามหาเขาเลย แม้แต่พี่สาวที่เขาคิดว่าเข้าใจเขามาที่สุดแล้วนั้นก็ไม่มีวี่แววแม้แต่เงา ...
เพราะแบบนั้นเด็กชายจึงมีความคิดหนึ่งผุดเข้ามา
ถ้า ... ไม่มีใครสนใจจะตามหาเขา ... ก็ไม่ต้องมีใครพบเจอเขาอีกเลย
นับตั้งแต่วันนั้นอพอลโล่จึงออกเดินทางเพียงลำพัง ไร้ซึ่งพี่ชายที่คอยดูแล ไร้ซึ่งพี่ชายที่คอยเฝ้าระวังอันตราย ไร้ซึ่งพี่สาวที่จะรอคอยรับฟังเขา ไร้ซึ่งน้องสาวที่คอยปลอบโยน
ออกเดินทางเพียงลำพังพร้อมความโดดเดี่ยวที่เริ่มกัดกินตัวของเด็กชายจากภายใน
ตัวเด็กชายที่ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง เด็กชายจึงได้เรียนรู้สถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเองโดยไม่มีพี่ชายผู้อ่อนโยนคนนั้นคอยพูดแนะนำมันเท่าให้เขาเริ่มเข้าใจ
เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายจึงสนใจเด็กคนอื่นมากกว่าเขา
เหตุใดจึงสั่งสอนเด็กคนอื่นทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ กัน
เหตุใดจึงมองเด็กคนอื่นด้วยสายตาที่เขาไม่เคยได้รับ
ไม่ใช่เพราะพี่ชายไม่เคยทำสิ่งพวกนั้น
เข้าใจว่าเหตุใดพี่ชายจึงสนใจเด็กคนอื่นมากกว่าเขา เป็นเพราะเขามั่นใจว่าเมื่อน้องชายคนนี้อยู่ข้างๆ เขา น้องชายคนนี้จะปลอดภัยอย่างแน่นอน
เหตุใดจึงสั่งสอนเด็กคนอื่นทั้งๆ ที่เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ กัน เป็นเพราะเขามั่นใจว่าน้องชายของเขาจะได้รับการสอนทุกสิ่งที่เขามีโดยไม่มีข้อโต้แย้งและไม่มีตกหล่น
เหตุใดจึงมองเด็กคนอื่นด้วยสายตาที่เขาไม่เคยได้รับ เป็นเพราะเขามองคนอื่นด้วยสายตาปกติที่เขาใช้ยามมองผู้อื่น ส่วนสายตาที่อ่อนโยนจริงๆ ...
มันตกลงบนร่างของเขาตลอดมา ...
มันตกลงบนร่างของเขาตลอดมาอย่างไร้ข้อแม้ มันตกลงบนร่างของเขาเสมอมาโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ
ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็ไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเด็กได้แล้วเช่นกัน
ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะกลั้นความรู้สึกของตัวเองที่กลายเป็นก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ในลำคอได้แล้วเช่นกัน
ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะกลั้นน้ำตาของตนที่ไหลรินได้แล้วเช่นกัน
ในวันที่เขาเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้วนั้น ตัวเขาก็มิอาจจะห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกผิดไม่ได้เช่นกัน ...
ในรอบเกือบสิบปีที่เขาตัดสินใจที่จะกลับบ้าน และตัวเขานั้นเกิดเขาตั้งความหวัง ความหวังที่ว่ากลับไปที่นั่น สถานที่ที่เขาโหยหาอยู่ตลอดมานับจากที่เลือกที่จะจากมา
ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะขอโทษทุกๆ คนที่เขาทำให้ต้องตกใจและขอโทษที่หายไปนานแสนนานเหลือเกิน
แต่นั่นยามไปถึงที่แห่งนั้นแล้ว คล้ายกับถูกบางอย่างทุบเข้าที่ศรีษะอย่างแรงจนทุกอย่างอื้ออึงไปเสียหมด
จนเขาต้องภาวนาคำขออันลมๆ แล้งๆ ให้มันเป็นเพียงฝันร้าย ให้มันเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นที่เมื่อลืมตาตื่นขึน้มาแล้วนั้นทุกคนจะยังอยู่พร้อมหน้าและยังคงยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนดั่งวันวาน
น่าเสียดายที่กาลเวลามิอาจไหลย้อนกลับไป ตัวเขาชายหนุ่มในตอนนี้ได้แต่ขบคิดว่า ' ถ้าหากว่า ... ' ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสถานที่ ที่หนาวเหน็บ เงียบเหงาและอ้างว้าง
สถานที่ ที่เขาเคยเรียกมันว่าบ้าน ...
