คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิตใหม่ในเมืองไทย
ใครๆก็ว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่สวยงาม ให้ตายเถอะชีวิตของผมไม่เคยมีสักวันที่ไม่มีคำว่าวุ่นวายเพราะตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์กเมืองที่ไม่เคยหลับใหลในยามราตรีแล้ว ก็ไม่มีวินาทีชีวิตไหนจะไม่มีคำว่าวุ่นวาย วันนี้ผมมีนัดคุยกับผู้อำนวยการของมหาวิทยาลัยพรินส์ตันคอร์ต เรื่องตัวแทนที่จะไปสอนในเมืองไทยและผมก็จะเป็นตัวแทนเพียงคนเดียวในสายวิชาวิทยาศาสตร์ที่นั่น
“ผมยินดีนะครับที่คุณอยากจะไปเมืองไทย” ผู้อำนวยการกล่าวกับจอห์น “ถ้ายังไงก็รีบเดินทางหน่อยละกันเพราะว่าอีกสองเดือนมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้ว”
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้ผมกลับมานั่งเขียนไดอารี่อยู่ที่เมืองไทยเป็นเวลาสองเดือนได้แล้ว และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรกที่ผมจะไปสอนที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับนักศึกษาใหม่ๆที่พวกเขาเป็นรุ่นที่หนึ่งที่เรียนมหาวิทยาลัยพรินส์ตันคอร์ตที่เป็นเครือเดียวกับนิวยอร์ก
ผมได้รับเงินทุนก้อนแรกสำหรับการมาอยู่เมืองไทยเพื่อใช้จ่ายในงวดแรกและผมยังมีเงินเก็บอีกไม่มากนักสำหรับการเตรียมตัวสำหรับเดือนนี้ นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังดูแลและจัดหาที่พักให้ฟรีเป็นเวลาสามเดือนแรกหลังจากการทำงานแล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องบริหารค่าใช้จ่ายตรงนั้นเอง
ผมปิดคอมพิวเตอร์และเหลือบมองไปที่นาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งอยู่ถัดจากคอมไป ตอนนี้ก็สี่โมงครึ่งแล้วผมควรจะออกไปหาอะไรทานแล้ววางแผนชีวิตในวันพรุ่งนี้พร้อมกับอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าว่าผมควรจะทำอะไรต่อจากนี้ นอกจากภาษาไทยที่ผมควรเรียนรู้แล้ว อาหารที่นี่ยังถูกปากของผมเสียด้วย วันนี้ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งวันที่ผมจะไปทานส้มตำไก่ย่างเจ้าประจำที่อยู่ใต้อพาร์ทเม้นของผม
ตายแล้ว ฝรั่งคนนั้นหล่อจังเลย ท่าทางยังหนุ่มยังแน่นนะเนี่ย...
สายตาของพวกเธอทำให้ผมชื่นหน้าตาบานเพราะอะไรเหรอครับ ผมอยู่อเมริกามาตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ผมก็อายุสามสิบสองปี ครองโสดมาก็สามสิบสองปีแล้วที่นี่นี่และที่เป็นที่แห่งแรกที่สาวๆชมผมว่าหล่อด้วยสายตาอย่างนี้
“คุณจอห์น จะรับอะไรดีค่ะ” คุณป้าเจ้าของร้าน แกชื่อป้าชื่นอายุน่าจะราวๆห้าสิบปีได้ “เหมือนเดิมครับป้า”
“แหม เดี๋ยวนี้พูดไทยชัดขึ้นนะค่ะคุณจอห์น” ป้าแกยกส้มตำปูปลาร้าไม่เผ็ดพร้อมข้าวเหนียวไก่ย่างมาตั้งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณครับ”
“จะรับอะไรเพิ่มไหม เดี๋ยวป้าจัดให้เป็นพิเศษเลย” ป้าชื่นใจดีมากเมื่อเทียบกับคนที่นิวยอร์ก คนที่นี่แสนจะอบอุ่นเป็นจริงดั่งนักท่องเที่ยวหลายๆคนที่บอกเล่าต่อๆกันมาไม่ผิดเพี้ยน
