ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Conquest of Devilment Empire

    ลำดับตอนที่ #9 : โฉมงามกับเจ้าชายกำมะลอ

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 51




    Chapter 9 โฉมงามกับเจ้าชายกำมะลอ







    ตึกๆ ตึกๆ



    เสียงหัวใจที่เต้นระรัว ราวกับจะสามารถหยุดทำงานเมื่อใดก็ได้ ของบุคคลที่เสนอหน้าเข้าไปอยู่ในกระบวนรับเสด็จ



    ..........การมาของ โรสรี่ เรนเซลโลว เจ้าหญิงแห่งนครรูเซิล………



    เหงื่อเย็นๆซึมชื้นอาภรณ์ที่สวมใส่เต็มแผ่นหลัง ความกดดันกำลังทบทวี





    เจ้าหญิง!  การเมือง!  รับเสด็จ! มันเกี่ยวอะไรกับไพร่อย่างเราวะ!!



    ความคิดที่อยากจะหันหลังกลับ แล้วปลดภาระทุกอย่างออกจากตัวโดยไม่ต้องมาห่วงใคร...หรือไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นลูกอกตัญญูถ้าหากเขาจะห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า......



    พ่อบ้า! ทำให้ต้องห่วงไม่รู้เรื่องรู้ราว



    นึกไพล่ไปโทษพ่อ หากท่านพ่อจะมีวิชาไว้ให้อุ่นใจซักนิด เขาคงไม่ต้องมาปั้นหน้าเป็นเจ้าชายอยู่แบบนี้





    สายลมอ่อนๆพัดฝุ่นละอองให้ลอยละล่อง บนถนนอิฐแดงที่ทอดยาวถึงประตูเมืองสูงเสียดปราการ....ความเปลี่ยววิเวกกำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่คนเดียว....



    เพราะอย่างน้อย.....ก็ยังมี นายทหารราชองครักษ์แสนเย็นชา ที่ยืนเป็นรูปสลักอยู่ข้างๆ และแม่นมออเดรียที่ตั้งใจปลีกตัวมายืนกำกับเขาโดยเฉพาะ อย่างไม่ให้หลุดไต๋ไปแม้แต่เสี้ยวความเปิ่น





    หวูด............





    แล้วในทันทีนั้นเอง เสียงหวูดปราการก็ได้กู่ก้องสุดกำลัง...ประตูเมืองสูงใหญ่ถูกเปิดออกด้วยเหล่าอาชา...เสียงเสียดสีกระทบพื้นศิลาดังหนักหน่วงทั่วบริเวณ.....  มันยิ่งทำให้หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ



    แสงสว่างเจิดจรัสเปล่งรัศมีกว้าง ก่อนที่ภาพของขบวนเสด็จจะปรากฏแก่สายตา





    พญาหงส์ขาวกางปีกร่อนลง แบกร่างสตรีสาวที่แต่งองค์เต็มยศ  ตามด้วยเหล่าผู้ติดตามสี่คนที่ขี่นกอินทรีย์ยักษ์ร่อนลงตามมา



    ร่างอรชรงามสง่ากำลังเยื้องย่างลงจาก หงส์ขาวสมบารมี.....งดงามราวกับจะหยุดเวลาให้ทุกอย่างตกอยู่ใต้มนต์สะกด…



    หากแต่ไม่ใช่สำหรับเทรวิสที่ยิ่งทวีความวิตกหนัก





    เธอมาแล้ว!!!!!!!



    ความคิดในใจที่เร่งให้หัวใจสูบฉีดแรง เหงื่อเย็นผุดพรายทั่วใบหน้า





    เรือนผมสีบรอนสยายพลิ้วไหวต้องสายลม รับกับดวงหน้ายิ้มหวานละไมราวกับบุพชาติที่เบ่งบานรับแสงทอง... ริมฝีปากอวบอิ่มดั่งกลีบกุหลาบแดง ฉีกรอยยิ้มที่ตราตรึงใจชายหนุ่มได้ในคราเดียว  นัยน์ตาสีฟ้าใสทอประกายพราวประหนึ่งอัญมณีเม็ดงามที่ควรค่าแก่การปกป้องรักษา



    นางหอบร่างอันสมส่วนสั ดสตรีย่างกรายเข้ามาเพื่อทักทาย เจ้าชายแห่งเคดาส



    หัวใจยิ่งเต้นแรง อาการตื่นเต้นยิ่งกำเริบ นัยน์ตาคู่เขียวหลุบลงต่ำ ไม่ยอมสบกับเจ้าหญิงแสนสวยซักนิด....