ไม่มีแล้วความอบอุ่น
ไม่มีแล้วความคึกครื้น
ไม่มีแล้วความอ่อนโยน
ไม่มีแล้วพี่ชายที่เฝ้ามองด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน
ไม่มีแล้วพี่ชายที่มักเข้ามาพูดคุยด้วยยามเขานั่งอยู่ตัวคนเดียว
ไม่มีแล้วพี่สาวผู้แสนดี
ไม่มีแล้วน้องสาวผู้สดใส
ไม่มีแล้วน้องชายทั้งสองผู้งดงาม
มีเพียงเขา
เพียงเขาตัวคนเดียว ...
ในบ้านที่เหน็บหนาวหลังนี้ ...
ยามจากไปยังมีคนที่เฝ้าตามหา
ใครจะรู้ว่ายามกลับมาไม่มีแล้วคนที่รอคอย ...
นอกจากพร่ำเพ้อว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมาแล้วนั้น อพอลโล่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เลยในครานั้น
คล้ายเสียงบางสิ่งขาดผึ่งลงแล้วจากนั้นตัวเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย นอกจากความว่างเปล่าที่คล้ายจะกัดกินตัวเขาจากภายใน
เขาเคยมีความหวัง หวังว่าหากครอบครัวของเขายังอยู่ในดินแดนแห่งนี้แล้วนั้น คงจะสามารถตามหากันจนพบ
เขาออกตามหาจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงจะก้าวเดินก็ไม่พบใครสักคนแม้แต่เงาเส้นผม ออกตามหาจนไม่เหลือน้ำตาให้หลั่งไหล ออกตามหาจนเกือบจะหลงลืมไปว่าตนนั้นตามหาอะไรอยู่กันแน่
จนวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากป่าที่ฝนไม่เคยหยุดตก
นอนแผ่ลงกับพื้นหญ้า ปล่อยให้สายลมโลมเลียร่างกายของตน ผลาญเวลาให้หมดไปอย่างไร้ค่า
สายตากลับเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน
คล้ายกับเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้นมานำทางเขาที่กำลังหลงทางในความมืดมิด
กลิ่นหมึกยังคงสดใหม่ และกระดาษยังคงมีไออุ่นที่แสนโหยหา
ด้วยลายมือที่แสนคุ้นตา ลักษณะคำประพันธ์ที่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็เป็นของพี่สาวผู้แสนดีคนนั้นอย่างแน่นอน มันทำให้อพอลโล่กลับมารู้สึกหลังจากที่ไม่เคยรู้สึกอะไรเลยมานานนับเดือน
ความรู้สึกที่ตื้นขึ้นมาในอกจนมิอาจจะกล่าวเป็นคำพูด
ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาทั้งๆ ที่คิดว่ามันเหือดแห้งไปจนหมดแล้ว
สองมือกอบกุมเอากระดาษประพันธ์เพลงแผ่นนั้นขึ้นมาประคองเอาไว้แนบอกอย่างหวงแหน ราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่าที่มีค่าเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าชีวิต
ปล่อยให้น้ำตาแห่งความปิติยินดีหลั่งไหลออกมาอย่างเงียบงัน
เท่านี้ก็พอจะบอกเขาได้แล้วไม่ใช่หรือ?
ว่าครอบครัวของเขายังคงมีลมหายใจอยู่?
นับตั้งแต่นั้นมาอพอลโล่ก็หัดเล่นดนตรีตั้งแต่ศูนย์ จนสามารถเล่นเพลงๆ นั้นได้อย่างไม่ติดขัด
หวังว่าสักวัน หลังเพลงนี้ถูกบรรเลงจนจบ เสียงอันอ่อนโยนจะเรียกขานตนขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ ...
นับตั้งแต่วันนั้นอพอลโล่ก็เล่นเพลงๆ นั้นนับสิบ นับร้อย นับพันรอบ จนกว่าเขาจะได้พบกับคนที่เฝ้ารอคอยให้หาพบ
แม้ว่าจะเปลี่ยนเครื่องดนตรีไปมากมายกี่ชิ้นเขาก็ยังคงจะเล่นเพลงๆ เดิมเสมอ จนกว่าใครสักคนจะเรียกขานชื่อของเขาขึ้นมา
จนกว่าจะมีคนฉุดเขาขึ้นมาจากความว่างเปล่าและความโดดเดี่ยวนี้เสียที ...
.
.
.