“อืม...ผมคิดว่าไม่ดีกว่า ช่วงนี้ผมอ้วน” ป้าชื่นหัวเราะร่วน “ตายจริง อย่างคุณจอห์นเหรอค่ะอ้วน ถ้าป้าล่ะว่าไปอย่าง” เธอขยิบตา
“จะรับอะไรเพิ่มก็บอกละกันนะ ป้าขอตัวก่อนลูกค้าเยอะ”
ผมพยักหน้าและป้าแกก็กลับไปทำงานตามเดิม ผมนั่งทานอาหารมื้อเย็นและตั้งใจไว้ว่าสักหกโมงเย็นจะออกมาวิ่งรับลมสักหน่อย ผมชอบออกกำลังกายและช่วงนี้ก็เริ่มมีพุงหน่อยๆแล้วเพราะว่าวันๆเอาแต่กิน จะให้ทำยังไงล่ะครับก็อาหารที่นี่มันอร่อยแล้วที่สำคัญกินอะไรก็ไม่ค่อยอยู่ท้องเพราะเป็นพวกผักๆผมก็เลยกินเอ้ากินเอา ทำให้น้ำหนักขึ้นมาสองกิโลจากที่อยู่อเมริกา
“ขอบคุณครับ อิ่มจังเลยนี่ครับเงิน” ผมจ่ายเงินทั้งหมดแล้วกลับไปที่ห้องนั่งดูทีวีสักพักแล้วก็จะออกไปวิ่งสักหน่อยพร้อมกับกลับมาทำงานต่อแล้วพร้อมสำหรับวันเปิดเรียนในวันพรุ่งนี้
ตกดึกผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ผมรู้สึกกังวลกับการสอนในวันพรุ่งนี้ถึงแม้ว่าผมจะเคยสอนดำรงเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยพรินส์ตันคอร์ตก็จริง แต่ที่นี่คือคนไทยและปัญหาส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนี่เอง
ผมลุกขึ้นจากเตียงและปล่อยให้เท้านั้นห้อยลงมาจากขอบเตียง ผมสวมรองเท้าเดินในบ้านและเดินไปเปิดไฟที่โต๊ะทำงานของผมพลางหยิบกระดาษตารางเวลาสำหรับวันพรุ่งนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยและผมไม่ควรจะกังวลให้มากนักหรือไม่ผมก็ควรจะออกไปหาอะไรที่เซเว่นทานอย่างกาแฟเป็นไง ฟังดูแล้วรู้สึกดีจัง
ปี้น....
เสียงรถประจำทางบีบแตรลั่นถนนขณะที่ผมเดินออกมาจากตึกอพาร์ตเม้นและร้านเซเว่นก็ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมจำเป็นจะต้องเดินข้ามถนนไปยังฝั่งโน่นเพื่อกาแฟร้อนๆในเวลายามดึกเช่นนี้ และผมก็ข้ามถนนได้อย่างง่ายดายเพราะถนนในยามดึกนั้นโล่งแทบจะไม่มีรถคันไหนที่วิ่งผ่าน
สวัสดีค่ะ เซเว่นยินดีต้อนรับค่ะ
พนักงานชายร้องทัก ผมยิ้มและพยักหน้าหนึ่งครั้งและตรงไปที่เครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ผมคว้าถ้วยกาแฟกระดาษใบเล็กและกดเครื่องทำกาแฟปล่อยให้น้ำกาแฟนั้นไหลลงมาจนเกือบเต็มแก้ว ผมใส่น้ำตาลและคอฟฟี่เมตเล็กน้อยและตรงไปยังที่จ่ายเงินทันที
ผมกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้งและดื่มกาแฟรวดทีเดียวจนหมดแก้ว ก่อนที่ผมจะปิดไฟนอนผมก็มองออกไปนอกหน้าต่างและคิดว่าข้างนอกนั้นยังจะมีใครที่ยังไม่นอนเหมือนกับผมรึเปล่า และผมก็เห็นดวงไฟห้องหนึ่งที่ส่องสว่างเรืองรองอยู่ไม่ไกลจากตัวตึกเท่าไหร่ นั่นคือตึกอพาร์ตเม้นฝั่งตรงข้ามกับผมและห้องนั้นก็ดูจะสูงถัดจากผมขึ้นไปได้ประมาณสองชั้น แต่ผมรู้สึกว่าเหมือนพอผมมองไปที่นั่นแล้ว ดวงไฟก็ดับลงทันทีสงสัยพวกเขาก็คงจะเข้านอนกันแล้ว และเห็นทีที่ผมจะต้องรีบเข้านอนบ้างก่อนที่พรุ่งนี้ผมจะไปมหาลัยสาย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นด้วยความสดใส ผมพร้อมแล้วสำหรับการสอนในวันนี้และผมก็พร้อมแล้วสำหรับเดินทางในเช้าวันนี้ ผมตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวในชุดที่ดูดีที่สุดเท่าที่ผมจะเลือกได้ ผมรู้สึกตื่นเต้นมาสำหรับการทำงานวันแรกและผมก็ไม่อยากพังมันถ้าผมไปสาย