    แล้วอย่างนี้เขาจะมีเวลาที่ไหนไปชื่นชมความงามของสาวผู้เลอโฉมแห่งรูเซิลได้ล่ะ





    “มีสติเข้าไว้ ถึงเวลาฝึกภาคปฏิบัติแล้ว เจ้าชาย…”เสียงแม่นมออเดรียที่กล่าวข้างหู ก่อนจะถอยออกห่าง แล้วยิ้มเป็นกำลังใจให้ ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับการมาถึงของเจ้าหญิงโรสรี่



    ความกังวลคลายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ หัวใจที่เคยเต้นแรงค่อยๆเริ่มสงบลง ก่อนจะสูดหายใจลึกๆให้เต็มปอด แล้วเริ่มลงสนามฝึกภาคปฏิบัติ



    “ขอบพระทัยเพคะที่ตอบรับไมตรีจากรูเซิล”



    เจ้าหญิงอ่อนวัยกล่าวอย่างเป็นทางการ ก่อนจะฉีกยิ้มสวยเผยความสดใสแบบไม่ชินกับพิธีรีตองอะไรมากนัก หากจะเป็นการปฏิบัติกับผู้มีศักดิ์และวัยใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกับเจ้าชายอุลริคนี่



    ซึ่งคนได้ฟังก็โค้งตัวรับ ก่อนจะว่าแบบที่ได้เรียนรู้มา



    “นครเคดาสแห่งนี้เปิดประตูรอเสมอสำหรับเมืองรูเซิล.... และที่สำคัญ กระหม่อมคงจะไม่กล้าตัดไมตรีจากเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์นี้ได้หรอก”  



    “กล่าวเกินไปท่าน หม่อมฉันไม่ได้งามไปกว่าหญิงใดหรอก คงจะมีแต่ท่านที่กล่าวเช่นนั้น”แก้มนวลระเรื่อสีทับทิมสุก ยิ่งทำให้น่ามองนัก



    เทรวิสหัวเราะในลำคอ ก่อนยักคิ้วเข้ม “งั้นเห็นจะเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้กระหม่อมได้เห็นเพียงผู้เดียวกระมัง”



    คำที่ทำเอาสาวหน้าแดงก่ำสุกด้วยความขวยเขิน ยังไม่ทันไรเจ้าชายก็รุก ตามดั่งสมญานามที่เล่าลือกันซะแล้ว



    “นครรูเซิล...ใครก็ต่างว่าว่าสวยงามนัก  เห็นทีกระหม่อมจะต้องหาโอกาสไปอีกสักครั้ง หากเจ้าหญิงจะไม่ว่าอะไร”เทรวิสแย้มยิ้มรอยยิ้มบางๆ ฉีกหัวใจสาวเจ้าเข้าแล้ว



    “หม่อมฉันจะว่าอะไรได้ล่ะเพคะ หากแต่จะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ เจ้าชายแห่งเคดาสจะปลีกเวลาไปเยี่ยมเยือน เกาะเล็กๆ อย่างรูเซิล”ดวงหน้าหวานฉีกยิ้มน้อยๆ อย่างพยายามจะกลบหัวใจที่เต้นไปกับรอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้า



    ส่วนเจ้าเด็กหนุ่มที่พาสาวเจ้าใจเต้น แอบลอบถูมือที่โคนขาอย่างพยายามให้มันหายจากอาการสั่น ทั้งๆที่สีหน้านั้นแสดงเค้ามาดเจ้าชายได้ยอดเยี่ยม