เนิ่นนานเท่าไรที่เขาตระเวนเล่นเพลงๆ นี้จนร่างกายเกิดชินชาราวเครื่องดนตรีกลายเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย ตัวเขาไม่อาจจะบอกกล่าวให้ทราบได้
น้ำเสียงของบรรดาพี่ชาย พี่สาวหรือน้องชาย น้องสาว เป็นอย่างไรนั้นเขาเองก็เริ่มที่จะลืมเลือนไปช้าๆ แล้วเช่นกัน
ตัวเขาที่นั่งลงบรรเลงเพลงๆ นั้นอยู่ที่เกาะกลางบ่อน้ำเล็กๆ ในเรสล็อบบี้ของเดย์ไลท์ แพร์รี่อย่างทุกคราที่ไม่รู้จะออกตัวทำสิ่งใด
ยามโน๊ตตัวสุดท้ายถูกดีดออกอันเป็นสัญญาณว่าเพลงนั้นจบลง เสียงปรบมือและเสียงเอ่ยคำชื่นชมของบรรดาคนแปลกหน้าก็ดังขึ้นจนกลบเสียงอื่นๆ ไปจนหมด
แต่กระนั้นอพอลโล่ก็ไม่เคยดีใจเลยกับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมเหล่านั้น ...
เขาปรารถนาอะไรที่เรียบง่ายกว่านั้นมากมายนัก
เพียงใครสักคนที่เรียกชื่อ ...
" อพอลโล่? "
ของเขา ...
เด็กชายที่บัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มชะงักฝีเท้าของตนเองลงหลังจากที่เสียงอันสั่นเครือของหญิงสาวผู้หนึ่งรั้งเรียกเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างเชื่องช้า แววตาที่นิ่งสนิทมาเนิ่นนานเริ่มสั่นไหว
ไวกว่าความคิด ร่างที่สูงพอๆ กันกับเขาของหญิงสาวคนหนึ่งก็เข้าประชิดตัวของเขาได้ มือเรียวหยาบกร้านคู่นั้นกอบกุมมือของเขาเอาไว้ราวกับมันเป้นของล้ำค่าที่ต้องถนอมเท่าชีวิต
นัยน์ตาสีมรกตที่สะท้อนกับแสงตะวันที่สาดส่องจนเป็นประกายคล้ายอัญมณีเลอค่าที่บัดนี้กำลังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาที่รื้อขึ้นมาที่ขอบตาคู่สวย
" อพอลโล่ใช่มั้ย? จำพี่ได้มั้ย? เธอจำพี่ได้มั้ย? "
น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นเครือจนแทบจับใจความไม่ได้ แต่ฉไนเลยเขาจะจำไม่ได้
เสียงของพี่สาวแสนดีคนนั้นที่นั่งหลังขดหลังแข็งบรรจงสลักและมอบหน้ากากชิ้นนี้ให้เขาน่ะเหรอเขาจะจำไม่ได้?
" พี่ ... เอ็กโซเซียร์? "
แค่เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ใบหน้าไร้หน้ากากปิดบังของเธอก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและโผเข้าสวมกอดเขาอย่างไม่อายใคร ลูบศรีษะและเอ่ยถ้อยคำปลอบประโลนที่เขาแสนจะคิดถึงและต้องการจะได้ยินตลอดมา
" เหงาใช่มั้ย? ที่ผ่านมาคงจะเหงาสินะ แล้วกลัวหรือเปล่า? ที่ผ่านมาเธอกลัวหรือเปล่า? อ่า ฮึก ใช่ เธฮคงจะคิดถึงบ้านใช่มั้ย? "
ตัวเขาก็กอดตอบอ้อมกอดนี้ที่โหยหา ฝังใบหน้าของตนลงกับลาดไหล่เล็กๆ ของพี่สาวต่างสายเลือดของตน
" ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร เรากลับบ้านของเรากันนะ "
ทั้งๆ ที่น้ำเสียงของเธอนั้นก็สั่นเครือไปไม่น้อยกว่าเขาเลย แต่เหตุใดถ้อยคำนั้นกลับฟังดูหนักแน่นและเข้มแข็งได้ขนาดนี้กันนะ
น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อาจจะห้ามไม่ให้มันไหลรินออกมาได้อีกต่อไปเมื่อผู้เป็นพี่สาวเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น
หนักแน่นและเข้มแข็ง ในขณะเดียวกันแผ่วเบาและปลอบประโลมตัวเขาผู้สับสนและขลาดเขลา
ในที่สุด ...
ในที่สุดก็เจอแล้ว ...
ครอบครัวของเขา ...
อย่า ...
เราอย่าได้พรากจากกันอีกเลยนะ ...
ความคิดเห็น