ผมลงมาจากอพาร์ตเม้นและกล่าวทักคุณลุงเจ้าของตึกก่อนจะไปที่ลานจอดรถซึ่งจักรยานของผมอยู่ที่นั่น ผมปั่นจักรยานไปตามถนนใหญ่ซึ่งมันอันตรายมากเพราะที่นี่ไม่มีเลนจักรยานเหมือนที่อเมริกาเพราะฉะนั้นผมจะต้องระวังเป็นพิเศษ และผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยทันเวลาพอดี ผมนำจักรยานจอดไว้บริเวณหน้าอาคารหนึ่ง ผมถอดหมวกกันน็อคออกและคล้องโซ่จักรยานไว้กับราวเหล็กสำหรับล็อกจักรยานโดยเฉพาะ เด็กที่นี่นอกจากรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้วจักรยานก็เป็นอีกพาหนะหนึ่งที่นักเรียนส่วนใหญ่เลือกใช้
“เฮ้ยหวัดดี นายเพิ่งมาเข้ามหาวิทยาลัยเหรอฉันเอก” นักศึกษาสุดเฮี้ยวคนนี้คงไม่ธรรมดา ทำตัวไม่รู้จักมักจี่ตบหัวผมแต่ไม่เป็นไรวันแรกเขาคงจะไม่รู้ว่าผมเป็นอาจารย์สอนที่นี่
“ฉันจอห์น” ผมยื่นมือไปข้างหน้าและเขาก็ยื่นมือมาจับกล่าวทักทาย
“พูดไทยชัดหนิ ผิดกับที่ฉันขาดไว้เลยว่าแต่นายเรียนคณะอะไร” ไม่ทันไรก็ยิงคำถามไม่หยุด ผมไม่นึกสงสัยเลยว่านักศึกษาคนนี้จะเป็นเด็กเรียนหรือไม่ เพราะว่าทรงผมที่ดูจะเป็นเกาหลีจ๋าขนาดนี้
“ผมทรงนี้ใช้เวลาทำนานไหม” ผมถาม
“ก็พอตัว” หมากฝรั่งที่ยังคงถูกบดเคี้ยวอย่างเมามัน ผมจับจ้องไปที่ตุ่มหูกางเขนที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้าตามสไตล์เด็กเกาหลีที่ชาวไทยกำลังฮิตในปัจจุบันนี้เลย “ว่าแต่นายไว้ผมรองทรงนี่ ที่โน่นเขาฮิตกันเหรอ”
“ก็เปล่าผมมันยาวแล้วยังไม่ได้ตัดน่ะ” นายนี่ชักจะทำให้ผมคาดความมั่นใจนะเนี่ย
“เหรอ อืมเหมือนทรงกะลาครอบหัวเลย แต่ก็ช่างเหอะถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนนะฉันเด็กคณะวิศวอยู่อาคารสองถ้ายังไงไว้เจอกัน อ่อวันนี้ตอนเที่ยงที่โรงอาหารนะอย่าสายล่ะ”
นักศึกษาคนนี้ดูกระตือรือร้นกับการเรียนดีนะ และดูท่าทางจะเป็นคนที่อัธยาศัยดีแต่เสียอย่างเดียวดูเหมือนว่าจะปากไม่ค่อยดีแต่ก็ช่างเหอะ อย่างน้อยมีเพื่อนก็ดีกว่าไม่มีละนะ
ผมตอกบัตรเข้างานและรีบไปห้องเรียนทันที นักเรียนต่างก็นั่งรออยู่ในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ผมเข้าห้องไปนั้นนักศึกษาก็เงียบลงในทันที ความรู้สึกของอาจารย์ประจำนิวยอร์กกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความมั่นใจ
สวัสดีนักศึกษาทุกคน ผมอาจจะพูดไทยไม่คล่องเท่าไหร่ อาจจะต้องพูดภาษาอังกฤษแทรกเป็นบางครั้งหวังว่านักศึกษาทุกคนจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังอธิบายอยู่นี่
“อาจารย์ค่ะ” นักศึกษาสาวแต่งตัวเปรี้ยวผมสั้นยกมือขึ้น “อาจารย์พูดภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ พวกเราที่นี่ฟังภาษาอังกฤษออกทุกคน”