    บทสนทนานิ่งไปครู่ ไม่รู้ว่าเจ้าหญิงโรสรี่จะพยายามสงบจิตสงบใจอยู่หรือไม่ แต่เทรวิสกำลังลืมบทที่ตระเตรียมมาสนิท  



    แต่ก่อนที่จะหมดท่า หัวสมองก็แล่นปรู๊ดขึ้นมาจำได้เป็นขั้นเป็นตอน



    นัยน์ตาคู่เขียวฉายประกายพราว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “กระหม่อมไม่มั่นใจว่าสวนแห่งราชวังฟรอนติโซ่จะงดงามเท่าของนครรูเซิลรึเปล่า”



    “หม่อมฉันมั่นใจว่างดงามเทียบเท่าแน่นอนเพคะ”เจ้าหญิงเอ่ยตอบ อย่างหนักแน่น



    “อย่างนั้นเชิญเจ้าหญิงเสด็จรับรองในสวนพฤกษชาติแห่งเคดาสก่อนเพื่อคลายความเหนื่อยล้า....”เทรวิสว่า ก่อนจะกล่าวเสริมให้คนเป็นสตรีเคลิ้ม



    “กระหม่อมว่าสาวงามก็เปรียบเหมือนกับบุพชาติ มักคู่ควรกับสวนพฤกษาอันงดงาม...สถานยวนเย้าเหล่าภมรให้หลงใหลเข้ามาดอมดม  และลึกลับชวนพิศวงสำหรับชายชาตรี....”



    ว่าเสร็จก็ผายมือเชิญเจ้าหญิงไปรับรองในสวนพฤกษชาติ ตามที่ได้ตระเตรียมกันมา ท่ามกลางความทึ่งปนอึ้งจากผู้เฝ้าติดตามผลงาน





    เฮ้ย!!! พ่อหนุ่มนี่มันไปไวแฮะ...ไวพอๆกับเจ้าชายอุลริคเลยก็ว่าได้



    นัยน์ตาคู่ฟ้าซีดเบิกขึ้น ด้วยความงุนงงอย่างถึงที่สุด นึกไปถึงว่าก่อนที่พ่อหนุ่มนี่จะโดนจับมาอบรม เคยไปป้อสาวที่ไหนมาก่อนรึเปล่า





    สงสัยเพราะสมองกับปากมันไว  เลยพาให้ใจหญิงเคลิ้ม





    +++++++++++++++++++++++







    ปึก......    ปึก.. ปึก..



    เสียงสลักกลอนกระทบประตูเหล็กเป็นจังหวะ ประหนึ่งเป็นสัญญาณ.....



    สตรีร่างผอมบางในชุดกรมท่า เหลียวซ้ายแลขวาราวกับเกรงการถูกจับตาจากมนุษย์ผู้ใดก็ตาม นัยน์ตาคมลึกนั้นจับจ้องมองภัยอย่างระแวดระวัง



    นางภักดี เสียขนาดว่าสละชีพเพื่อบุคคลในห้องนั้นได้....





    แอ้ด..............



    ในเวลาชั่วอึดใจ ประตูบานเหล็กก็ค่อยๆเปิดแง้มออก พร้อมกับสตรีนางหนึ่งที่ประดับผ้าสีเทาคลุมศีรษะไว้ครึ่งหน้า ตลอดจนปกปิดเรือนร่างไว้มิดชิด....



    “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ซารีน” น้ำเสียงนิ่งเย็นหลุดออกมาจากริมฝีปากเหยียดตรง ที่โผล่พ้นผ้าคลุมให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งหนึ่ง  มือเรียวบางกำชับเศษหนังแผ่นที่จารึกอักษรข้อความไว้มั่น



    “เรียบร้อยแล้วเพคะ เจ้าชายทรงทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เวลานี้เจ้าหญิงกำลังเสด็จไปชมสวนแห่งพระราชวังอยู่เพคะ หม่อมฉันเห็นว่าไม่มีอะไรหนักใจแล้วจึงปลีกตัวออกมา”ซารีนว่า



    ผู้เป็นนายได้ฟังก็เหยียดรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก ก่อนจะกล่าวพร้อมกับคลายแผ่นหนังในมือออก



    “เอาล่ะ ถึงคราวที่ฉันต้องไปคิดบัญชีกับเจ้าของจดหมายนี่ซะแล้ว”



    แล้วมือเรียวบางก็กำฉับลง ก่อนจะพาร่างสง่าเดินตามทางลับของปราสาทฟรอนติโซ่ พร้อมกับซารีนสาวใช้คนสนิทที่ติดตามอยู่ไม่ห่าง







    สุดทาง.....  มันคือทางตันที่ไม่มีแม้แต่รอยต่อของช่องกำแพง



    แต่ทว่ามันกับเป็นสถานที่ที่เป็นประตูสำหรับนาง.......



    นิ้วเรียวบางของหญิงในชุดผ้าคลุม วาดผ่านพื้นผนังหนาอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงเย็นยะเยือกที่เปล่งออกมาให้ผนังรอบด้านนั้นเย็นเฉียบ





    สิ้นคำ กำแพงที่เคยแกร่ง บัดนี้กำลังแปรเปลี่ยนเป็นโลหะสีดำหนืด....



    “จงเปิดทางแก่ข้าด้วย”เสียงรำพึงเบาๆ พร้อมกับยกมือเรียวจุ่มเข้าไปในกำแพงจนมิดข้อ พลางล้วงควานหาสิ่งที่ฝังอยู่ในเนื้อโลหะสีดำ



    ทันใดนางก็สัมผัสกับบางอย่าง ก่อนจะคว้าเม็ดคริสตัลขนาดฝ่ามือให้หลุดจากกำแพง.....





    ประตูสำหรับนางเปิดออกแล้ว!



    โลหะหนืดๆถูกสูบเหือดหายเข้าไปตามขอบทั้งสี่ด้านจนหมด เปิดทางแด่สตรีเพียงหนึ่งเดียว ให้ไปสู่ที่หมายได้ทันเวลา โดยทิ้งหญิงผู้ต่ำศักดิ์กว่าไว้เบื้องหลัง.......





    เสียงจักจั่นเคล้าดังมาตามชายป่า สายลมอ่อนพัดพายอดไม้ให้โอนอ่อนเสียดสีกันจนเกิดท่วงทำนอง ระงมเรียกเพรียกหาผู้เป็นนายเหนือหัว



    .....ป่าทรีเซนต์ สถานที่ต้องห้ามของปราสาทฟรอนติโซ่....



    แล้วในทันทีที่ฝ่าเท้าของหล่อนได้เหยียบลงบนผืนดินในก้าวต่อมา  เหตุราวอาเพศร้ายก็อุบัติขึ้น!  





    ราตรีเข้ากลืนสุริยาที่ทอแสงแผดกล้าให้เลือนหายดุจดั่งเงื้อมมือมัจจุราชได้ดับแสงสว่าง!!



    ไอเย็นยะเยือกพวยพุ่งขึ้นจากผืนดินอันอุดม จนเกิดแรงลมพายุที่หอบเศษใบไม้ให้ม้วนตัวขึ้นแล้วปลิวไปด้วยแรงมหาศาล





    เสียงแห่งนรกกำลังเพรียกหา..... ความตายกำลังพร่ำร้อง.....





    แล้วชั่วพริบตาสิ่งมีชีวิตทั่วอาณาบริเวณก็ได้กรีดร้องระงม ก่อนจะสิ้นลมหายใจ...  



    พื้นที่รอบด้านมืดมัวด้วยไอเย็นและความเศร้าโถมทวีราวกลับคลื่นสมุทรที่โถมซัดกระหน่ำ





    ป่าทรีเซนต์กำลังถูกเปลี่ยนให้เป็นสุสานแห่งความตาย......