เหตุการณ์แรกที่ทำให้ผมแอบรู้สึกวาบวิ้วหรือที่เรียกกันว่าหน้าแตกนั่นแหละครับ “โอเค” ผมกล่าวและเริ่มบทเรียนแรกของวันในทันที นักศึกษาที่นี่ล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกเข้ามาในชั้นระดับหัวกะทิเหมือนที่นิวยอร์กไม่มีผิด ทุกคนต่างอ่านหนังสือและเตรียมบทเรียนและพร้อมสำหรับการเรียนอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นการเรียนการสอนในคาบแรกนี้แสนสบายสำหรับตัวผมนะ แต่ที่หนักใจตอนนี้คือตอนพักเที่ยงผมจะต้องไปเจอเอกนักศึกษาวิศวที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่าผมนี่เป็นอาจารย์สอนที่นี่
คาบแรกในตอนเช้าก็จบลง ผมไปยังโรงอาหารของมหาวิทยาลัยและรอเอกทานข้าวเที่ยงด้วยกัน พูดถึงก็มาเลยทันที ตายยากเสียจริง
“โห้ มาตรงเวลาดีนะสมกับเป็นฝรั่งจริงๆ” พูดจากวนโอ้ยจริง “อืม”
“นี่เพื่อนใหม่อีกคน เอ็ม”
“สวัสดี” นักศึกษาที่เอกแนะนำสวมแว่นและดูเป็นเด็กเรียนเอามากๆ
“สวัสดี ฉันชื่อจอห์น”
“เอาล่ะ เราพูดคุยกันมามากพอแล้วฉันว่าไปหาไรกินดีกว่า มื้อนี้นายจอห์นจะเป็นคนเลี้ยงเอง”
อะไรนะ!!
เฮ้อโผล่มาวันแรกก็เจอนักเรียนตัวดีเลย ฉันนี่ไม่อยากจะเป็นอาจารย์ที่แย่เลยจริงๆแต่งานนี้ต้องมีการอำซะหน่อยและจะอำให้นานเลย ผมจ่ายเงินและเลี้ยงข้าวเด็กสองคนนี้ ดูเหมือนว่าเอกจะพอใจกับการได้กินข้าวฟรีในวันนี้จริงๆเสียด้วยในขณะที่เอ็มก็พยายามจะคืนเงินค่าข้าวให้กับผม แต่เอกก็บอกว่าไม่เป็นไรวันนี้จอห์นเลี้ยงวันพรุ่งนี้เอ็มก็ต้องเลี้ยงเช่นกัน
พวกเราต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองส่วนเอกและเอ็มดูเหมือนจะเรียนคณะเดียวกันเลยจำต้องไปเรียนตามปรกติของเขา และผมก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ครูที่ดีสอนนักศึกษาจนถึงเย็น
ตกเย็นผมวางมือจากงานวันนี้ ด้วยความเหนื่อยล้าสำหรับการสอนวันแรกทำให้ผมต้องคลายเน็คไทและคว้ากระเป๋าเตรียมจะกลับบ้านและในตอนนั้นเอง
“เฮ้ย โห่...ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” เสียงนี่ฟังดูไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เอกนั่นเอง
“อ้าว เอก”
“จักรยานสวยดีนิน่า” เขายิ้มพลางลูบมันบนตัวจักรยาน “ฉันอยากได้อย่างนี้สักคันบ้าง” แต่แปลกดวงตาเขาดูเศร้าหมองลงไปทันที ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมีความรู้สึกนี้ได้เพราะดูเขาเป็นคนร่าเริงมากตลอดเวลา
“วันนี้ให้ฉันไปส่งนายเอาไหม”
“จริงเหรอ แต่ไม่ดีกว่าฉันเดินกลับดีกว่าจากนี้ไปที่บ้านฉันไม่ไกลเท่าไหร่หรอก” เขายิ้มกว้างและรีบวิ่งไป พร้อมกับหันหลับกลับมาโบกมือลาผมก่อนจะเดินจากไป
ผมปั่นจักรยานออกมาจากมหาวิทยาลัยและนี่ก็ตกเย็นแล้ว สี่โมงเย็นอีกครั้งและผมก็ต้องกลับไปที่ห้องก่อนที่จะลงมาหาอะไรทานที่ร้านป้าชื่นเหมือนเดิม และนับจากวันนั้นชีวิตของผมก็เป็นอย่างนี้ทุกวันคือ ตื่นเช้ามาไปทำงาน กลับมากินข้าวที่ร้านป้าชื่นแล้วดูทีวีพักหนึ่งแล้วออกมาวิ่งยามเย็น พอตกดึกก็เริ่มเตรียมงานและเคลียร์งานทั้งหมดก่อนที่จะถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ความคิดเห็น