    ร่างโครงกระดูกนับร้อยพยายามแหวกเนื้อดินออกจากธรณีอย่างช้าๆ พร้อมกับกลิ่นสาบสางแห่งแดนปีศาจที่โชยตลบอบอวลมาเป็นระลอก





    รอยยิ้มกระตุกขึ้นบนมุมปากของนาง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออก แล้วเหยียดรอยยิ้ม.... ยิ้มที่แสนจะมีอำนาจ



    นัยน์ตาคู่ดำขลับล้ำลึก แฝงด้วยอำนาจที่ฉาบอยู่ภายใต้ใบหน้าอันงดงามอันเต็มไปด้วยปริศนา หรี่ลงมองสภาพรอบด้านอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ



    “ข้าคงหลงเข้ามาในเขตแดนท่านสินะ ชายลึกลับแห่งบาบารอส”



    ทันทีที่นางได้กล่าวจบ  ร่างในเงามืดก็ได้เผยตัวขึ้น...... ผ้าคลุมสีดำสนิทถูกคลุมบดบังใบหน้า หากแต่จะเหลือเพียงผมยาวสีดำระกลางหลังที่โผล่พ้นออกมา



    “ข้าคิดว่าท่านคงคิดถึงบรรยากาศแบบนี้.....มันน่าหลงใหลดีนะ ท่านว่ามั้ย”



    ชายใต้ผ้าคลุมกล่าว พร้อมกับบันดาลเขตอาคมตัวเองให้ปรากฏซากเน่าเกลื่อนพื้น ด้วยเศษเนื้อและเครื่องในที่ฉีกกระจัดกระจายตามผืนดินสีเลือด.....



    ภายใต้เงามืดในผ้าคลุมนั้นเหมือนจะคลี่รอยยิ้มให้กับบุคคลตรงหน้า ที่ทำท่าทีเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีถูกใจหรือไม่อย่างไร  



    “ท่านมาด้วยเรื่องใด”เสียงนิ่งเย็นกล่าวถาม หากแต่มันกลับฟังดูมีอำนาจยิ่ง



    “ข้ามาเรื่องพลังลูกแก้ววิญญาณที่หายไป”



    “เขาส่งท่านมาควบคุมข้างั้นสิ?”นางเค้นเสียงในคอ ก่อนที่คนฟังจะหัวเราะร่วน



    “ควบคุมรึ ข้าคงมิบังอาจไปควบคุมราชินีแห่งอาณาจักรเคดาสได้หรอก  หากจะมาเพราะถามไถ่สาระทุกสุขดิบกันตามประสา คนบ้านเดียวกัน”



    “หึ! ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่.....  เอาเป็นว่าเรื่องนั้นอีกไม่นานนักหรอก...... แล้วข้าจะแถมของขวัญล้ำค่าไปอีกชิ้น”ถ้อยคำแฝงปริศนาให้คนฟังชวนสงสัยกับเรื่องของขวัญที่นางอ้าง ก่อนจะหัวเราะพอใจ



    “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไร.... แต่ลองราชินีแห่งเคดาสได้เอ่ยปากขนาดนี้ ข้าชักอยากจะรู้จนอดใจไม่อยู่ซะแล้วสิ”



    รอยยิ้มผุดพรายบนเรียวปากงามของคนเป็นราชินี ก่อนว่า “มันเป็นของแถมน่ะ  ลงแรงครั้งหนึ่งแต่ได้ถึงสอง มันคุ้มที่จะดำเนินเรื่องช้าๆ...”เสียงหัวเราะกระตุกห้วน ฉายประกายเฉียบ



    “ก็เราจะเร่งรีบไปทำไม? เมื่อเหยื่อมันกำลังตายใจ!”



    ถ้อยคำที่ทำให้ชายลึกลับแย้มรอยยิ้มรับ ด้วยความถูกใจ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆแล้วโค้งตัวลง  



    “ข้าคงต้องลาแล้ว... แต่เพียงจะขอฝากเรื่องสำคัญอีกหนึ่งก่อนข้าจากไป......”ถ้อยคำทิ้งช่วง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงกำชับหนักแน่น



    “พลังลูกแก้ววิญญาณ ต้องกลับไปสู่บาบารอสก่อนคืนจันทราเปลี่ยนสี”



    นัยน์ตาดำขลับสั่นไหวในคำกล่าวที่ได้ยิน ก่อนจะแปรเปลี่ยนมาสงบคมกล้าดังเดิม แล้วพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ.....



    พอได้รับคำตอบ ร่างชายลึกลับก็เร้นกายเข้าไปในเงามืด  ก่อนเขตอาคมจะถูกปลด แล้วสภาพทุกอย่างก็ค่อยๆคืนสู่สภาพเดิม



    เสียงหรีดเรไรกลับมาลั่นระงมอีกครั้ง...ป่าไม้รกครึ้มยังคงตระหง่านเหนือผืนดิน... อาทิตย์ที่เคยถูกกลืนกลับแผดแสงแรงกล้าเช่นเดิมมิมีเปลี่ยนแปลง





    เขตอาคมของชาวบาบารอส ร้ายกาจไม่มีใครเหมือนจริงๆ





    ++++++++++++++++++





    ธารน้ำใสรินไหลเป็นจังหวะน่าฟังยิ่ง ประกอบกับเสียงหรีดเรไรใต้เงาไพรพฤกษ์เบื้องข้าง กลิ่นหอมตลบอบอวลของมวลดอกไม้ลอยฟุ้งอยู่ทั่วบริเวณ สีสันสดใสของหมู่ไม้พฤกษชาติน้อยใหญ่อวดโฉมต้อนรับผู้มาเยือน...



    “การติดต่อเรื่องการค้าทางทะเลคงยังอยู่ในภาวะกดดันอย่างนี้ซักระยะล่ะเพคะ เมืองสเปดิโน่เล่นเปิดศึกกับไฟท์เวลหนักขึ้นเรื่อยๆ”เจ้าหญิงเอ่ยปากถึงปัญหาภายในเมืองแล้วก็ต้องถอนใจ ก่อนฉีกยิ้มขึ้นแล้วถามกลับ คนที่นิ่งเงียบรับฟังมาเป็นเวลานาน



    “แล้วทางเคดาสรับมือกับปัญหาอย่างไรล่ะเพคะ?”



    เอื้อก บรรลัย แล้วไงล่ะ



    คำถามที่เล่นเอาคนฟังหน้าถอดสี แต่ยังคงเก็บอาการไว้อย่างเต็มที่ พลางนึกแย้งในใจ



    ก็จะไปรู้เรอะ ก็ไม่ใช่เจ้าชายนี่หว่า  สงสัยมากทำไมไม่ไปถามพวกขุนนางฟระ



    แต่ความคิดก็เป็นไปได้แค่ความคิด....ก็ลองตอบแบบนั้นกลับไปสิ คงล่มจบเห่ทั้งเคดาส



    แล้วเทรวิสก็ต้องเลือกที่จะกระแอมเบาๆแบบไว้มาด



    “อะฮึ่ม ทางเคดาสเป็นอาณาจักรใหญ่ มีอำนาจในการต่อรองมากกว่า ซึ่งแค่นี้ก็ตัดปัญหาได้เกือบครึ่งแล้ว”



    หัวสมองหันปราดเปรื่องรีบแต่งเรื่องขึ้นโดยรวดเร็ว แก้หน้าไปได้อย่างเฉียดฉิว ซึ่งคนฟังก็ยิ่งทำท่าทีสนใจชัด นัยน์ตาฟ้าใสพราวขึ้นจับจ้องมานิ่ง ราวกับจะให้เจ้าชายหนุ่มได้เอ่ยต่อ



    คนเห็นดังนั้นยิ่งต้องกลุ้มหนักเข้าไปอีก แล้วเขาจะมีปัญญาถกปัญหาการเมืองได้เท่าไหร่กันเชียว ในเมื่อเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวบ้าน ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ได้แค่สองวัน



    สีหน้าของเทรวิสแห้งสนิท กลบด้วยมาดที่พยายามเต็มแก่จะไม่ให้ความมันแตก



    แล้วสวรรค์ก็ทรงโปรด!



    “เจ้าหญิงเพคะ ที่พักถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”นางกำนัลสาวของเจ้าหญิงโรสรี่ เข้ามาเรียนเชิญให้องค์หญิงเสด็จกลับที่พัก เร่งให้หนุ่มผู้รอดพ้นจากปัญหาการเมือง รีบกล่าวลา



    “เจ้าหญิงคงจะเหนื่อยมากแล้ว เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะ”



    “ขอบพระทัยเพคะ เจ้าชาย” น้ำเสียงหวานหู ติดจะค่อนไปทางเสียดายนิดๆ ของเจ้าหญิงโรสรี่



    แต่ยังไม่ทันได้ปลีกตัว ก็ต้องตกใจ หน้าร้อนผ่าวกับการกระทำของหนุ่มรูปงาม



    “ยินดีอย่างยิ่ง เจ้าหญิง”เทรวิสเอื้อมฉวยมือเรียวงามขึ้นมาประทับจูบ แบบให้ตรงกับคอนเซ็พเจ้าชายอุลริคที่แม่นมได้สั่งสอนเอาไว้ทุกกระบวนท่า โดยย้ำแล้วย้ำอีกถึงวิธีการ ที่ทำให้ดูคลาสสิคแบบเจ้าชาย





    ‘จูบคลาสสิคแบบเจ้าชาย    ไม่ใช่จูบแบบหมาเลียมือ’



    คำพูดที่แม่นมสอนนักสอนหนา แถมด้วยมือที่เริ่มจะย่นไว้ให้ฝึกอีกสองสามที







    นึกๆไปก็ชักมันส์ขึ้นมาบ้างแล้วสิ



    มาดเจ้าชาย มันก็แสดงไม่ยากอย่างที่คิด โก้หรูไปอีกแบบเหมือนกัน



    ความคิดไล่หลังร่างอรชรงดงามที่จากไป...ซึ่งทำให้เทรวิสชักรู้สึกติดใจขึ้นมาตะหงิดๆกับวิถีเจ้าชายนี่ซะแล้ว



    ผู้หญิงอ่อนหวานแบบนี้สิถึงจะน่าคุยด้วยขึ้นหน่อย ไม่ใช่แบบในห้องอาบน้ำนั่น



    ยิ่งคิดก็เริ่มหาข้อเปรียบเทียบ  



    แต่ทันใดนั้น เทรวิสก็ต้องสะดุ้งตัวโหยงกับเสียงเรียกไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง



    “สวยนะ เจ้าหญิงนั่นน่ะ.....ว่ามั้ยเจ้าชาย”



    เด็กหนุ่มร่างเพรียวสูง ผิวสีน้ำผึ้ง รูปหน้าคมสัน รับกับผมสั้นสีน้ำเงินเข้มที่ชี้ขึ้นแต่มันยังดูเป็นทรง นัยน์ตาสีน้ำเงินตวัดเข้าสำรวจเรือนร่างบอบบาง และส่วนเว้าส่วนโค้งทางเบื้องหลังของเจ้าหญิงอย่างโลมเลียด้วยสายตา



    คำพูดที่ทำให้เทรวิสกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหลือบมองบุรุษตรงหน้าแล้วรู้สึกตะหงิดๆกับดวงตาคมดุจจิ้งจอกคู่นั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบุคคลนี้ก็ถือเป็นพระสหายของเจ้าชายอุลริคนี่อีกคน



    ......ราส ไอรอน..... ลูกขุนนางมีตระกูล พร้อมกับตำแหน่งอัศวินหนุ่มแห่งเคดาส  .....



    เอาแล้วไง เจอศึกหนักเข้าแล้ว



    “อืม....ก็สวย”



    เทรวิสตอบแบบเปิดช่องตัวเองไว้ให้เดินมากที่สุด ก่อนจะเอ่ยถามให้ตรงประเด็น เพราะตอนนี้ข้อมูลของเจ้านี่น้อยมาก เหมือนแม่นมจะยังไม่คิดว่าเขาจะพบไวขนาดนี้



    “แล้วนายมีอะไรกับฉัน”



    สายตาคมเข้มของคนฟังหรี่ลงเล็กน้อย มองบุคคลตรงหน้านิ่ง ก่อนจะโคลงหัวเบาๆ



    “หม่อมฉันต้องมีอะไรกับท่านรึยังไง ถึงจะเข้ามาทักได้ ฮึ ท่านเจ้าชาย....”



    คำตอบที่อาจหาญเกินลูกขุนนางทั่วไป แต่แฝงด้วยแววท้าทายที่กลบด้วยสีหน้าซื่อๆ ก่อนเอ่ยถึงสิ่งที่เขาตะขิดตะขวงใจเล็กๆ



    “ท่านดูเปลี่ยนไปนะ”



    คำที่ทำเอาคนเปลี่ยนไปสะดุดลมหายใจวูบ กระสับกระส่ายน้อยๆ ก่อนหาข้อแก้ตัว



    “คงเพราะ เจ้าหญิงคนนั้นมั้ง” แล้วก็ต้องเอาไอ้เรื่องที่ใกล้ที่สุดก่อน



    แต่คนฟังถึงกับดีดนิ้วเปาะ “นั่นแหละที่หม่อมฉันว่าแปลก”



    คนได้ยินถึงกับสลด หมดกำลังใจ นี่เขาคิดว่าเนียนสุดๆแล้วนะนั่น แต่มันยังบอกว่าแปลก



    “แววตาท่านเปลี่ยนไปมากเลย  เวลามองแม่สาวงามหน้าแฉล่มนั่น... สวยซะขนาดนั้น ท่านยังดูไม่มีท่าทีอะไร?  ถามจริงๆหุ่นดีขนาดนั้น ไม่สนเอามาเป็นคู่ควงบ้างหรือ?”น้ำเสียงกระซิบกระซาบ อวดสรรพคุณสาวระดับเจ้าหญิง ราวกับสินค้าเร่ขาย



    เทรวิสลอบกลืนน้ำลายหนืดๆกับคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันที่ดูจะเชี่ยวชาญเรื่องผู้หญิงเป็นพิเศษ



    “มันก็เรื่องของฉัน ว่าแต่นายมีเรื่องอะไร ราส” แล้วเทรวิสก็ต้องใช้ตำแหน่งเจ้าชายให้เป็นประโยชน์ เลี่ยงคำตอบไปซะดื้อๆ



    ราสได้ฟังก็เบิกตาขึ้นนิดกับบางอย่างที่แปลกไป ก่อนจะปัดความคิด แล้วหัวเราะเบาๆ



    “ท่านลืมไปแล้วรึ เรื่องที่เรายังติดค้างกันไว้”



    เทรวิสทำหน้าแบบไม่ยี่หร่ะ ไหวไหล่เหมือนจะให้คนถามตอบขึ้นมาเอง....



    คนถามเห็นดังนั้น ก็พยักหน้ารับ เผยอรอยยิ้มท้าทายขึ้น ก่อนจะตบลงบนดาบเล่มสวยที่เหน็บอยู่ข้างเอวเป็นเชิงคำตอบ แล้วว่า



    “ท่านนัดหม่อมฉันเองนะ เจ้าชาย”



    นัยน์ตาคู่เขียวมรกต ฉายแววประหม่าขึ้น... รู้สึกใจหวิวๆชอบกล ...สมองชักรู้สึกว่าเรื่องมันจะไม่ค่อยเข้าทีซะแล้วกับไอ้ท่าทางของเจ้านี่



    แล้วก็ต้องแทบสำลักลมหายใจ เมื่อไอ้เจ้าสหายไร้สำนึกนี่มันทวงสัญญาขึ้น





    “การประลองระหว่างท่านกับหม่อมฉัน คงจะตัดสินขาดได้ในวันนี้นะ ท่านว่ามั้ย”





    +++++++++++++++++++++++
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×